บทที่ 144
ปทุมสีชาด
ซู่ววววววว
ทันทีที่จ้าววรยุทธ์หวางชวนวาดหมัดขึ้น เสียงมวลอากาศที่ถูกฉีกกระชากออกก็ดังสนั่นไปทั่วโรงเตี๊ยม
เฉินเซียนและสองพี่น้องตระกูลลี่ได้แต่เอามือปิดตาราวกับไม่อยากเห็นแขกผู้อวดดีถูกกระทืบจนปางตาย แต่แล้วไม่ทันไรเสียงการปะทะก็สิ้นสุดลง ทั้งสามค่อยๆกางนิ้วที่ปิดตาออกด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
เย่เย่รับหมัดอันทรงพลังของชายร่างกำยำไว้ได้ด้วยมือเปล่า ในขณะที่มืออีกข้างยังคงยกเหล้าดื่มอย่างสบายอารมณ์ สีหน้าที่มั่นใจของหวางชวนเริ่มซีดเผือดลงราวกับซากศพ ยิ่งเขาพยายามสลัดกำปั้นออกจากมือของเย่เย่เท่าไหร่ เย่เย่ยิ่งกำมันแน่นขึ้น
กร๊อบบ
“อ๊ากกกกกกก”
เย่เย่ใส่แรงเพียงเล็กน้อยกระดูกของชายฉกรรจ์ก็แตกละเอียด หวางชวนร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด น้ำหูน้ำตาของเขาพรั่งพรูออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงขีดสุด หัวโจกกุ๊ยข้างถนนรีบตะโกนสั่งให้ลูกน้องรุมสกรัมยำเท้าชายผู้ที่ทำให้เขาเสียหน้า
“มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่ ฆ่ามันเซ่!”
ทั้งสามต่างมองหน้ากันไปกันมาอย่างกล้าๆกลัว จากนั้นพวกเขาก็ควักมีดสั้นออกมาพุ่งเข้าใส่เย่เย่จากทุกทิศทุกทาง
“อันตราย!” ลี่เฉียนเฟิงตะเบ็งสุดเสียงเพื่อส่งสัญญาณเตือนเย่เย่ แต่ทว่าลี่อิงสาวกล้าไม่รีรอ นางพุ่งเอาตัวไปขวางและฉุดรั้งนักเลงทั้งสามเอาไว้ แต่ด้วยวรยุทธ์ขั้นแรกเริ่มบวกกับความอ่อนประสบการณ์ทำให้นางถูกปัดกระเด็นล้มลงอย่างไม่เป็นท่า ลี่เฉียนเฟิงผู้พี่รีบปรี่เข้ามาประคองร่างของน้องสาวเอาไว้ และมองอันธพาลทั้งสามด้วยความเจ็บแค้น
ทันทีที่สามเกลอบุกเข้าประชิดตัวเย่เย่ได้ เย่เย่ก็ทุ่มหัวหน้าตัวร้ายใส่พวกเขาจนล้มลงอย่างระเนระนาด
พลั่กกก
“อุ่กกก”
“โถ่เว้ย เจ้าพวกโง่!” หวางชวนสบถใส่ลูกสมุนที่ไม่ได้ความด้วยถ้อยคำหยาบคาย
เย่เย่เดินเข้าหาหวางชวน เขาใช้เท้าเหยียบเข้าที่กลางอกของชายฉกรรจ์อย่างแรง
“อั่กกก เจ้าบ้านี่!?”
หวางชวนกระอักเลือดออกมากองโต เขาใช้มือข้างที่เหลืออยู่จับขาของเย่เย่ไว้แน่น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“พวกเจ้าชอบรังแกคนอื่นไปทั่วสินะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดของผู้ถูกรังแกซะบ้าง” เย่เย่ยิ้มเยาะพวกเขาทั้งสี่ ก่อนจะลงมือสกัดจุดตันเถียนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้ปีศาจ!”
“ไม่นะ! วรยุทธ์ของข้าหายไปแล้ว”
หวางชวนและพรรคพวกไม่สามารถใช้วรยุทธ์ หรือแม้กระทั่งฝึกฝนวิชายุทธ์ได้อีก ในตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วๆไป พวกเขาจึงได้แต่ก่นด่าเย่เย่ด้วยความคับแค้น
เฉินเซียนที่เป็นผู้ถูกกระทำมานานหลายปีก็รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นหวางชวนและสมุนได้รับผลกรรมที่สาสม
“ขอบคุณที่ช่วยพวกข้าเอาไว้ ข้าลี่เฉียนเฟิง และนี่น้องสาวของข้าลี่อิง ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อแซ่อะไรหรือขอรับ?” ลี่เฉียนเฟิงและลี่อิงกล่าวขอบคุณต่อชายผู้ที่ยุติเหตุการณ์ลงได้
“เย่เย่” เย่เย่ไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด เขาพูดชื่อจริงของเขาออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นใครมาจากไหน
“เย่เย่? ชื่อท่านเหมือนกับประธานหอการค้าหยูเย่เลย! ท่านกำลังจะมุ่งหน้าไปหลิงเฉิงสินะ ถ้าไม่รังเกียจละก็ให้พวกเราสองพี่น้องร่วมเดินทางกับท่านได้รึไม่?” ชายผู้พี่สับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของบุรุษแปลกหน้า แต่เขาก็คิดว่าการที่ชื่อแซ่เหมือนกันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ สองพี่น้องจึงพยายามชักชวนเย่เย่ให้เดินทางไปกับพวกเขาด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายด้วยความคาดหวัง
“ก็ได้ แต่ข้าหวังว่าอารมณ์ที่แปรปรวนของน้องสาวเจ้าจะไม่มารบกวนการทำงานของข้า”
“ในเมื่อท่านไม่อยากไปกับข้า พวกเราไปกันเองก็ได้ ฮึ!” ลี่อิงกอดอก สะบัดหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ
การที่นางมีนิสัยเอาแต่ใจนั้น เป็นเพราะครอบครัวของนางให้การสนับสนุนเลี้ยงดูปูเสื่อนางมาเป็นอย่างดีราวกับไข่ในหิน แม้แต่ลี่เฉียนเฟิงผู้เป็นพี่เองก็ต้องคอยประคบประหงมเอาอกเอาใจนางอยู่ร่ำไป เมื่อนางถูกปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาจากคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก นางจึงแสดงท่าทีออกมาราวกับเด็กๆ
“ลี่อิง! ขอโทษท่านเย่เย่เดี๋ยวนี้! ขืนเจ้ายังเสียมารยาทอยู่แบบนี้ ข้าพาเจ้ากลับบ้านแน่!” ชายผู้พี่ขึ้นเสียงตำหนิผู้เป็นน้องด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ขึงขัง
ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดุดันทำให้ลี่อิงตกใจกลัว ร่างของนางสั่นระริกราวกับจะร้องไห้ออกมา แม้ว่าผู้พี่จะใจอ่อนแต่เขาก็บังคับให้นางขอโทษขอโพยเย่เย่อยู่ดี
“ขอโทษละกัน!” ลี่อิงกล่าวขอโทษเย่เย่แบบขอไปที โดยที่ไม่หันหน้ามองชายคู่กรณี
ในขณะเดียวกันเฉินเซียนก็ไล่ตะเพิดเหล่าอันธพาลออกไปจากโรงเตี๊ยมของเขา เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือขอรับ ข้าเฉินเซียนติดหนี้บุญคุณท่านแล้ว หากท่านไม่รังเกียจข้าขอติดตามท่านไปด้วยคนได้ไหมขอรับ?” เมื่อเฉินเซียนรู้ว่าเย่เย่กำลังเดินทางไปยัง หลิงเฉิง เขาก็ไม่ลังเลที่จะติดตามชายแปลกหน้าไป
“ฮึ! คนไร้น้ำใจเช่นเขาไม่ต้องการให้เจ้าไปด้วยหรอก” แม้ว่านางจะขอโทษเย่เย่ไปแล้ว แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดแดกดันเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ลี่อิง !” เมื่อลี่เฉียนเฟิงขึ้นเสียงและมองผู้เป็นน้องด้วยสายตาอำมหิต น้องสาวผู้ปากคอเราะร้ายจึงสงบปากสงบคำลง
“เจ้าชื่อเฉินเซียนงั้นสินะ? ข้าจะให้เจ้าไปกับข้าก็ได้ แต่มีข้อแม้คือเจ้าต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับจิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้ามาให้หมด” เย่เย่ยื่นข้อเสนอให้กับชายหนุ่มผู้มีความฝัน
“ได้เลยขอรับ ยังไงซะจิตพลังของข้าก็ไม่ได้เป็นความลับมาแต่ไหนแต่ไร” เฉินเซียนตอบรับข้อเสนอของเย่เย่โดยไม่ลังเล เขาหายใจเข้าออกอยากช้าๆเพื่อควบคุมพลังปราณ และปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมา ผ่านไปได้สักพักกายเนื้อของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ลมหายใจของเขาแฝงไปด้วยความ ชั่วร้ายดุจดั่งปีศาจ
“นี่ก็คือจิตวิญญาณการต่อสู้ของข้า ข้าขนานนามมันว่า ‘ปทุมสีชาด’ แม้ว่าภายนอกของมันจะดูน่าเกรงขาม แต่ด้วยวรยุทธ์ที่หยุดพัฒนาของข้าทำให้มันไม่สามารถใช้งานในการต่อสู้จริงได้เลย”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนจะคลายจิตวิญญาณของตนออก ร่างแดงดุจยักษาของเขาค่อยๆกลับมาเป็นสีเนื้อเช่นปุถุชน…