บทที่ 125
จิ้นเฉิง
ตู้มมม ตู้มมม ตู้มมม
ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร ฝ่ามือของกงเจิ้นและหมัดของเหยียนลี่หยางกระทบกันอย่างรุนแรง กงเจิ้นที่ได้เปรียบกว่าเล็กน้อยก็ปัดป้องการโจมตีของลี่หยางออก ทันทีที่ลี่หยางเสียหลัก ชายสูงศักดิ์ฉวยโอกาสนั้นสาวหมัดสวนกลับฉับพลัน
“ตายซะ!” ผู้สืบทอดแห่งอารามคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะงัดวิชายุทธ์ของเขาออกมาใช้ ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของเขา และแช่แข็งกำปั้นของศัตรู ในชั่วอึดใจมันก็เริ่มลามไปทั่วทั้งร่าง
กงเจิ้งเห็นท่าไม่ดี เขารีบเพ่งลมปราณของเขาไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง ปลดปล่อยคลื่นอากาศอัดกระแทกออกมา พันธนาการน้ำแข็งของลี่หยางถูกปลดเปลื้องออกอย่างง่ายดาย
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
“อั่กกกกกก” เหยียนลี่หยางโดนคลื่นอากาศซัดกระแทกเต็มๆ แม้ว่าเขาจะต้านพลังได้และไม่ได้ถูกซัดกระเด็น แต่เขาก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่
“อะไรกัน!?” กงเจิ้นตกใจเมื่อเห็นผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเพียงแค่นี้ บุรุษแห่งทัณฑ์สวรรค์พุ่งรัวหมัดใส่ศัตรูอย่างไร้ความปรานี
เปรี้ยง เปรี้ยงง เปรี้ยงงงงง
“อั่กกกกก อุ่ก อ่อออก”
ด้วยความลนลานเหยียนลี่จึงพยายามใช้ฝ่ามือของเขาป้องกันจุดตายเอาไว้ แม้ว่ามันไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บน้อยลงแต่อย่างใด ทว่าอย่างน้อยมันก็สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้
“แฮ่ก แฮ่ก ข้าไม่ยักจะรู้เลยว่าทัณฑ์สวรรค์ในแผ่นดินฉางหลาง มียอดคนเช่นเจ้าอยู่ด้วย!?”
เหยี่ยนลี่หยางที่ถูกซัดจนหมอบจมกองเลือด ก็พูดถ่วงเวลา ก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายชิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“คิดหนีเรอะ!?” ชายสูงศักดิ์โกรธจนคิ้วกระตุกเมื่อเห็นเหยื่อของเขาฉวยโอกาสเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็ว เขาเพ่งปราณลงที่ฝ่าเท้าก่อนที่จะเหาะเหินไล่ตามอริไปในทันที
ทันทีที่กงเจิ้นตามประชิดตัวลี่หยางและจะเงื้อมือคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ ชายวัยกลางคนก็ใช้ กระบวนท่าย้ายเงา แทรกตัวลงไปในเงามืดของตน ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
“คว้าน้ำเหลวอีกแล้วสินะ…” กงเจิ้นบ่นอุบอิบออกมา เขาหยุดฝีเท้าลงพลางนึกย้อนถึงความผิดพลาดของตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมชายผู้ที่เขาไล่ล่าถึงเป็นที่หมายหัวของทัณฑ์สวรรค์
เย่เย่ที่ไม่รับรู้ถึงภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามา เขายังคงขลุกตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกปรือวรยุทธ์ หลังจากผ่านไป 3 วันในที่สุดเขาก็ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางไปยังจิ้นเฉิง
เป็นเวลาพักนึงแล้วที่ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกบุกเข้ายึดเมืองจิ้นเฉิงตามคำสั่งของเขา แต่ดูเหมือนว่าหอการค้าหยูเย่สาขาสองจะไม่เป็นที่ยอมรับของชาวเมืองเท่าไหร่นัก เย่เย่จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่เมืองต้นเหตุ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง
ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเขาได้ฝากฝังกิจการไว้กับ เสวี่ยหยู และเย่เทียนรวมไปถึงผู้คนตระกูลเย่คนอื่นๆบางส่วนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในหลิงเฉิง เมื่อเขาเสร็จสิ้นธุระเขาก็ควบม้ารุดหน้าไปยังจิ้นเฉิงในทันที
หลังจากที่เขาเดินทางมาถึง เขาก็ได้รับรายงานจาก ซูฉีเจี่ยว่าผู้คนตระกูลมู่หรงได้อพยพหลบหนีออกไปหมดแล้ว คฤหาสน์ประจำตระกูล รวมไปถึงกิจการต่างๆของพวกเขาจึงตกมาอยู่ในมือของหอการค้าหยูเย่ไปโดยปริยาย
แต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เย่เย่คาดเอาไว้ในทีแรก การมาแทนที่ตระกูลมู่หรงของหอการค้าหยูเย่ทำให้เกิดปัญหาน้อยใหญ่ตามมาอย่างไม่หยุดหย่อน ชาวเมืองนั้นไม่ได้ให้การเคารพพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเขายังคิดว่าที่ตระกูลมู่หรงเพลี่ยงพล้ำเป็นเพียงเพราะหลงกลอุบายของเย่เย่เท่านั้น
เมื่อเขาควบม้าเข้ามาในตัวเมืองเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล สองข้างทาง แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ออกมาแสดงความไม่พอใจ ตั้งเวทีปราศรัยกันยกใหญ่ แม้ว่าชาวเมืองตาดำๆจะไม่กล้าก่อสงคราม แต่กับขั้วอำนาจใหญ่ๆที่รอโอกาสอันพอเหมาะพอเจาะก็ไม่แน่ เย่เย่จึงทำได้แต่ชายตามองพวกเขาพลางเอามือจับคาง ครุ่นคิดถึงวิธีรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดนี้
ทันทีที่เย่เย่มาถึงหอการค้าสาขาสอง พระอาทิตย์ก็ตกดินอย่างพอดิบพอดี บรรยากาศโพล้เพล้มาพร้อมกับสายลมโชยอ่อนพัดมาเล้าโลมผมยาวของเขา เย่เย่ลงจากอานม้าและจูงมันเดินตรงดิ่งเข้ามายังประตูของหอการค้าที่มีชายถือหอกยืนเฝ้าอยู่
“เจ้าคนน่าสงสัย! เจ้านั่นแหละ หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้ารู้รึเปล่าว่าที่นี่คือที่ไหน?”
ยามเฝ้าประตูผู้เป็นจ้าววรยุทธ์ในวัยสามสิบ ใช้คมหอกปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ เขาที่เพิ่งเข้าร่วมหอการค้าได้หมาดๆภายใต้การดูแลของซูฉีเจี่ยทำให้เขารู้หน้าคร่าตาของผู้เป็นนายใหญ่
“ข้ารึ? เย่เย่ ประธานหอการค้าหยูเย่ไง ข้าเพิ่งเดินทางมาจากหลิงเฉิง ถ้าเจ้าสงสัยนักละก็ไปเรียกซูฉีเจี่ยออกมาหาข้าเลยสิ” เย่เย่ชี้นิ้วมาที่ตัวเองก่อนตอบคำถามของทวารบาลด้วยรอยยิ้มแหะๆ แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่ก็ทำให้ยามเฝ้าประตูตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“อะไรนะ!? เจ้าว่าเจ้าคือประธานของหอการค้าหยูเย่งั้นรึ? อย่ามาหลอกข้าซะให้ยากเลย รอตรงนี้อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวข้ากลับมา” ทวารบาลเดินมองรอบๆตัวเย่เย่อย่างสงสัย ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปรายงานแก่ซูฉีเจี่ย
เป็นเวลานาน ซูฉีเจี่ยเดินออกมาพร้อมกับพรรคพวกฝีมือดีอีกหลายคน ทันทีที่เขาเห็นเย่เย่เขาก็รีบเดินเข้ามาประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับ ท่านประธานเย่”
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าแค่แวะมาชั่วคราวไม่ได้คิดจะรบกวนพวกเจ้านักหรอก” เย่เย่โบกมือให้ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกที่ไม่คุ้นตาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง
“ท่านเย่ บัดนี้สถานการณ์ในจิ้นเฉิงไม่ค่อยสู้ดีนัก เชิญหารือด้านในกันก่อน เชิญ” ซูฉีเจี่ยกล่าวขึ้นพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญเย่เย่เข้าไปในหอการค้า
ผู้พิทักษ์ประตูที่เห็นเจ้านายทั้งสองคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ ก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง ความเคลือบแคลงในใจเขาก็ถูกไขกระจ่างสว่างจ้าเสียยิ่งกว่าหลอดไฟซีน่อนเสียอีก เมื่อรู้สำนึกที่ต่ำที่สูงเขาก็ไม่รอช้ารีบจูงม้าของเย่เย่เข้าไปในโรงพร้อมกับดูแลให้อาหารอย่างดี
“รายงานท่านเย่ ตอนนี้นอกจากหอการค้าหยูเย่สาขาสองของเราแล้วยังมีขั้วอำนาจอื่นๆที่เดิมทีอยู่ใต้การปกครองของตระกูลมู่หรง พวกเขาร่วมมือกันตั้งภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกขึ้นมาเพื่อต่อต้านพวกเรา มีเพียงกองกำลังเล็กๆบางส่วนที่ยอมเข้าร่วมกับเราและอีกบางส่วนที่ยังวางตัวเป็นกลางเพื่อรอดูสถานการณ์ขอรับ”
เมื่อซูฉีเจี่ยรายงานเสร็จสิ้น จางเสี่ยวยู่ที่เดินทางมายัง จิ้นเฉิงพร้อมๆกับเขาก็ออกความเห็นต่อพวกกองกำลังที่วางตัวเป็นกลางด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“พวกวัชพืชพวกนี้ เมื่อพวกเรารวมจิ้นเฉิงได้แล้วต้องถอนรากถอนโคนมันให้สิ้นซาก”
คนอื่นๆที่ร่วมวงสนทนาต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา ก่อนที่ซูฉีเจี่ยจะพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง
“พวกกองกำลังเล็กๆนี้ไม่ส่งผลกับรูปการณ์โดยรวมมากนัก แต่ขั้วอำนาจขนาดกลาง เช่น สำนักวารีอำพัน พวกเขาเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากตระกูลมู่หรง หากเราได้ความช่วยเหลือจากพวกเขาภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา”
หลังจากฟังข้อมูลรายงานที่ประเดประดังเข้ามาจาก ซูฉีเจี่ยอยู่นาน เย่เย่ก็ตรึกตรองอยู่พักใหญ่ก่อนถามซูฉีเจี่ยผู้เป็นมือขวาของเขาขึ้น
“แล้วเจ้าได้ตรวจสอบรายละเอียดของสำนักที่ว่านี้มาบ้างรึไม่?”
ซูฉีเจี่ยพยักหน้าและกล่าวต่อไป “แม้ว่าสำนักของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่หูจื่อโปผู้เป็นจ้าวสำนักนั้นมักเก็บตัวอยู่เงียบๆ และไม่ค่อยสุงสิงกะใครมากนัก ครั้งที่จิ้นเฉิงถูกปกครองโดยตระกูลมู่หรง หูจื่อโปผู้นี้ก็ไม่เคยทำตามคำสั่งของตู่เฟิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาอีกว่าภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกได้ชักชวนเขาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จด้วยเช่นกัน นี่อาจเป็นโอกาสอันดีของพวกเราก็เป็นได้”
เมื่อเย่เย่ตระหนักถึงภัยสงครามที่จะลุกลามไปทั่วผืนแผ่นดินจากคำพูดของเหยียนลี่หยาง เขาจึงวางแผนไปยังสำนักวารีอำพันเพื่อรวมจิ้นเฉิงให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยเร็วที่สุด…