บทที่ 147
รวมกลุ่ม
“ท่านเย่เย่ ท่านมัวรออะไรอยู่ ในเมื่อเป้าหมายของพวกมันคือโจวหลาง ทำไมพวกเราถึงไม่รีบออกไปจากที่นี่กันล่ะ!?” ลี่อิงที่ตามหลังเย่เย่อยู่ไม่ไกล นางก็ควบม้ามาหาเย่เย่และพูดกับเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเป็นกังวล หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว
ลี่เฉียนเฟิงผู้พี่ก็รู้สึกหวาดผวาไม่ต่างไปจากนาง แต่เขาเลือกที่จะอยู่เงียบๆและปล่อยให้เย่เย่เป็นคนตัดสินใจ
“เฉินเซียน ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำยังไง?” เย่เย่ไม่ได้ตอบโต้สองพี่น้องในทันที เขาหันหน้าไปถามเฉินเซียนผู้เป็นศิษย์ราวกับอยากจะทดสอบไหวพริบปฏิภาณของเขา
เมื่ออำนาจในการตัดสินใจตกมาที่มันสมองและสองมือที่อ่อนประสบการณ์ของเฉินเซียน ชายหนุ่มหน้าหยกก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าที่เคย เขาขมวดคิ้วพลางนึกคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเสนอแนวความคิดของเขาขึ้น
“ถ้าพวกเรารีบหนีไปก็ดูเมินเฉยต่อโจวหลางมากเกินไป หากพวกเราปักหลักอยู่เพื่อคอยช่วยพวกเขา ผลลัพธ์ก็จะไม่ต่างอะไรกับเข้าร่วมกับพวกเขาตั้งแต่ทีแรก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเราควรทำสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อเตือนพวกเขาไว้”
“ไม่เลว แล้วถ้าพวกเขาไม่เห็นสัญลักษณ์นั้นล่ะ?”
“แต่ข้ากลับคิดว่าต่อให้เขาสังเกตเห็นสัญลักษณ์ แต่พวกเขาก็ไม่น่ารับมือกับกลุ่มโจรที่ปิดล้อมตลอดแนวเขาได้หรอกนะ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเลย เดี๋ยวข้าจะกลับไปช่วยพวกโจวหลางเอง!”
แม้ว่ากวนเหยาและเฉินเยว่นั้นจะไม่เป็นมิตรกับเย่เย่ แต่พวกเขาอาจกลายเป็นกำลังสำคัญของหอการค้าหยูเย่ในอนาคตก็เป็นได้ ดังนั้นเย่เย่จึงตัดสินใจกลับไปช่วยเหลือพวกเขา
“ท่านเย่ ท่านจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่ออะไรกันล่ะ? แค่ทิ้งสัญลักษณ์เตือนพวกเขาไว้ก็น่าจะเพียงพอแล้วนี่?” ลี่เฉียนเฟิงถามขึ้นพลางเอียงคอด้วยความสงสัย
เฉินเซียนและลี่อิงต่างก็มองเย่เย่ด้วยความงุนงง ทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เย่ถึงกับต้องลงทุน กลับไปช่วยกลุ่มคนที่ดูถูกเหยียดหยามเขา
เย่เย่สังเกตเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไรมากนัก แต่เขาก็ตอบกลับเหล่าหนุ่มสาวกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ตราบใดที่เจ้ามีเจตนาดี เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจ”
เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้น พวกเขาก็รู้สึกเลื่อมใสในทัศนคติของเย่เย่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านเย่ช่างเป็นที่โอบอ้อมอารีเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเคยล่วงเกินท่าน เฉินเซียนเจ้าล่วงหน้าไปก่อนได้เลยแล้วก็ฝากน้องสาวข้าด้วยล่ะ ข้าจะกลับไปช่วยพวกโจวหลางพร้อมกับท่านเย่” หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดลี่เฉียนเฟิงก็ตัดสินใจทำตามแผนของเย่เย่
“ท่านพี่ ท่านจะทิ้งข้าเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!”
“ใช่แล้ว พวกข้าก็จะตามท่านไปด้วย!”
ลี่อิงและเฉินเซียนต่างก็มีความเห็นไปในทางเดียวกัน เย่เย่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ายืนกรานว่าจะตามข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้าไปถึงหลิงเฉิงได้โดยสวัสดิภาพเอง” เย่เย่ไม่ปฏิเสธความตั้งใจจริงของพวกเขา เขาพูดพลางคุมบังเหียนม้ามุ่งหน้ากลับไปยังทิศที่พวกเขาจากมา เฉินเซียนและสองพี่น้องก็ไม่รอช้าควบม้าของตนตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสี่ควบม้าไปจนพบคาราวานของโจวหลางที่ตามหลังพวกเขามาไม่ไกลนัก เมื่อเห็นว่ากลุ่มของ โจวหลางยังไม่ถูกโจมตี เย่เย่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พวกเจ้ากลับมาทำไมอีก? รู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาบ้างแล้วรึไง?” ทันทีที่เห็นพรรคพวกของเย่เย่กลับมา เฉินเยว่ก็ถามขึ้นด้วยถ้อยคำถากถาง
ลี่อิงคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเยว่ ทันทีที่นางจะเปิดปากสวนกลับลี่เฉียนเฟิงก็เอามือปิดปากนางเอาไว้ได้ทัน
“ท่านโจวหลางเพื่อนของท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าเพิ่งจะตระหนักขึ้นได้ว่าหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว หากพวกท่านไม่รังเกียจละก็ให้พวกเราเดินทางไปพร้อมกับท่านได้รึไม่?”
โจวหลางได้ยินดังนั้น เขาก็แสดงสีหน้าสับสนออกมา พลางหันไปมองเหล่าชายหนุ่มหญิงสาวในคาราวานของเขาราวกับต้องการความคิดเห็น
“เอาซี่ แต่ข้ามีเงื่อนไขเพียง 1 ข้อ” กวนเหยาแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเย่เย่อย่างแผ่วเบา
“เชิญท่านว่ามา”
“ง่ายมาก พวกเจ้าทั้งสี่ต้องคอยปรนนิบัติรับใช้พวกข้าจนกว่าพวกเราจะได้เข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ เมื่อถึงเวลาพวกข้าจะพิจารณารับพวกเจ้าเข้ากลุ่มอีกทีก็ได้” เมื่อฟังข้อเสนอของกวนเหยา พรรคพวกของเขาก็อดหัวเราะเยาะเย้ยออกมาไม่ได้
แม้ว่ากลุ่มของพวกเขาจะมาจากหลายพื้นที่ แต่ระดับชั้นวรยุทธ์นั้นก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากนัก ทุกคนภายในกลุ่มล้วนแล้วแต่มีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน แต่การที่กวนเหยายื่นข้อเสนอราวกับสัญญาทาสให้กับพวกเย่เย่นั้นก็เพื่อลดทอนเกียรติศักดิ์ศรีและต้องการทำให้พวกเขาอับอาย
“เจ้าใหญ่มาจากไหนถึงกล้ายื่นข้อเสนอเลวๆแบบนั้นมาให้พวกข้า ห๊ะ!?” ลี่อิงทนถูกพวกเขากระทำอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ นางจึงชี้หน้าตะโกนตอบโต้กวนเหยากลับไปบ้าง
ลี่เฉียนเฟิงเองก็ไม่ชอบใจท่าทีของกวนเหยา เขาก็ได้หันหน้าไปพูดกับโจวหลางหัวหน้าของกลุ่ม
“นี่ท่านไม่คิดว่าลูกน้องของท่านทำเกินไปหน่อยงั้นรึ!? ท่านเย่ของพวกข้าน่ะอย่างน้อยๆเขาก็เป็นถึงเทพยุทธ์เชียวนะ” แม้ว่าลี่เฉียนเฟิงจะไม่รู้จักระดับชั้นที่แท้จริงของเย่เย่ แต่จากเหตุการณ์ที่ซูเจิ้นทำให้เขาสามารถคาดเดาระดับวรยุทธ์ของเย่เย่ไว้ได้คร่าวๆ
“อะไรนะ!? เทพยุทธ์งั้นรึ” โจวหลางที่เพิ่งเคยพบเจอเทพยุทธ์ที่ดูอ่อนวัยกว่าเขาเป็นครั้งแรกก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“เป็นไปไม่ได้!” กวนเหยาชายตามองเย่เย่ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะยอมรับ
“ถ้าท่านข้องใจนักก็ลองดูสิ อย่างน้อยข้าก็เชื่อว่าท่านเย่ใจกว้างพอที่ไว้ชีวิตคนหยาบช้าเช่นเจ้าเอาไว้ล่ะนะ” ลี่อิงเสริมขึ้น
“ถ้าเขาเป็นเทพยุทธ์จริง เจ้ากวนเหยาก็แย่ล่ะสิแบบนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตรกลุ่มคนหนุ่มสาวต่างรุมหัวเราะเยาะชายผู้เสียหน้า
“เอาเถอะ ตราบใดที่พวกเจ้าต้อนรับพวกข้าอีกครั้ง ข้าก็ไม่ถือสาเอาความหรอก” เย่เย่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ในหัวของเขามีแต่การก้าวต่อไปข้างหน้าเท่านั้น…