บทที่ 124
มรดกตกทอด
“เมื่อใดที่เวลานั้นมาถึงท่านก็จะรู้เอง สิ่งที่ท่านต้องรู้ในฐานะประมุขคือการมีตัวตนของท่านนั้นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้ ดังนั้นข้าขอแนะนำท่านว่าให้เก็บเรื่องราวของพวกเราไว้เป็นความลับ อย่าได้เปิดเผยให้ใครล่วงรู้แม้แต่คนสนิทของท่านก็ตาม” ต้าหลิงผู้พิทักษ์แห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ปฏิเสธที่จะตามคำถามเย่เย่อย่างตรงไปตรงมา แต่เขากลับให้ข้อเสนอแนะกับเย่เย่ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แทน
“ต่อให้ตัวตนในฐานะวิญญาณกลับชาติมาเกิดของข้าถูกเปิดเผย แต่พวกเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอารามวิถีสวรรค์เลยอย่างงั้นสินะ” เย่เย่พูดอย่างกระอักกระอ่วน
‘แต่งตั้งให้ข้าเป็นประมุข เออออห่อหมกเองเสร็จสรรพ แต่กลับไม่ยอมบอกข้อมูลอะไรเลย ใจจืดใจดำเสียจริง’ เย่เย่บ่นอุบอิบในใจ
“เช่นนั้นอย่างน้อยบอกข้าได้ไหมว่าอารามแห่งนี้มีไว้เพื่อสิ่งใดกันแน่?” หลังจากยอมรับชะตากรรมที่ต้องแบกโลกไว้ทั้งใบนี้ได้แล้ว เขาก็เงยหน้าถามชายผู้ไร้ตัวตนขึ้นอีกครั้ง
“อารามวิถีสวรรค์เป็นอารามสูง 9 ชั้น หากดูจากภายนอกมันอาจดูไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ด้านในกลับกว้างขวางอย่างผิดหูผิดตา ชั้นบนสุดจะเปรียบเสมือนโลกส่วนตัว ที่ประมุขของอารามแต่ละรุ่นใช้ฝึกวิชาและพำนักอาศัย”
‘ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว’ เย่เย่คิดในใจ แต่เมื่อเขาได้รู้รายละเอียดเล็กๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เขาก็ไม่ปริปากบ่นอีก
“ท่านต้าหลิง นำทางข้าไปชั้นบนหน่อย ข้าอยากจะรู้ว่าโลกส่วนตัวของข้าหน้าตาเป็นยังไง”
“ขอรับ”
เป๊าะ
ทันทีที่ต้าหลิงตอบกลับ เสียงดีดนิ้วของเขาก็ดังขึ้น บรรยากาศรอบๆตัวของเย่เย่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลิ่นจางๆของพฤกษานานาพรรณที่ขึ้นรอบๆ และพร้อมกับฝูงสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ
ชั้น 9 ของอารามที่ดูจากภายนอกเหมือนยอดเขาเล็กๆ แต่เมื่อได้สัมผัสกับมันโดยตรงแล้ว มันกว้างใหญ่ไพศาลเสียยิ่งกว่าเมืองหลิงเฉิงทั้งเมืองเสียอีก นอกจากที่มันจะอุดมสมบูรณ์เหมือนทุกอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว ยังมีศาลามากมายนับไม่ถ้วนท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรไว้สำหรับฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่อัดแน่นอยู่ในที่แห่งนี้ ยังมีความหนาแน่นเสียยิ่งกว่าโลกภายนอก หรือแม้กระทั่งค่ายกลลมปราณไหลเวียนของเขาถึงสิบเท่าอีกด้วย แม้กระทั่ง เย่เย่ที่หลุดเข้ามาในอารามเพียงกายทิพย์ก็ยังสัมผัสได้ถึงมัน
“ที่ชั้น 9 แห่งนี้สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ประมุขในแต่ละรุ่นนั้นก็มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน นอกจากนี้อารามนี้ทำจากวัสดุพิเศษ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นแหวนได้อย่างที่ท่านเห็น ท่านสามารถพกมันติดตัวไปได้อย่างไม่มีพิรุธ” ต้าหลิงอธิบายเสริม หลังจากเย่เย่ได้ยินดังนั้นเขาก็ตกตะลึงในความพิเศษของมัน และคาดเดาถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของอารามนี้ไปต่างๆนานา
ตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เย่เย่ก็สัมผัสได้ถึงความวิเศษของมัน แต่ด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ทำให้ยังไม่สามารถใช้งานอารามนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้ว่าเขาจะอยากเข้าไปฝึกวรยุทธ์ด้วยกายเนื้อ หรือแม้กระทั่งใช้พื้นที่อันกว้างใหญ่เป็นคลังสินค้าเขาก็ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการใช้งานต่างๆนานา เสียงดีดนิ้วของชายปริศนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง วิญญาณของเย่เย่ถูกดึงกลับเข้าสู่ร่างที่นอนแอ้งแม้งในทันที เมื่อเขาได้สติเขาก็เอามือกุมหัวพลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ก่อนที่จะฝึกฝนวิชาของตนต่อ
ในขณะเดียวกัน เหยียนลี่หยางที่นั่งเพ่งจิตรวมปราณบนยอดเขานิรนามอันไกลโพ้น เขาก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีปรีดา
“ในที่สุด เขาก็ทำสำเร็จ! ภารกิจที่ยาวนานของข้าเสร็จสิ้นเสียที!” ทันทีที่ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงเย่เย่ เขาก็ลุกพรวดขึ้นพลางตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ในฐานะหนึ่งในผู้สืบทอดของอารามวิถีสวรรค์ ในที่สุดเขาก็หาวิญญาณกลับชาติมาเกิดอย่างเย่เย่พบก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์จะพรากชีวิตเขาไป
“จุดจบของทัณฑ์สวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดโลกก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง”
ตั้งแต่โลกถูกปกครองภายใต้ความหวาดกลัว ไม่มีขั้วอำนาจใดกล้าพอที่จะต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์ แต่เมื่อประมุขรุ่นที่ 1 ของอารามวิถีสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นเขาก็รวบรวมเหล่าพันธมิตรเข้าต่อสู้กับมหาอำนาจและสาดส่องแสงแห่งความหวังลงมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าไม่นานนักพวกเขาก็พ่ายแพ้ให้กับทัณฑ์สวรรค์อีกครั้งหนึ่ง
ผ่านมาแล้วกว่า 393 รุ่น เหล่าประมุขแห่งอารามยังคงส่งทอดตราบาปแห่งความปราชัยจากรุ่นสู่รุ่นมาจวบจนทุกวันนี้ ดวงประทีปแห่งความหวังยังไม่ดับมอดเสียทีเดียว เนื่องจากทัณฑ์สวรรค์แม้จะกวาดล้างเหล่าผู้กล้ารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่พวกเขายังควานหาต้นตอของแหล่งกำเนิดของพวกเขาไม่พบ
“ข้าหวังว่าข้าจะมองเขาไม่ผิด เขาจะต้องเป็นผู้กอบกู้และประมุขรุ่นสุดท้ายที่จบวงจรอุบาทว์นี้เสียที” ตั้งแต่วันแรกที่เขาพบเย่เย่ เขาก็หมายมั่นปั้นมือว่าเย่เย่ผู้นี้จะเป็นผู้สืบทอดของเขา และจะเป็นผู้กวาดล้างทัณฑ์สวรรค์ให้หมดไปจากโลกนี้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังหลิงเฉิงเพื่อให้ความช่วยเหลือเย่เย่ แต่ทว่าทันใดนั้นเองเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
เปรี้ยงงงงงงงงงงงง
ฟ้าผ่าลงมาที่ข้างหลังเขาอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับพสุธากัมปนาท มวลอากาศรอบๆระเบิดออกจนทำให้เกิดดินถล่ม เหยียนลี่หยางที่ทานทนแรงสั่นสะเทือนไม่ไหวก็ทรุดลงไปนอนหงายกับพื้น เมื่อฝุ่นตลบจางลงเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏให้เห็นชายลึกลับผู้หนึ่งยืนทำหน้าถมึงทึงชายตามองเขาอยู่
“…ลงมือกันเร็วเหลือเกินนะ” เหยียนลี่หยางแสยะยิ้มเจื่อนๆออกมา เมื่อเห็นชายในเครื่องแบบชุดคลุมยาวสีขาวปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ชายผู้นี้ดูสูงศักดิ์ คิ้วของเขาหนาและ ชี้ขึ้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งทนงตนราวกับเป็นเทพเจ้า
“กงเจิ้นแห่งทัณฑ์สวรรค์ เจ้าหาตัวข้าพบได้ยังไงกัน!?” ชายวัยกลางคนผู้ตกเป็นรองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก
“บอกมาว่าอารามวิถีสวรรค์อยู่ที่ไหน แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” ชายนามกงเจิ้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาซักไซ้ข้อมูลจากศัตรูในทันที
ตู้มมมมมมม
เหยียนลี่หยางตอบคำถามของชายสูงศักดิ์ด้วยกำปั้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดคลื่นอัดกระแทกพุ่งเข้าใส่ศัตรูของเขาอย่างจัง
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!?” กงเจิ้นที่รับหมัดของชายกลางคนเข้าเต็มๆ เขาก็หันกลับอย่างไม่สะทกสะท้านมากนัก ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใช้ฝ่ามือทะลวงเข้าไปที่กลางกระหม่อมของลี่หยาง…