บทที่ 134
เหรียญตรา
พิธีวิวาห์ของเย่เย่และเสี่ยวหยู ถูกแบ่งออกเป็น 2 วัน ในวันแรกจะเป็นพิธีแต่งงาน และในวันที่สองจะเป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง นอกจากเพื่อแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวแล้วนั้น ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพของหอการค้าหยูเย่อีกด้วย
เมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นพิธีในวันแรก ทันทีที่งานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวันถัดมาจะเริ่มขึ้น ชายสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีขาวยาวดูสง่าผ่าเผยก็ปรากฏตัวขึ้นในวังท่ามกลางฝูงชน เขาเดินผ่านแนวป้องกันที่หน้าประตูมาได้อย่างไม่มีใครสังเกต ก่อนที่เขาจะค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปหาเย่เย่และเสี่ยวหยูอย่างช้าๆ
“เจ้าเป็นใครกัน!? หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ซูฉีเจี่ยที่เพิ่งสังเกตเห็นบุรุษในชุดขาว เขาก็ตะโกนเรียกชายลึกลับ และรีบเดินเข้าหาเขา
ทันทีที่ซูฉีเจี่ยกำลังเอื้อมมือคว้าตัวเขาเอาไว้ ชายต้องสงสัยก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นเองร่างของเทพอสูรซูก็ถูกผลักกระเด็นออกไปราวกับชนกับกำแพงที่มองไม่เห็น ทันทีที่เทพอสูรล้มลงผู้คนภายในงานก็พากันแตกตื่นและเริ่มสังเกตเห็นชายผู้มากับความเงียบ
แม้แต่หลินซิวเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าชายชุดขาวผู้นี้เป็นใครมาจากไหน และดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ได้อยู่ในแผนการของเขา
ชายสูงศักดิ์ในชุดขาวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือกงเจิ้น ผู้ปกครองทัณฑ์สวรรค์สาขาแผ่นดินฉางหลาง การที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นเป็นเพราะเขารวบรวมเบาะแสของวิญญาณกลับชาติมาเกิดได้ครบแล้วนั่นเอง การที่เขาพบเหยียนลี่หยางในภูมิภาคนี้เป็นหลักฐานชิ้นดีที่ทำให้การสืบเสาะของเขาง่ายขึ้นไปอีก
“นี่เจ้า! รนหาที่ตายหรือไง?” แม้ว่าซูฉีเจี่ยจะเป็นฝ่ายที่ล้มลง แต่เขาก็ไม่ลดละความพยายาม ชายหนุ่มผู้พิทักษ์ลุกขึ้นชักดาบพุ่งเข้าใส่ศัตรูหมายจะเอาชีวิต ทันใดนั้นเอง
“ช้าก่อน ซูฉีเจี่ย” เย่เย่ยกมือขึ้นปรามเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่โศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้น ทันทีที่เย่เย่เห็นกงเจิ้น สีหน้าของเขาก็ตึงเครียดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เย่เย่สัมผัสได้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงเจิ้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเย่เย่จึงตัดสินใจเจรจาเพื่อถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆ
“ท่านประธาน?” เจิ้งซูที่ไม่เคยเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดขนาดนี้ของเย่เย่มาก่อน เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาเข้าคุ้มกันเย่เย่โดยด่วน เจิ้งซูและพรรคพวกก็ได้ตั้งแถวเป็นแนวป้องกันด้านหน้าของเย่เย่ในทันที
เย่เย่ไม่สาธยายอะไรให้มากความ เขาโค้งคำนับชายชุดขาว และถามบุรุษลึกลับขึ้น
“ขออภัยที่เสียมารยาท ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อแซ่ว่าอะไร?”
ผู้คนทั่วโถงกลางในงานเลี้ยง ต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนก สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ชายลึกลับอย่างหวั่นเกรง มีเพียงหลินซิวเหยียนเท่านั้นที่กำลังคิดใช้งานกงเจิ้นอยู่แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ตาม
หากกงเจิ้นเป็นพันธมิตรกับเย่เย่ เขาก็จะล้มเลิกแผนในการล้มล้างหอการค้าหยูเย่ทั้งหมด แต่หากกงเจิ้นเป็นปฏิปักษ์กับเย่เย่ เขาก็จะใช้โอกาสนี้สนับสนุนกงเจิ้นและร่วมมือกับเขาทำลายหอการค้าหยูเย่ให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ในขณะที่หลินซิวเหยียนกำลังลุ้นอยู่นั่นเอง ชายลึกลับผู้นั้นก็ได้เปิดเผยตัวตนออกมา
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้” ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา กงเจิ้นก็ ชูมือขึ้นพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่อยู่รอบๆก็ถูกดึงดูดมาที่ฝ่ามือของเขา ก่อนที่มันจะถูกหลอมรวมกลายเป็นเหรียญตราสีครามรูปร่างคล้ายคลึงกับเพชร บนเหรียญถูกสลักด้วยอักษรจีนโบราณ 2 ตัว คือ “เทียน” ที่แปลว่าสวรรค์ และ “เต๋า” ที่แปลว่ากฎเกณฑ์หรือการลงทัณฑ์
ทันทีที่เย่เย่เห็นดังนั้น ดวงตาที่สงบนิ่งของเขาก็เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว เขาพยายามรวบรวมลมปราณทั้งหมดเพื่อควบคุมไม่ให้ร่างกายของเขาแสดงพิรุธออกมา แม้ว่าขาทั้งสองข้างของเขาจะอ่อนแรงเต็มทีแล้วก็ตาม
ผู้คนในห้องโถงก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาเห็นเหรียญตรานั่น สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงด้วยความกลัวที่ฝังรากลึกในก้นบึ้งจิตใจ สายตาทุกคู่จ้องมองกงเจิ้นราวกับเห็นผี แม้ว่าพวกเขาจะอยากหนีไปให้ไกล แต่แม้แต่จะก้าวขายังก้าวไม่ออก
ด้วยพลังอำนาจของทัณฑ์สวรรค์ ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงัด ราวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหยุดหายใจ ผู้พิทักษ์แห่งหอการค้าที่เป็นถึงเทพยุทธ์ต่างล้มลงกับพื้นราวกับถูกดูดวิญญาณ สีหน้าของพวกเขาดูเหนื่อยหอบอย่างผิดปกติ แม้แต่ซูฉีเจี่ยที่เพิ่งบรรลุขั้นเทพอสูรได้หมาดๆก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ กงเจิ้นแผ่ออกมา เหงื่อของเขาไหลจนเสื้อที่เขาใส่เปียกชุ่ม
หากเขาไม่ได้เย่เย่หยุดเขาเอาไว้ได้ทันในทีแรก เขาคงตายไปแล้ว ซูฉีเจี่ยนึกในใจพร้อมเอามือคลำคอที่ยังไม่หลุดออกจากบ่า
กงเจิ้นที่เห็นผู้คนจำนวนมากล้มลงด้วยแรงกดดันมหาศาลที่เขาปล่อยออกมา ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนเขาจะถามเย่เย่ที่ยังคงยืนหลังตรงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ไม่มีพวกมดปลวกมาคอยกวนใจแล้ว ข้าจะถามคำถามง่ายๆกับท่าน 2 ข้อ” กงเจิ้นชู 2 นิ้วขึ้นมาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ข้อแรก ท่านรู้จักมักจี่กับชายที่ชื่อเหยียนลี่หยางหรือไม่?”
“เหยียนลี่หยวนอะไรนะ? ต้องขออภัยด้วยแต่ข้าไม่คุ้นกับคนแซ่เหยียนเลย”
เย่เย่รู้ดีว่ากงเจิ้นถามขึ้นเพื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของเขา ดังนั้นเขาจึงพยายามใช้ลมปราณควบคุมลมหายใจและปฏิกิริยาทางกายของเขาไม่ให้แปรปรวน ราวกับว่าเขาไม่รู้จักชายคนดังกล่าวจริงๆ
แม้ว่าเย่เย่จะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้อย่างแนบเนียน แต่กงเจิ้นนั้นเชื่ออย่างสนิทใจไปแล้วว่าเย่เย่คือวิญญาณกลับชาติมาเกิด เขาเพียงต้องการฟังคำรับสารภาพจากปากเจ้าตัว ดังนั้นชายชุดขาวจึงไม่รอช้าเขาถามที่ 2 ซึ่งเป็นคำถามไม้ตายของเขาในทันที
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักเขาจริงๆก็ช่วยไม่ได้ งั้นเจ้าคือวิญญาณกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า?” แม้จะดูเหมือนเป็นคำถามสุดคลาสสิคที่ตำรวจมักใช้กับผู้ร้าย แต่มันก็ได้กระตุกต่อมความสงสัยในใจของหลายๆคนในห้องโถงแห่งนั้น และมันยังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเย่เย่ได้เป็นอย่างดี…