บทที่ 133
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ในขณะที่เสวี่ยหยูและซูฉีเจี่ยกำลังยุ่งวุ่นวายในการบริหารจัดการงานแต่งงาน เย่เย่และเสี่ยวหยูก็กำลังยืนต้อนรับแขกจำนวนมหาศาลจากทั่วทุกสารทิศอยู่ที่ประตูหน้าวัง
เสี่ยวหยูอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงขลิบทองยาวดูสง่างาม ใบหน้าและริมฝีปากเรียวเล็กของนางถูกแต่งเติมด้วยเครื่องประทินผิวดูเลอโฉม แต่สีหน้าของนางกลับดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย นางใช้มือเล็กๆของนางดึงแขนเสื้อของชายผู้เป็นที่รักไว้
“นายน้อย ท่านแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะว่าจะแต่งงานกับข้า?” แม้ว่าจะเป็นวันที่นางมีความสุขที่สุด แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของตัวนางเอง
เย่เย่ได้ฟังดังนั้นเขาก็ยิ้มอ่อนๆ และกุมมือของนางเอาไว้ ก่อนจะมองตาคู่สวยของนางและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็ไม่เคยทิ้งข้าไปไหน แม้ว่าข้าจะเคยสำมะเลเทเมาเจ้าก็คอยดูแลข้าเสมอมา ดังนั้นเสี่ยวหยู เจ้าคือผู้หญิงที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
เย่เย่ที่ใส่ชุดสีแดงขลิบทองเข้าคู่กับว่าที่ภรรยาของเขา ก็กุมมือเสี่ยวหยูไว้แน่น ความอบอุ่นที่ส่งไปถึงเสี่ยวหยู ทำให้จิตใจที่สั่นไหวของนางเริ่มสงบลง นางหันไปหาเย่เย่ด้วยรอยยิ้มก่อนพูดกับเขาขึ้นอีกครั้ง
“ข้าโชคดีจริงๆ ที่วันนั้นข้าได้พบกับท่าน…”
นางเริ่มพูดถึงเรื่องในวันวาน ตั้งแต่ที่นางได้รู้จักกับเย่เย่เป็นครั้งแรก งานแรกในฐานะสาวใช้ของนางคือส่งข้าวส่งน้ำให้ เย่เย่ที่ถูกเย่เทียนผู้เป็นพ่อลงโทษด้วยการขังไว้ในห้อง นับตั้งแต่วันนั้นทั้งสองได้พูดคุยกันผ่านซอกประตูที่ปิดสนิท จากความสัมพันธ์แบบเจ้านายและสาวใช้ก็ได้พัฒนามาเป็นเพื่อนสนิท จากเพื่อนสนิทก็กลายมาเป็นคนรู้ใจ
เย่เย่จำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้มากนัก แม้จะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำมาจากร่างเดิมก็ตาม ข้อมูลที่เขาได้รับมาในทีแรกมีเพียงข้อมูลเกี่ยวกับโลกฝั่งนี้โดยรวมเป็นส่วนมาก ดังนั้น
รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นจึงสูญหายไปพร้อมกับเย่เย่คนเดิมที่ถูกสังหารโดยหลินหยูฉี
เมื่อเขาได้ยินเสี่ยวหยูพูดในสิ่งที่เขาไม่รู้ เขาจึงยิ้มเจื่อนๆก่อนตอบกลับนางอย่างแนบเนียน
“เจ้าคือผู้หญิงที่สวยที่สุดสำหรับข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
“เจ้าค่ะ” นางตอบกลับพร้อมยิ้มกว้างออกมา
ถึงแม้เย่เย่จะเปลี่ยนกลายเป็นคนละคนนับตั้งแต่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ และเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิด แต่เสี่ยวหยูที่คลั่งรักก็เชื่อในตัวเขาอย่างสนิทใจ
หลังจากพูดคุยสองต่อสองกันอยู่นาน เย่เย่ที่ไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบในงานแต่งของเขาก็ได้สั่งให้ซูฉีเจี่ยและเหล่าผู้พิทักษ์ตรวจสอบและจับตามองแขกที่มาเข้าร่วมงาน หากมีใครที่ไม่ชอบมาพากลให้จัดการได้ในทันที
ชื่อเสียงเรียงนามของเย่เย่ในฐานะผู้ปราบมู่หรงตู่เฟิงผู้ทรงอำนาจได้แผ่ขจรขจายไปทั่วภูมิภาค ทำให้ขั้วอำนาจต่างๆที่มาเข้าร่วมงานไม่กล้าแข็งข้อ พวกเขาได้แต่มอบของขวัญที่ระลึกและแสดงความยินดี ก่อนที่จะนั่งลงในมุมที่คนของหอการค้าจัดสรรเอาไว้ให้ แม้แต่สำนักดาบ
ปฐพีไร้พ่ายที่เป็นถึงยักษาตนที่สองยังต้องส่งคนมาเพื่อแสดงความยินดีกับเขาด้วยเช่นกัน
สำนักดาบดังกล่าวแม้จะทรงอำนาจ และแข็งแกร่งกว่าตระกูลมู่หรง แต่พวกเขาก็เทียบกับตำหนักประกายแสงไม่ได้เลย ทว่าจ้าวสำนักของพวกเขาเป็นคนลึกลับ ไม่ค่อยมีใครเห็นหน้าคร่าตาเขามากนัก แม้กระทั่งหลินซิวเหยียนก็ยังเกรงกลัวพลังอำนาจของบุรุษลึกลับด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หลินซิวเหยียนและเสี่ยวหยุนหลงพร้อมพรรคพวกฝีมือฉกาจก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวัง
“น่ะ…นั่นมันหลินซิวเหยียน ประมุขของตำหนักประกายแสงไม่ใช่หรือไงน่ะ!?”
“นั่นเสี่ยวหยุนหลง เลขาผู้ชาญฉลาดของเขาก็มาด้วยหรือนี่!?”
เมื่อพลพรรคของตำหนักประกายแสงปรากฏตัวขึ้น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่พวกเขา แม้กระทั่งเย่เย่และเสี่ยวหยูเองก็ชายตามองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แปะ แปะ แปะ
หลินซิวเหยียนปรบมือสามครั้งขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางฝูงชนที่ตกตะลึง
“น่ายินดีอะไรเช่นนี้ ข้าหวังว่าท่านทั้งสองจะถือไม้เท้ายอดทอง ตะบองยอดเพชร ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ครองรักกันไปตราบชั่วนิรันดร” ยักษาตนแรกกล่าวแสดงความยินดีต่อยักษารุ่นน้องอย่างสนิทชิดเชื้อ ถึงแม้น้ำเสียงจะกวนบาทาไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีของความเป็นปรปักษ์
“ต้องขออภัยด้วยที่พวกเราตำหนักประกายแสงมาร่วมงานโดยไม่ได้รับเชิญ ข้าหวังว่าท่านประธานเย่จะไม่ถือสา”
“ท่านหลินกล่าวเกินไปแล้ว ท่านอุตส่าห์มาถึงเมืองหลิงเฉิงเช่นนี้ข้าจะไม่รับความปรารถนาดีของท่านได้อย่างไร เชิญนั่งก่อนงานใกล้จะเริ่มแล้ว” เย่เย่ตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เขาสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเสี่ยวหยูสั่นเทาด้วยความกลัว เขาจึงรีบใช้มือโอบเอวของเสี่ยวหยูพลางกุมมือนางไว้แน่นเพื่อปลอบโยนนาง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร แต่เย่เย่ไม่คิดว่าตำหนักประกายแสงจะกล้าเปิดฉากการโจมตีขึ้นที่เมืองหลิงเฉิงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหลินซิวเหยียนไม่ได้นั่งลงตามคำบอกของเย่เย่ หนำซ้ำเขายังพูดจาก่อกวนยั่วยุเย่เย่อีกด้วย
“ท่านประธานเย่ช่างสุภาพอ่อนน้อมสมคำร่ำลือ ข้ารู้ดีว่าท่านมักเป็นกันเองกับลูกน้อง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะกินตับสาวใช้ของตนได้ลงคอเช่นนี้” เขาพูดพลางใช้สายตาเจ้าเล่ห์ลวนลามเสี่ยวหยู สีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีแต่เดิมของนางก็ซีดลงด้วยความอับอาย มือเล็กๆของนางก็บีบมือของเย่เย่แรงขึ้นด้วยความเครียดพร้อมกับกัดริมฝีปากของตนจนเลือดซิบออกมาด้วยความโกรธ
“หุบปากของเจ้าซะ เจ้าคนสามานย์” แม้ว่าเย่เย่จะยังคงใจเย็น แต่ซูฉีเจี่ยและเจิ้งซูกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งสองชักดาบประจำกายออกมาก่อนพุ่งเข้าใส่คนไร้มารยาทในทันที
“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นเองเย่เย่ก็สั่งให้ทั้งสองยุติการโจมตี ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับศัตรูของเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่แฝงไปด้วยความโกรธ
“ถ้าท่านหลินต้องการเป็นศัตรูกับหอการค้าหยูเย่แล้วละก็ เชิญบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ แต่ข้าขอเตือนท่านไว้อย่าง ตำหนักประกายแสงของท่านจะได้กลายเป็นหอการค้าหยูเย่สาขาที่ 3 ของข้าแน่” สิ่งที่เย่เย่พูดนั้นไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้แต่น้อย เขาได้ติดตั้งค่ายกลจำนวนมากไว้พร้อมรับการปะทะได้ทุกเมื่อ
“แหม่ ข้าล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นจริงเป็นจังไปได้ ใครจะไปกล้าหือกับท่านเย่ผู้ยิ่งใหญ่กันล่ะ? หรือต่อให้มีก็ไม่ใช่พวกข้าหรอก อย่าได้กังวลไปเลย” หลังจากหลินซิวเหยียนยั่วยุเย่เย่ได้สำเร็จ เขาสั่งให้ลูกน้องนั่งลงตามแผนที่วางไว้ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
‘ต่อให้มีก็ไม่ใช่พวกข้า?’ แม้ว่าเย่เย่รู้สึกสะกิดใจกับคำพูดของหลินซิวเหยียน แต่ไม่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก ต่อให้เกิดเรื่องจริง ด้วยวรยุทธ์ระดับเทพอสูรขั้นสูงของเขาในตอนนี้ก็น่าจะรับมือได้ไม่ยาก เย่เย่จึงจูงมือเสี่ยวหยูเข้าไปด้านในเพื่อเริ่มพิธี…