บทที่ 132
พิธีวิวาห์
เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้นำภาคี หยวนเซียงเจี่ย และ จางซวนจี๋ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็วางอาวุธลง ศิษย์ของทั้งสองสำนักเมื่อเห็นผู้เป็นนายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป พวกเขาทั้งหมดก็ทิ้งอาวุธและยอมคุกเข่าจำนนต่อเย่เย่ตามหัวหน้าของพวกเขาแต่โดยดี
“ท่านเย่ โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ! พวกเราเพียงไม่ต้องการเห็นเมืองของพวกเราตกอยู่ภายใต้การปกครองของคนนอก” เพื่อความอยู่รอด กู๋หยูหลง ผู้นำภาคีปลดแอกก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิด แต่แฝงไปด้วยความเจ็บใจ
“พวกข้าผิดไปแล้ว โปรดให้โอกาสพวกข้าชดใช้ความผิดที่กระทำไว้ด้วยเถอะ!” หยวนเซียงเจี่ย และจางซวนจี๋คุกเข่าก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับเย่เย่โดยตรงด้วยซ้ำ
ซูฉีเจี่ยชักดาบของเขาจ่อที่คอหอยของผู้นำภาคีรอสัญญาณลงดาบจากเย่เย่ เย่เย่ที่ตรึกตรองอยู่พักหนึ่งเขาก็กระโดดลงมาจากหลังคา และก้าวเท้าเข้ามาในสนามรบก่อนยื่นข้อเสนอให้กู๋หยูหลง
“ย่อมได้ แต่มีข้อแม้คือพวกเจ้าต้องยุบภาคีจิ้นเฉิง ปลดแอกลง รวมไปถึงสำนักต่างๆของพวกเจ้าทั้งหมด และทำงานโดยขึ้นตรงกับหอการค้าหยูเย่สาขาจิ้นเฉิง” เมื่อสิ้นเสียงของเย่เย่ เขาก็ปลดปล่อยลมปราณออกมากดดันศัตรู มวลอากาศที่หนักอึ้งแผ่กระจายกดทับร่างของผู้ยอมจำนนจนนอนราบสนิทอยู่กับพื้นอย่างน่าสังเวช ทางรอดเดียวของพวกเขาในตอนนี้คือต้องยอมรับข้อเสนอที่เอารัดเอาเปรียบนี้เท่านั้น
ซูฉีเจี่ย และคนอื่นๆที่เห็นดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเคารพ เย่เย่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นเย่เย่ในมุมนี้ ความหวาดกลัวต่อผู้เป็นนายเริ่มก่อตัวขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจของพวกเขา
“พวกเรายอมรับข้อเสนอแล้ว ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ!” แม้ว่ากู๋หยูหลงจะหยิ่งทะนงตนสักแค่ไหน เมื่อเขาถูกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มหายใจไม่ออก สุดท้ายแล้วเขาก็หมดทางเลือกได้แต่ยอมรับข้อเสนอนี้เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆของพวกเขาเอาไว้
เย่เย่ได้ยินดังนั้นจึงผ่อนลมปราณของเขาลง และสั่งให้ซูฉีเจี่ยกับเหล่าผู้พิทักษ์หอการค้าจับกุมเหล่ากบฏไปขัง ก่อนที่จะสั่งให้จางเสี่ยวยู่และฉีเชินนำกองกำลังบางส่วนออกไปยึดสำนักทั้งสามของภาคีปลดแอก
ในที่สุดหอการค้าหยูเย่ก็ได้รวมจิ้นเฉิงเป็นหนึ่งได้สำเร็จ หลังจากต้องคอยต่อสู้กับอำนาจเงาของตระกูลมู่หรงที่ยังคงฝังรากลึกในจิตใจของชาวเมืองเป็นเวลานาน
2 วันต่อมาเมื่อสถานการณ์เริ่มเข้ารูปเข้ารอย เย่เย่จึงตัดสินใจเดินทางกลับจิ้นเฉิงพร้อมซูฉีเจี่ย จางเสี่ยวยู่ และพรรคพวก เหลือไว้เพียงฉีเชินที่เป็นชาวจิ้นเฉิงโดยกำเนิด และกองกำลังบางส่วนปกครองเมืองอยู่เท่านั้น
เมื่อข่าวการกลับมาของเย่เย่ถึงหูเสี่ยวหยู นางจึงชวนเสวี่ยหยูและลูกจ้างประจำสาขาหลิงเฉิง ออกมาต้อนรับเย่เย่ที่หน้าประตูเมืองด้วยความตื่นเต้น ยิ่งกำหนดการแต่งงานของนางเริ่มใกล้เข้ามาเท่าไหร่ หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นทุกทีๆ
เมื่อเย่เย่เดินทางกลับมาถึงหลิงเฉิงก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ทันทีที่เขาย่างเท้าเข้ามาในประตูเมืองเขาก็ต้องตกตะลึงกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาล บ้านเรือนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟที่ส่องแสงสุกสกาว สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยขายอาหาร ชาวเมืองต่างแห่กันออกมาเที่ยวเล่น และจับจ่ายใช้สอยกันอย่างพลุกพล่าน
งานเทศกาลดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของหอการค้าหยูเย่ที่ร่วมแรงร่วมใจกับชาวเมืองหลิงเฉิงเนรมิตขึ้นมาเพื่อแทนคำขอบคุณ และแสดงความยินดีกับเย่เย่ เจ้าเมืองอันเป็นที่รักของพวกเขา
ตั้งแต่ที่หอการค้าหยูเย่รวมหลิงเฉิงให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ จากเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำสูง และใช้อำนาจนิยมเป็นว่าเล่น กลับกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวเมืองเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียมกันภายใต้รูปแบบการปกครองที่นำสมัยของเย่เย่
เสี่ยวหยูที่เห็นเย่เย่กลับมาถึงแล้ว นางจึงรีบไปซ่อนเพื่อหวังแกล้งหลอกให้เขาตกใจ แม้ว่าเย่เย่จะรู้ดีว่าเสี่ยวหยูแอบอยู่ แต่เขาก็แกล้งตกใจเมื่อเห็นนางปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เสี่ยวหยูที่เห็นปฏิกิริยาของเย่เย่นางก็ยิ้มร่าและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ทั้งสองจูงมือถือแขนกันเดินชมเมืองหยอกเย้ากันตามประสาคู่ใหม่ปลามัน ปล่อยให้ซูฉีเจี่ยและเสวี่ยหยูจ้องมองด้วยความอิจฉา
ไม่นานนักเย่เย่ก็ขอตัวกลับ แม้ว่าในใจของเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับเสี่ยวหยูให้นานกว่านี้ แต่ในฐานะเจ้าเมืองที่ต้องแบกรับชีวิตคนจำนวนมากเอาไว้บนบ่า เขาก็ต้องจำใจกลับไปฝึกวิชาเพื่อขัดเกลาวรยุทธ์ของตนอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่เขากลับมาถึงหอการค้าหยูเย่แล้ว เขาก็ได้ทราบเรื่องทูตจากตำหนักประกายแสงและข้อเสนอของพวกเขาจากปากเสวี่ยหยู แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับหลินซิวเหยียนมากนัก แต่เขาก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของตำหนักดังกล่าวอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เย่เย่จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ทันทีที่เขากลับมาถึงห้องของตน เขาก็นำ ‘สมุนไพรสายลมอุดร’ ที่เป็นสมบัติธาตุลมที่เขาได้รับมาจากร้านค้าสมบัติลึกลับของฉีเชิน ก่อนจะเริ่มนำมันมาใช้ฝึกฝนกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำราม
เมื่อเขาร่ายรำท่วงท่าสายลมโชยอ่อนก็ก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา ไม่นานนักเขาก็สำเร็จวิชาสลาตันฟ้าคำรามขั้นสูง และเติมเต็มในส่วนของกระบี่เทพอัสนีที่พังเสียหายได้สำเร็จ
นอกจากนี้เขายังแลกยาลมปราณอสูรออกมา นอกจากมันจะมีฤทธิ์ในการยกระดับวรยุทธ์ของเขาสู่เทพอสูรขั้นสูงได้แล้วนั้น โอสถนี้ยังไร้ผลข้างเคียงอีกด้วย
เมื่อเขากินยาลูกกลอนนั้นเข้าไป เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มพูนไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้เย่เย่มีความมั่นใจในพลังของตนมากขึ้นไปอีก ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหลินซิวเหยียนหรือต่อให้เป็นมูหลงเขาก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งนั้น
ผ่านไป 2 สัปดาห์ในที่สุดงานแต่งงานของเขาก็มาถึง ขุมอำนาจทั้งน้อยใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาคต่างมาเข้าร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีต่อยักษาตนที่ 3 อย่างเป็นทางการ
ปรุ ปรุ ปรุ ปรุ
พลุหลากสีถูกจุดขึ้นทั่วน่านฟ้าเมืองหลิงเฉิง ชาวเมืองต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและชื่นชมพลุอย่างมีความสุข
หอการค้าหยูเย่ทั้ง 7 ชั้นถูกประดับประดาอย่างสวยสดงดงาม เต็มไปด้วยสีแดงและสีทองซึ่งเป็นสีมงคลตามแบบฉบับจีนโบราณ แต่พิธีสมรสนั้นจะจัดขึ้นที่วังที่ศิษย์แห่งสำนักเพลิงสวรรค์และลูกจ้างหอการค้าหยูเย่ช่วยกันสร้างขึ้นเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ มันดูยิ่งใหญ่งดงามตระการตาเหมาะสมกับเกียรติยศของเย่เย่ แม้มันจะเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานแต่วังนี้ก็ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในวังที่งดงามที่สุดในภูมิภาคเลยทีเดียว…