บทที่ 139
สวรรค์ชั้นฟ้าดาราดับสูญ
“ถึงตาข้าล่ะ!” ทันทีเย่เย่หยุดการโจมตีด้วยอาวุธลับ มูหลงกวัดแกว่งดาบขนาดใหญ่ปักลงกับพื้น พร้อมปลดปล่อยกระบวนท่า ‘ลำนำดาบเงาพันเล่ม’ ใส่เย่เย่
ชั่วพริบตาดาบสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็คืบคลานออกมาจากเงามืดของทุกสรรพสิ่ง และล้อมรอบเย่เย่เอาไว้ราวกับว่าเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
กระบวนท่าดาบของมูหลงนั้นเกินกว่าที่เย่เย่จินตนาการเอาไว้มาก เขาที่ไม่ทันตั้งตัวก็ตกอยู่ในวงล้อมอันดำมืดของดาบนิลโลหิตเสียแล้ว เย่เย่เห็นไม่ได้ที เขาจึงรีบใช้กระบวนท่าอสรพิษคำรนเพื่อดึงจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษออกมาเพื่อเพิ่มพลังป้องกัน
จากเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดมังกรปกคลุมขึ้นทั่วร่าง เขาใช้ความเร็วระดับเทพอสูรควบคู่กับจิตวิญญาณแห่งมังกร ปัดป้องการโจมตีของดาบสีดำที่พุ่งใส่เขาอย่างไม่หยุดยั้ง
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
เสียงการโจมตีดังสนั่นกึกก้องไปทั่วโถงกลาง พลังใจและความสามารถของเย่เย่ทำให้บทสรุปการต่อสู้ยังคงไม่แน่นอน แม้ว่าการโจมตีของมูหลงนั้นแทบไร้ช่องโหว่ แต่การตั้งรับของ เย่เย่นั้นเหนือชั้นยิ่งกว่า เขาป้องกันการฟาดฟันของคมดาบมนตรานับไม่ถ้วนด้วยกำปั้นที่เปลือยเปล่า
สมาชิกของหอการค้าหยูเย่ที่จับตามองค์การต่อสู้อย่างใกล้ชิด ลึกๆในใจพวกเขายังคงเชื่อมั่นว่าเย่เย่จะสามารถนำพาปาฏิหาริย์มาได้อีกครั้งหนึ่ง เสี่ยวหยูที่ยืนมองทั้งสองห้ำหั่นกันก็ทำตัวไม่ถูก เป็นห่วงเย่เย่
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่เย่เย่รับการโจมตีนับไม่ถ้วนเขาก็เริ่มคาดเดารูปแบบการเคลื่อนไหวของดาบเงาพันเล่มนี้ได้
“จังหวะนี้แหละ!” เย่เย่รวบรวมพลังปราณลงที่ปลายหมัด ผสานพลังของสายฟ้าและวายุเข้าด้วยกัน และซัดไปที่คมดาบนับไม่ถ้วนจนเกิดช่องว่างเล็กๆขึ้น เขาใช้โอกาสนี้เหยียบคมดาบที่พุ่งใส่เขาเป็นบันไดส่งตัวเขาลอดผ่านช่องนั้น ก่อนเงื้อหมัดพุ่งเข้าใส่ชายชราอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน!?”
เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
มูหลงไม่ทันตั้งตัว เขายกดาบนิลโลหิตขึ้นป้องกันการโจมตีของเย่เย่ จนทำให้ดาบของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เงาดาบนับไม่ถ้วนก็สลายหายไปราวกับถูกแสงสว่างเข้ามาแทนที่
“ตายซะ!” เย่เย่ใช้โอกาสนี้สาวหมัดอีกข้างที่ว่างอยู่อัดไปที่กลางอกของชายแก่อย่างไม่ลังเล แต่ทว่าทันใดนั้นเองมูหลงก็งัดวิชาลับไพ่ตายของเขาออกมา
ตู้มมมมมมมมมมม
แสงสว่างวาบขึ้น ผลักตัวของเย่เย่ที่เข้าประชิดเขากระเด็นออกไปไกล ทันทีที่ประกายแสงจางลง เย่เย่ก็พบว่าระดับวรยุทธ์ของมูหลงนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เปรี้ยงงงงงงงงงง
เร็วกว่าความคิด เพียงชักหมัดออกมาข้างหน้าคลื่นอัดกระแทกก็พุ่งเข้าใส่เย่เย่อย่างจัง เย่เย่ที่ใช้แขนข้างซ้ายรับไว้ได้อย่างฉิวเฉียดก็ทำให้กระดูกแขนซ้ายของเขาป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดี แขนเสื้อของเขาฉีกออกจากการปะทะที่รุนแรง
“อั่กกกกก” เขากระอักเลือดกองโต และล้มลง สีหน้าของเขาซีดเผือดราวกับซากศพ ในชั่ววินาทีนี้เย่เย่รู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เผชิญหน้ากับกระจกบุปผาจันทราวารีของหยางเฟิงเฟิง
ศิษย์อาจารย์คู่นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำให้เย่เย่ตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายเช่นนี้ได้
“น่าประทับใจที่เจ้าทำให้ข้าถึงกับต้องยอมงัดวิชาลับออกมาใช้เช่นนี้ ได้เวลาส่งเจ้าไปขอขมาต่อหน้ามิตรสหายของข้าในนรกแล้วล่ะ ตายซะ!”
ถึงแม้วิชาลับเทพีดาราจรัสแสงของเขาจะทรงพลัง แต่ผลค้างเคียงที่ตามมาก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ทุกครั้งที่เขาใช้มันเขาจะได้รับวรยุทธ์เพิ่มขึ้น 1 ขั้นแต่ ในขณะเดียวกันหลังจากหมดเวลาใช้งานวรยุทธ์ของเขาจะลดฮวบลง 1 ขั้นเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆก็คือหลังจากหมดเวลาเขาก็จะละทิ้งเทพอสูรและหวนคืนสู่เทพยุทธ์นั่นเอง
โดยปกติแล้วถ้าไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต มูหลงตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่ใช้ศาสตร์ต้องห้ามนี้ แต่ทว่าเย่เย่กลับบีบให้เขาจนตรอกจนต้องยอมใช้วิชาลับออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านประธาน!”
“นายน้อยเจ้าคะ!”
“ลูกเย่ ฟื้นสิ!”
ทั้งสมาชิกหอการค้าหยูเย่ เย่เทียน เย่เฉิง รวมไปถึงเสี่ยวหยูก็ตะโกนอย่างสุดเสียง พวกเขาต้องการปลุกเย่เย่ที่นอนไม่ได้สติให้ลุกขึ้นสู้
ดูเหมือนว่าเสียงของพวกเขาจะส่งไปถึงเย่เย่ ทันใดนั้นเองเขาก็ได้สติสัมปชัญญะกลับมา เขาจับข้อมือของชายชราที่กำลังฟาดฟันลงมาเพื่อปลิดชีพได้ทันราวกับปาฏิหาริย์
“ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ แต่ทันทีที่เจ้าได้เข้ามาเหยียบถิ่นฐานของข้าน่ะ ‘เจ้าได้ตายไปแล้ว’ ” ทันทีที่สิ้นเสียงเย่เย่ สมรภูมิของทั้งสองก็ถูกห่อหุ้มด้วยค่ายกลที่ปิดกั้นจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ ทั้งสองถูกดึงเข้าในมิติพิศวงที่มีชื่อว่า ‘สวรรค์ชั้นฟ้าดาราดับสูญ’
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่เย่เย่ออกแบบเพื่อรับมือกับมูหลงโดยเฉพาะ หน้าตาของมันดูราวกับห้วงอวกาศที่ล้อมรอบไปด้วยหมู่ดาว ไม่ว่าทั้งด้านบนหรือด้านล่างก็ไร้ที่สิ้นสุด มูหลงลอยตัวอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่อยู่ใต้กฎเกณฑ์ของผู้สร้างเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรจะสั่งเสียก็รีบๆพูดมาก่อนที่จะไม่มีโอกาส” เสียงของเย่เย่ดังก้องขึ้นท่ามกลางหมู่ดาวนับร้อยนับพัน
“เย่เย่โผล่หัวของเจ้าออกมาสู้กับข้านี่!” แม้ว่ามูหลงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับค่ายกลของเย่เย่มาบ้าง แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าเย่เย่จะทำได้ถึงขนาดนี้ ชายชราจึงได้แต่พยายามยั่วยุให้เย่เย่ ออกมาสู้กับตนซึ่งๆหน้า
“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่าท่านอยู่ที่ไหน” เย่เย่พูดเยาะเย้ยมูหลงที่ไม่ต่างอะไรจากหมูในอวย เขาเริ่มควบคุมหมู่ดาวนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีใส่ศัตรู
“ฮึ่ม!” มูหลงเห็นแสงสว่างจำนวนมหาศาลพุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็ว ราวกับธนูไฟที่ตกลงมาเป็นห่าฝนในสนามรบก็มิปาน เขาตั้งสติและใช้หมัดลุ่นๆโจมตีไปที่ดวงดาวเหล่านั้น
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม
ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์จำนวนมากระเบิดออก จนเกิดเสียงดังระงมไปทั่วทั้งจักรวาล การโจมตีของวิชาลับเทพีดาราจรัสแสงนั้นรุนแรงจนแทบจะทำให้ค่ายกลของเย่เย่พังทลายลง แต่ทว่า
“อั่กกกกก” ไม่นานนักเวลาที่จำกัดก็หมดลง สีหน้าของชายชราซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด เขากระอักเลือดออกมาในทันที เย่เย่ที่เห็นดังนั้นเขาก็รีบใช้พลังปราณทั้งหมดควบคุมหมู่ดาวและระเบิดมันออกจนทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่
“ตายซะ!”
“ไม่!!!!!” มูหลงตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวัง ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลดูดกลืนหายเข้าไปทั้งอย่างนั้น
เย่เย่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของจักรวาล เขาก็ได้หยุดการทำงานของค่ายกล โดมทรงครึ่งวงกลมที่ปิดกั้นโลกภายนอกก็ค่อยๆสลายไป เปิดเผยให้เห็นโถงกลางที่โอ่อ่าอีกครั้งหนึ่ง
ฟุ่บบบ
ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็ล้มลงด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เมื่อสมาชิกหอการค้าและแขกที่เข้าร่วมงานเห็นว่ามีเพียงเย่เย่ที่กลับออกมา แม้ไม่ต้องพูดอะไรผลลัพธ์ของการต่อสู้ก็เป็นที่ประจักษ์…