บทที่ 145
ลำนำดอกบัวสีเลือด
เมื่อลี่เฉียนเฟิงได้เห็นพลังที่แปลกประหลาดของ เฉินเซียน เขาก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดของตนเพื่อบอกกับชายหนุ่มหน้าหยกอย่างตรงไปตรงมา
“บอกตามตรงนะ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แบบของเจ้าเลย ต่อให้เจ้าไปถึงหลิงเฉิงและเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ ตัวข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรอกนะ!”
‘คนเรานั้นยิ่งตั้งความคาดหวังไว้สูงเท่าไหร่ เมื่อผิดหวังก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น’ ลี่เฉียนเฟิงเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจปรัชญาข้อนี้ดีที่สุด เขาจึงพูดจาแทงใจดำเฉินเซียนเพื่อปกป้องเขาจากความเป็นจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า ลี่อิงที่พยายามจะห้ามปรามผู้เป็นพี่ แต่เมื่อฟังจนจบประโยคนางก็เข้าใจถึงเจตนาของลี่เฉียนเฟิง นางจึงได้แต่เงียบและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
เดิมทีเย่เย่ตั้งใจจะปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด แต่เมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณปทุมสีชาดของเฉินเซียน ทำให้เขานึกถึงกระบวนท่าลับ ‘ลำนำดอกบัวสีเลือด’ ที่เขาเคยเลื่อนผ่านตาในระบบแลกเปลี่ยน นอกจากที่มันจะเป็นวิชายุทธ์ที่เอาไว้ขัดเกลาพลังปราณที่ใช้ได้ทุกระดับชั้นและใช้ได้กับจิตวิญญาณทุกรูปแบบแล้ว มันยังทรงพลังมากๆอีกด้วย ทุกอย่างประจวบเหมาะราวกับมันเกิดมาเพื่อชายหนุ่มที่ชื่อเฉินเซียนเลยก็มิปาน
หากเฉินเซียนได้พลังนี้ไปครอบครองละก็ เย่เย่เชื่อว่าหนุ่มหน้าหยกผู้นี้แทบกลายเป็นอัจฉริยะแห่งแผ่นดินฉางหลางทัดเทียมกับโจวไท่ได้เลย ดังนั้นเย่เย่จึงกำลังไตร่ตรองถึงปัจจัยต่างๆที่จะรับเขาเข้ามาเป็นศิษย์อย่างเงียบๆ
“ข้าผิดหวังมานักต่อนักแล้ว ให้ผิดหวังอีกสักรอบจะเป็นไรไป ข้าเฉินเซียนผู้นี้มีความใฝ่ฝัน ตราบใดที่แสงแห่งความหวังยังสาดส่องมาถึง แม้มันจะริบหรี่แต่ข้าก็จะคว้ามันเอาไว้” เฉินเซียนดูเหมือนจะไม่ท้อถอยจากคำพูดของลี่เฉียนเฟิงแต่อย่างใด เขากลับมีไฟที่จะพิสูจน์ตนเองให้เป็นที่ประจักษ์
ชายผู้พี่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ลี่อิงที่ทนดูไม่ได้นางจึงพูดออกมาแทน
“ที่พี่ข้าพูดนั่นก็เพื่อตัวเจ้าเองนะ อย่างเจ้าน่ะสืบทอดกิจการที่บ้านและอยู่ซูเจิ้นไปชั่วชีวิตเถอะ!”
แม้ว่าลี่อิงจะมีเจตนาดี แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะพูดแบบขวานผ่าซากออกมาซึ่งทำให้ บรรยากาศในโถงรับรองของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความหดหู่
หลังจากที่เย่เย่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิดไปได้พักใหญ่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เขาเดินไปตบบ่าของชายหนุ่มและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ถ้าข้าบอกว่าข้ารู้จักวิชายุทธ์ที่เหมาะสมกับเจ้า เจ้าจะยอมมาเป็นศิษย์ของข้าไหม?”
สองพี่น้องได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งปากค้าง แต่ทั้งสองก็อดสงสัยในตัวเย่เย่ไม่ได้ หากเย่เย่ไม่ได้ช่วยพวกเขาไว้จากสถานการณ์วิกฤติ พวกเขาคงคิดว่าเย่เย่คือนักต้มตุ๋นอ่อนหัดที่พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ
อย่างไรก็ตามเฉินเซียนนั้นเชื่อสนิทใจ เย่เย่นั้นเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณในสายตาของเขา นอกจากจะช่วยปกป้องกิจการครอบครัวของเขาไว้แล้ว เย่เย่ยังทิปเขาด้วยตั๋วทองที่มีมูลค่า มากกว่าค่าอาหารที่สั่งมาอีกด้วย
“ข้าเฉินเซียน ขอคารวะท่านอาจารย์” หนุ่มหน้าหยกคุกเข่าคำนับเย่เย่ด้วยความเคารพ ท่ามกลางสายตาคัดค้านของคู่พี่น้อง
เย่เย่บอกให้เขาลุกขึ้น และกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า
“ไปหลิงเฉิงกับข้าตอนนี้เลย ข้าจะทำให้ชื่อแซ่ของเจ้าโด่งดังไปทั่วภูมิภาคเอง”
สองพี่น้องเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่อยากจะยอมรับ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้น
“พูดจาโอ้อวดซะเหลือเกินนะ” หญิงผู้น้องพึมพำสิ่งที่นางคิดออกมาเบาๆ
แม้ว่าเย่เย่จะได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร อีกทั้งเขายังหันหน้าไปพูดกับสองพี่น้องด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อพวกเจ้าจะไปหลิงเฉิงกันอยู่แล้ว ก็ไปพร้อมๆกับพวกข้าเลยสิ”
ลี่เฉียนเฟิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆออกมาโดยไม่รู้ตัว ด้วยความหวาดกลัวในพลังของชายแปลกหน้าทั้งสองจึงได้แต่ตอบรับเขาไปอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่เฉินเซียนร่ำลาบุพการีของเขาแล้ว เขาก็ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเย่เย่ผู้เป็นอาจารย์และสองพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกัน
หนึ่งวันให้หลังจากที่เย่เย่และคณะเดินทางออกจากเมืองซูเจิ้น ทั้งสี่ก็ได้ควบม้ามาถึงหุบเขาแคบ ลี่เฉียนเฟิงผู้ชำนาญทางก็ได้พูดขึ้น
“ด้านหน้าของพวกเราคือหุบเขาแคบ ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ หลิงเฉิงก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว!”
เฉินเซียนได้ยินดังนั้น เขารู้สึกตื่นเต้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเย่เย่ให้สัญญากับเขาว่าจะสอนวิชาทันทีที่ถึงหลิงเฉิง
เย่เย่ที่เห็นศิษย์ของเขาทำท่าดีใจออกมา เขาก็พลอยดีใจไปด้วย แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้เขาโศกเศร้าจากการสูญเสียคนรักไป แต่เขาก็ได้ศิษย์ที่เปรียบเสมือนลูกชายกลับมา เย่เย่ที่เห็นศิษย์ของเขาอดใจไม่ไหวที่จะได้ฝึกวิชา เขาจึงเล่าถึงรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับวิชายุทธ์ลำนำดอกบัวสีเลือดให้ฟังเป็นน้ำจิ้ม
สองพี่น้องที่เห็นศิษย์อาจารย์คุยกันอย่างสนุกสนาน ก็อดเบะปากมองบนเสียไม่ได้ เย่เย่ที่เห็นปฏิกิริยาที่ไม่ไว้วางใจของพวกเขา ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้พวกเขาฟัง ตราบใดที่ศิษย์ยังเชื่อมั่นในตัวเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความเชื่อใจจากคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งมีคนรู้เกี่ยวกับมันน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“หืม? ทำไมถึงมีคนมากมายนักล่ะ? พวกเขามาทำอะไรกันที่นี่?” คู่พี่น้องที่ควบม้านำหน้าพวกเขาก็ประหลาดใจเมื่อเห็นฝูงชนจำนวนมากทั้งชายหญิง รวมตัวกันอยู่ในช่องเขาด้านหน้าพวกเขา
ผู้คนเหล่านี้แต่งตัวดูมีสง่าราศี โดยส่วนมากไม่มาจากตระกูลใหญ่ ก็คงเป็นศิษย์สำนักที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกสารทิศในแผ่นดินจีน เมื่อพวกเขาเห็นเย่เย่และคณะก็ขี่ม้าตรงดิ่งเข้ามาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
“แหม่ อะไรกัน พวกท่านก็กำลังเดินทางไปหลิงเฉิงเพื่อเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่งั้นรึนี่?”
ชายนามโจวหลางพูดขึ้น
“อะไรนะ!? นี่เจ้ากำลังบอกว่าผู้คนทั้งหมดนี่กำลังจะไปเข้าร่วมหอการค้างั้นรึ!?”
เย่เย่ถามขึ้นและกวาดตามองชายหญิงมากหน้าหลายตาด้วยความรู้สึกที่กระอักกระอ่วน เขาไม่เคยคาดคิดว่าด้วยชื่อเสียงของเขาจะทำให้คนมารวมตัวกันได้ขนาดนี้ พลางนึกย้อนถึงตัวตนในโลกก่อนที่เป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนหาเช้ากินค่ำ ถึงตายไปก็ไม่มีใครเหลียวแล
ไม่เพียงเย่เย่ ลี่เฉียนเฟิงและลี่อิงต่างก็อึ้งไปตามๆกัน ทั้งสองรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล และเริ่มเป็นกังวลเมื่อต้องมีคู่แข่งจำนวนมากที่แย่งชิงพื้นที่ในการเข้าร่วมหอการค้าหยูเย่
“ใช่แล้ว แม้ว่าพวกเราจะมาจากคนละที่ แต่พวกเราทุกคนล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน!”
แม้ว่าโจวหลางผู้นี้จะมีระดับวรยุทธ์เพียงเทพยุทธ์ขั้นต้น แต่เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหนุ่มสามเหล่านี้ เขาจึงได้รับการยกย่องราวกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่
โจวหลางยิ้มพลางตอบคำถามของเย่เย่ ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังค่ายพักแรมที่ตั้งออกไปไม่ไกลนัก พวกเขากำลังรอฤกษ์งามยามดีเพื่อออกเดินทางไปยังหลิงเฉิงต่อในวันพรุ่งนี้
“วันนี้คือวันสุดท้ายที่คาราวานของพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันในฐานะมิตรสหาย พวกเจ้านับว่าโชคดีที่มาได้ทันเวลา วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางข้ามหุบเขามุ่งหน้าไปยังหลิงเฉิง…”