บทที่ 131
อับจนหนทาง
เข้าสู่วันที่ 7 ที่เย่เย่เดินทางมาถึงจิ้นเฉิงอย่างลับๆ เขาตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ที่บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ เมื่อเขาเดินไปเปิดหน้าต่างก็พบว่าบริเวณโดยรอบหอการค้าของเขาถูกโอบล้อมด้วยกำลังพลของภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกเป็นที่เรียบร้อย
กู๋หยูหลงได้นำกำลังไตรภาคีที่ประกอบไปด้วยอดีต 3 ขั้วอำนาจแห่งจิ้นเฉิงบุกฝ่าแนวป้องกันเข้ามาในบริเวณลานกว้างด้านหน้าได้สำเร็จ และได้ปิดล้อมประตูทางเข้าออกของหอการค้าเอาไว้
ทันทีที่เย่เย่เห็นดังนั้นเขาก็ไม่รอช้า รีบสั่งการให้ซูฉีเจี่ยและจางเสี่ยวยู่นำกำลังออกรับศึกในทันที
“พวกหอการค้าหยูเย่วันนี้เป็นวันตายของเจ้า ล้างคอรอเชือดได้เลย!” กู๋หยูหลงพูดข่มขู่เมื่อเห็นซูฉีเจี่ยและพรรคพวกปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า
“เลิกเพ้อฝันได้แล้ว แน่จริงก็เข้ามา!” ซูฉีเจี่ยกวักมือท้าทาย
“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่ทั้งสองกองทัพกำลังเข้าห้ำหั่นกัน เย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางสมรภูมิ
“เย่เย่!?” กู๋หยูหลงที่ควบม้านำทัพเข้าตีอย่างไม่ยำเกรง ด้วยความตกใจเขาก็ดึงเชือกบังเหียนอาชาของเขาอย่างสุดแรง
จากแหล่งข่าวที่เขาได้รับ หอการค้าหยูเย่สาขาสองมีเพียงซูฉีเจี่ยและจางเสี่ยวยู่ประจำการอยู่เท่านั้น นอกจากนี้เย่เย่ก็เพิ่งจะประกาศฤกษ์แต่งงานของเขาในเร็วๆนี้ ทำให้ผู้นำภาคีไม่คาดคิดว่าศัตรูตัวฉกาจของเขาจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
“อะไรดลใจให้หนึ่งในสามยักษาอย่างท่าน ต้องออกโรงด้วยตัวเองเช่นนี้?” การมาของอย่างลับๆของเย่เย่ ทำให้แผนการของพวกเขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า กู๋หยูหลงที่แม้ว่าสีหน้าจะซีดเซียวและร่างกายสั่นเทาไปด้วยความกลัว เขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามอริด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เช่นเดียวกับพรรคพวกของเขา ทันทีที่เห็นเย่เย่ปรากฏตัวขึ้น ความมั่นใจ และกำลังใจที่สั่งสมมาเนิ่นนานก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น พวกเขาหวาดกลัวจนแทบก้าวเท้าไม่ออกราวกับมองเห็นภูตผีปีศาจ
แต่สิ่งที่เย่เย่ทำนั้นเหนือความคาดหมายของพวกเขา เขาไม่ได้ลงมือโจมตีในทันที แต่เขากลับตอบคำถามของผู้นำภาคีด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ด้วยวรยุทธ์ของพวกเจ้า ไม่ต้องถึงมือข้าด้วยซ้ำไป แต่ไหนๆก็ไหนๆข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า หากพวกเจ้าเอาชนะซูฉีเจี่ยและลูกน้องของข้าได้ ข้าสัญญาว่าจะคืนจิ้นเฉิงให้กับพวกเจ้า” เย่เย่ยื่นข้อเสนอสุดพิเศษราวกับลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล หรือ 5.5 ซาลาด้าเดย์ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
ในสายตาของเขาภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกไม่ต่างอะไรจากกระสอบทรายที่ให้ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกทดสอบวรยุทธ์ขั้นเทพอสูรเท่านั้น
ด้วยไฟสงครามที่กำลังปะทุขึ้นทุกชั่วขณะในแผ่นดิน ฉางหลาง เย่เย่จึงหวังให้ซูฉีเจี่ยและคนอื่นๆก้าวเท้าขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับหอการค้าหยูเย่ เขาใช้โอกาสเหมาะนี้เพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ให้กับลูกน้องของเขาตามที่ตั้งใจเอาไว้
“จริงรึ?” กู๋หยูหลงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คำไหนคำนั้น” เย่เย่พูดพลางกอดอกและพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ ก่อนที่เขาจะเหาะเหินขึ้นไปบนหลังคาเพื่อรอชมผลผลิตจากยาบรรลุวิชายุทธ์อยู่ห่างๆ
ผู้คนในกองกำลังภาคีปลดแอกต่างมองกันไปกันมา พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะเอาชนะหอการค้าหยูเย่ในตอนนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบรับข้อเสนออย่างไม่ลังเล ก่อนที่ผู้นำภาคีของพวกเขาจะให้สัญญาณเปิดฉากการโจมตี
“ไร้ซึ่งเย่เย่ พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากปลาซิวปลาสร้อย ฆ่ามันให้หมด!” กู๋หยูหลง หยวนเซียงเจี่ย และจางซวยจี๋ ผู้นำทั้งสามพูดปลุกใจและนำกำลังของตนเข้าโรมรันศัตรูในทันที
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้!” กองกำลังภาคีกู่ร้องด้วยเสียงอันกึกก้อง ดังสนั่นไปทั่วทุกซอกทุกมุมของจิ้นเฉิง
พวกเขาไม่คิดว่าลำพังซูฉีเจี่ยและพรรคพวกจะทำอะไรได้ ภาคีปลดแอกจึงเดินหน้าโจมตีสุด กำลังเพื่อหมายเอาชัยให้ได้โดยเร็วที่สุด
แต่ความประมาทมักนำไปสู่ความตาย ทันทีที่ทัพของทั้งสองประจันหน้ากัน ทัพหน้าของภาคีปลดแอกก็ถูกซูฉีเจี่ยและพรรคพวกซัดหน้าหงายอย่างไม่เป็นท่า ทันใดนั้นเองจางเสี่ยวยู่ก็นำทัพอดีตสำนักเพลิงสวรรค์ตีขนาบข้างพร้อมกับฉีเชินเถ้าแก่ร้านค้าสารพัดนึกที่งัดสินค้าถูกๆในร้านออกมาใช้เป็นว่าเล่น
“อะไรกัน!? อย่าบอกนะว่าแกสำเร็จขั้นเทพอสูรแล้วน่ะ!?”
“ฉีเชิน นี่แกก็ด้วยงั้นรึ?”
“ตัวประกอบอย่างแกสองคนก็ด้วย!?”
“นี่พวกแกมีเทพอสูรกี่คนกันแน่!!”
ทัพหน้าที่ถูกตะบันหน้าล้มอย่างไม่เป็นท่า ส่งผลให้กระบวนทัพของภาคีจิ้นเฉิงถูกโอบล้อมเข้ามาทีละน้อยๆ
“ปราบพวกกบฏให้สิ้นซากอย่าให้มันหนีไปได้ วันนี้พวกเราจะรวมจิ้นเฉิงให้เป็นหนึ่งให้จงได้!”
เทพอสูรซูชูดาบขึ้นชี้ฟ้า พูดปลุกใจพลางควบม้าเข้าบุกทะลวงศัตรูอย่างไร้ความปรานี เหล่ากองกำลังผู้พิทักษ์หอการค้าที่ได้รับพลังใจอย่างเปี่ยมล้นก็ดาหน้าเข้าโจมตีศัตรูจนเสียรูปกระบวน
จางเสี่ยวยู่เองก็ไม่น้อยหน้า นำพลม้าของเขาวิ่งตีกรอบปิดทางหนีทีไล่ของศัตรูอย่างฉับพลัน พร้อมกับงัดอาวุธมนตราชนิดพิเศษที่หลอมขึ้นจากโรงตีเหล็กสำนักเพลิงสวรรค์ของเขาออกมาทำลายแนวหลังของศัตรู
ซูฉีเจี่ยที่บุกตะลุยถึงกองกลางที่กู๋หยูหลงอยู่ เขาก็กระโดดจู่โจมด้วยความเร็วขั้นเทพอสูร ประทับฝ่ามือลงที่กลางอกของศัตรูจนหงายหลังตกจากอานม้า
“น่ะ…นี่มันบ้าชัดๆ อ่อก” ร่างของผู้นำภาคีกระเด็นลอยไปไกล เขากระอักเลือดกลางอากาศ ก่อนที่จะต้านแรงดึงดูดของโลกไม่ไหวและตกสู่พื้นดินอย่างรุนแรง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่รู้สาเหตุว่าทำไมจู่ๆวรยุทธ์ของซูฉีเจี่ยถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนในชั่วข้ามคืน
ศิษย์แห่งพรรคแสงจันทร์เมื่อเห็นผู้เป็นนายนอนหมอบอยู่กับพื้น ก็รีบพยุงตัวของเขาขึ้นมาและชำเลืองมองเย่เย่ที่นั่งอยู่บนหลังคาอย่างสบายอารมณ์ด้วยความโกรธแค้น
“ข้าบอกแล้วไง ต่อให้ข้าไม่ต้องลงมือเองเจ้าก็เอาชนะพวกเขาไม่ได้” เย่เย่ทอดสายตาลงมาที่สมรภูมิและกล่าวขึ้น
กู๋หยูหลงที่อับจนหนทาง เขามองไปยังรอบๆสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพของฝ่ายตนจึงทุบพื้นอย่างแรงด้วยความเจ็บใจ ผู้นำภาคีกัดฟันกรอด ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งให้ยุติการต่อสู้ก่อนที่จะสูญเสียไปมากกว่านี้
“หยุดก่อน! ทิ้งอาวุธลงซะ!”