บทที่ 156
คืนก่อนการประลอง
เมื่อครั้งที่เจิ้งซูประลองกับเจิ้งเทียนไช่เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลนั้น เจิ้งเทียนไช่ได้ใช้กระบวนท่าอาชาพยศ วิชาลับประจำตระกูลเจิ้ง ทำให้เจิ้งซูจดจำและนำมาประยุกต์ใช้เป็นของตนเอง
ก่อนหน้านี้ในศึกกับมู่หรงตู่เฟิง เย่เย่ก็ได้เรียนรู้ทักษะกระบวนท่าต่างๆระหว่างนั้นมาไม่น้อย เขาได้จดจำกระบวนท่าหนึ่งที่ใกล้เคียงกับกระบวนท่าอาชาพยศ และนำมันมาปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อน ก่อนที่เขาจะคัดลอกมันลงคัมภีร์เล่มหนาแล้วมอบแก่เจิ้งซู
“ขอบคุณท่านเย่ เจิ้งซูจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อนำชัยชนะมาสู่หอการค้าหยูเย่” เมื่อได้รับทักษะใหม่ๆ จากสีหน้าที่ห่อเหี่ยวก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ในใจลึกๆแล้วเขาก็ยังคงกังวลใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม
หลังจากเจิ้งซูเดินออกไปจากห้อง เย่เย่ก็มองแผ่นหลังของผู้ที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆด้วยความคาดหวัง
ในคืนก่อนวันประลอง ขณะที่เย่เย่กำลังโคจรลมปราณเพื่อยกระดับพลังของเขาอยู่นั้น เสวี่ยหยูได้เข้ามารายงานเกี่ยวกับการประเมินผลการทำงานของเหล่าสมาชิกใต้ความดูแลของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลี่อิงที่เย่เย่กำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ
“แล้วลี่อิงล่ะเป็นยังไง?” หลังจากฟังรายงานของคนอื่นๆอยู่นาน เย่เย่ก็ได้ถามถึงลี่อิงพลางรินน้ำชาให้เสวี่ยหยู
“ถึงแม้จะใจร้อนไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วนางก็เป็นเด็กที่น่ารักดีนะเจ้าคะ หลังจากมาทำงานกับข้านางก็เติบโตขึ้นมาก ข้ามั่นใจว่าท่านจะมองนางเปลี่ยนไปเลยล่ะ” เสวี่ยหยูยกหูถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบพลางหลับตาเพื่อลิ้มรสชาติและสูดกลิ่นหอมกรุ่นของมัน
เย่เย่รู้ดีว่าเสวี่ยหยูไม่ได้มาหาเขาเพียงแค่ต้องการรายงานการประเมินผลแน่ แต่เขาก็ไม่กล้าถามนางตามตรงและปล่อยให้นางเป็นฝ่ายได้พูดก่อน บรรยากาศในห้องส่วนตัวของ เย่เย่จึงเงียบสงัดลงและเปี่ยมไปด้วยความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“…เกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านกับเสี่ยวหยูงั้นหรือเจ้าคะ?” หลังจากเงียบไปได้พักใหญ่ ในที่สุดเสวี่ยหยูก็รวบรวมความกล้าและพูดออกมา นางเหล่มองเย่เย่ราวกับไม่อยากสบตากับเขาโดยตรง
เนื่องจากนางและเหล่าสมาชิกคนอื่นๆไม่ได้เห็นเสี่ยวหยู (ซูเหลียนหยู) มาเป็นระยะเวลาหนึ่งทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆนานา ทำให้เสวี่ยหยูที่มีใจให้กับเย่เย่รู้สึกไม่สบายใจกับข่าวดังกล่าว นางจึงมาถามเขาด้วยตัวเอง
แม้ว่านางจะไม่เชื่อคำซุบซิบนินทาของชาวบ้าน แต่นางก็อดสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้ ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงความหวังเล็กๆที่ก่อขึ้นในใจของนาง หัวใจเต้นระรัว เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายอันบอบบางจนทำให้แก้มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาทีละนิดๆ แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่นางก็อดคาดหวังในคำตอบของเย่เย่ไม่ได้
เมื่อเย่เย่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมา นัยน์ตาของเขาสะท้อนความสับสนอย่างบอกไม่ถูก เขาคว้าข้อมือเล็กๆทั้งสองของนาง จ้องใบหน้าอันสะสวยได้พักใหญ่ ก่อนจะสะบัดหน้าสลัดอารมณ์ออกไปจากหัวและพูดขึ้นกับเสวี่ยหยู
“ข้าคงบอกได้แค่ว่าโชคชะตาของข้ากับเสี่ยวหยูไม่สัมพันธ์กัน อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก”
เสวี่ยหยูได้ยินดังนั้นความเคลือบแคลงใจที่สั่งสมมานานก็สลายไปในทันที หัวใจที่รับรู้ได้ถึง โอกาสก็บานสะพรั่งขึ้นอีกครั้ง
“เช่นนั้นให้ข้าทำแทนนางนะเจ้าคะ…” เสวี่ยหยูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาที่ข้างใบหูของเย่เย่ ก่อนจะใช้มือเรียวเล็กลูบคลำไปที่แผ่นอกของเขา ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของนางทำให้ในหัวของเย่เย่ขาวโพลน
แต่ทว่าเขาก็หักห้ามใจตนเอง และจับไหล่ขาวเนียนของเสวี่ยหยูไว้ ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
“ข้าขอโทษนะเสวี่ยหยู แต่ข้าขอเวลาอีกสักหน่อย…” แม้ว่าหลังจากที่ซูเหลียนหยูกลับไปยังหมู่บ้านของนาง เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ต้องการใครสักคนมาชโลมหัวใจที่บอบช้ำ แต่ทว่าเย่เย่ก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ของตน
เขารู้สึกดีต่อความรักที่เสวี่ยหยูมอบให้ แต่ความเหงาของเขาก็ไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอที่จะให้
เสวี่ยหยูมาแทนที่ซูเหลียนหยูได้ นอกจากเพื่อปกป้องเสวี่ยหยูจากคำติฉินนินทาแล้วเขายังทำเพื่อตัวเขาเองด้วย
“ข้าเข้าใจแล้ว…” แม้ว่านางจะตอบกลับเย่เย่ด้วยรอยยิ้ม แต่นางก็เก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงที่สะท้อนออกมาจากหน้าต่างของหัวใจไม่ได้
เมื่อเสวี่ยหยูออกจากห้องไป เย่เย่ก็เปิดหน้าต่างชะเง้อมองค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพลางครุ่นคิดบางอย่างเป็นเวลานาน
เย็นวันนั้นที่ตำหนักประกายแสง เมืองหยางเฉิง
“ท่านหลิน ครั้งนี้ข้าหวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือกับข้าในการกำจัดเย่เย่ มีเพียงข้ากับท่านเท่านั้นที่จะจัดการกับเขาได้!” ในทิศตรงกันข้ามกับหลินซิวเหยียน ปรากฏให้เห็นชายชรารูปร่างผอม หลังจากคำนับแก่ประมุขของตำหนักแล้วเขาก็พูดเข้าเรื่องในทันที
เมื่อพูดถึงเย่เย่สีหน้าของชายชราก็บิดเบี้ยวอย่างผิดรูปด้วยความคับแค้นราวกับอยากจะฉีกร่างของอริออกเป็นชิ้นๆ ชายอาวุโสผู้นี้คือ ลั่วหยู ผู้อาวุโสของนิกายวิถีสวรรค์ 1 ใน 8 นิกายของฉางหลาง หลังจากที่ข่าวการตายของโจวไท่ผู้เป็นศิษย์มาถึงหูของเขา เขาก็อยากแก้แค้นมาโดยตลอดแต่ก็ถูกหยุดด้วยมติเสียงข้างมากจากผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ ทำให้เขาสั่งสมความแค้นมายาวนานจนแทบจะปะทุขึ้นเต็มที
ในเวลานี้แม้ความโกลาหลจะยังไม่สิ้นสุดแต่มันก็สงบลงบ้างเป็นครั้งเป็นคราว นิกายวิถีสวรรค์ของเขาก็ได้ผ่อนปรนกฎและข้อบังคับต่างๆลง ทำให้ลั่วหยูถือโอกาสนี้เดินทางมายังภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ด้วยตนเองเพื่อแก้แค้นให้กับลูกศิษย์ แต่แล้วเขาก็พบว่านอกจากเย่เย่จะกลายเป็น 1 ใน 3 ยักษาของภูมิภาคแล้ว เขายังโค่นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคอย่างมูหลงได้อีกด้วย
ลั่วหยูที่ตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่เย่ เขาจึงไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากหลินซิวเหยียนในทันที
“ท่านผู้อาวุโสลั่ว ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่ต่อให้ข้ายกกำลังพลทั้งหมดเข้าสู้ก็ยากที่จะต่อกรกับหอการค้าหยูเย่อยู่ดี” แท้จริงแล้วนั้นหลินซิวเหยียนไม่ได้คิดอย่างที่เขาพูด เขาเพียงเล่นตัวเพื่อฟังข้อเสนอที่ต้องการ
“ยากที่จะต่อกรไม่ได้หมายความว่าจะสู้ไม่ได้จริงไหม? วางใจเถอะงานนี้สำเร็จเมื่อไหร่ข้าจะตกรางวัลให้ท่านอย่างงาม” ชายชราตอบกลับอย่างตรงประเด็น
หลินซิวเหยียนเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาต้องการก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ดูเหมือนว่าศัตรูของท่านจะไม่ได้มีแค่หอการค้าหยูเย่แต่ยังรวมไปถึงสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายอีกด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านลั่วคิดจะทำยังไงต่อไป?”