บทที่ 161
โจมตีซึ่งๆหน้า
“ราชาวานร!”
ทันทีที่การโจมตีของเย่เย่กำลังจะถึงตัว หยางเซี่ยงหยุนก็ไขว้แขนทั้งสองข้างขึ้นที่กลางอก พร้อมปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมาเพื่อป้องกัน
หลังจากหยางเซี่ยงหยุนแผดเสียงดังกึกก้อง ร่างของเขาก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้าออกมา
อย่างไรก็ตามเย่เย่ก็ไม่รีรอให้ศัตรูได้ตั้งตัว เขาโคจรลมปราณและปลดปล่อยจิตวิญญาณมังกรอสรพิษพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่อง
“ยอมจำนนซะ!”
กำปั้นที่ถูกห่อหุ้มด้วยเกล็ดของมังกร ซัดเข้าใส่แนวป้องกันของหยางเซี่ยงหยุนเข้าเต็มๆ
เปรี้ยงงงงงงงงงงงง
หยางเซี่ยงหยุนที่ยังปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาไม่เต็มที่ ก็ถูกหมัดตรงชกจนกระเด็นถอยออกไปไกล ขาทั้งสองข้างลากพื้นจนเกิดรอยยาว เขากระอักเลือดออกมาเล็กน้อยและเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยความหวาดกลัว
แม้เย่เย่จะข่มพลังของตนให้อยู่ในระดับเดียวกับคู่ต่อสู้แล้ว แต่ความห่างชั้นจากประสบการณ์การต่อสู้ก็แสดงให้สมาชิกตระกูลหยางทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์
เหล่าสมาชิกตระกูลหยางที่เพิ่งเคยเห็นการต่อสู้ของเย่เย่เป็นครั้งแรกก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไปตามๆกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงภายใน 1 กระบวนท่าอย่างที่เย่เย่พูดไว้จริงๆ
“ถ้ามีใครคัดค้านอีกก็เชิญเข้ามาได้เลย! หากไม่แล้วข้าจะเสนอแผนกู้สถานการณ์ของตระกูลหยาง จงฟังให้ดี”
“พวกเจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อม วันพรุ่งข้าจะพาพวกเจ้าโจมตีตระกูลเฉินแบบสายฟ้าแล่บ!”
หลังจากกำราบหยางเซี่ยงหยุนได้อยู่หมัด เย่เย่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาเสนอแผนการสำหรับวันพรุ่งนี้ในทันที
จากพลังที่เย่เย่แสดงให้พวกเขาเห็น ทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเย่เย่และรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นอีกด้วย
หยางซื่อไห่และบริวารได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับเย่เย่เสียงดังฟังชัด
“ขอรับ!”
ระหว่างที่ประชุมแผน เย่เย่ก็ได้สังเกตเห็นความผิดปกติจากสีหน้าของหยางเซี่ยงหยุน ซึ่งเย่เย่ก็อดสงสัยไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ปริปากบอกใคร
หลังจากแยกย้าย หยางซื่อไห่ก็นำทางเย่เย่ไปที่ห้องนอนที่คนใช้จัดเตรียมไว้ให้อย่างดี
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เมื่อมาถึงห้องนอนชายชราก็ขอตัว แต่ทว่าเย่เย่ก็รั้งเขาไว้ด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
“ท่านผู้อาวุโส พรุ่งนี้ข้าจะไม่ร่วมรบด้วย ตระกูลหยางคงต้องเพิ่งท่านและท่านตงหลิงแล้ว!”
“ท่านว่าอะไรนะ!? นี่มันไม่เหมือนที่ตกลงกันไว้นี่?” หยางซื่อไห่ขมวดคิ้ว พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
หลังจากที่กำลังสำคัญของตระกูลหยางล้มตายจากการลอบสังหารของนักฆ่าสกุลเฉิน ทำให้หยางซื่อไห่นั้นหวาดกลัวสกุลเฉินและไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้กับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงยอมลดศักดิ์ศรีของตนและถ่อไปไกลถึงหลิงเฉิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากเย่เย่ เมื่อได้ยินเย่เย่พูดดังนั้นเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะพาพวกท่านไป แต่ข้ายังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าข้าจะช่วยพวกท่านน่ะ
อีกอย่างตระกูลเฉินเป็นศัตรูของท่านไม่ใช่ของข้าสักหน่อย”
“ท่านเย่…ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ! ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใดข้าและตระกูลหยางจะสนองให้ท่านเอง” หยางซื่อไห่คุกเข่าลงด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ก่อนกล่าวขึ้นกับเย่เย่อย่างไม่อ้อมค้อม
“นี่ท่านคิดจะพึ่งข้าไปตลอดชาติงั้นรึ? หากไม่มีข้าแล้วตระกูลของท่านจะอยู่อย่างไร? เอาเถอะ ที่ข้าพูดมาไม่ใช่ว่าข้าจะให้พวกท่านไปสู้มือเปล่าสักหน่อย ส่งอาวุธของท่านกับ ท่านตงหลิงมาและข้าจะหาทางขัดเกลามันเอง” เย่เย่ตอบกลับด้วยสีหน้าที่มั่นใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ แม้ว่าจะไม่เข้าใจคำตอบและท่าทีที่มั่นใจของเย่เย่ แต่เขาก็ไม่ซักไซ้ต่อ ก่อนไปนำดาบดาวตกของเขาและกระบองปราการเหล็กของตงหลิงขั้นมาให้เย่เย่
เช้าวันต่อมาผู้คนสกุลหยางมารวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าคฤหาสน์เพื่อระดมพลพร้อมทำศึกชี้ชะตากับศัตรูคู่อาฆาตอย่างตระกูลเฉิน
ทันใดนั้นเย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับดาบดาวตก และกระบองปราการเหล็กที่ขัดเกลามาเป็นอย่างดีจนมันเงาเป็นประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ แม้ว่ามันต้องแลกมากับการใช้เหรียญจักรวาลจำนวนมากในการขัดเกลาอยู่หลายครั้ง แต่อาวุธทั้งสองก็มีพลังเทียบเท่ากับระดับชั้นเทพอสูรเลยทีเดียว
หยางซื่อไห่ และหยางตงหลิงต่างรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเย่เย่ ทั้งสองประสานมือคำนับเขาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนรับอาวุธของพวกเขากลับคืน
ในตอนนี้เองหยางซื่อไห่ที่ได้สัมผัสกับอาวุธชิ้นเดิมของเขา ก็เข้าใจถึงเหตุผลของเย่เย่ได้ทันที เขากวัดแกว่งดาบดาวตกพร้อมควบม้าขึ้นนำทัพด้วยความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไปถล่มพวกมันให้ราบคาบกันเถอะ!”
“โอ้อออออออออออ!”
พวกเขาควบม้าออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์และมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินอย่างรวดเร็ว
เมื่อยามเฝ้าประตูของตระกูลเฉินเห็นทัพของหยางซื่อไห่มาแต่ไกล เขาก็หวาดกลัวจนก้าวขาไม่ออก ได้แต่รีบปิดประตูและเสริมแนวป้องกันอย่างลนลาน
“เฉินโหยวตง โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!” หยางซื่อไห่ตะโกนเสียงดังจากหน้าคฤหาสน์ด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้น
เมื่อนึกถึงพรรคพวกที่ล้มตายจากการลอบสังหาร นัยน์ตาของเหล่าสมาชิกตระกูลหยางก็แดงก่ำและเปี่ยมไปด้วยความโกรธ แม้แต่หยางเซี่ยงหยุนเองก็มีความแค้นต่อสกุลเฉินไม่น้อยไปกว่าใคร
“หยางซื่อไห่ ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังไม่เข็ดหลาบงั้นสินะ คิดถึงพรรคพวกที่รับกรรมอยู่ในนรกหรือไง!?” เฉินโหยวตงตะโกนถากถางกลับ พร้อมสั่งให้ทวารบาลเปิดประตูและยกพลของเขาเผชิญหน้ากับทัพตระกูลหยาง
เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน บรรยากาศก็คุกรุ่นขึ้นราวกับมันพร้อมจะปะทุขึ้นในทุกเมื่อ
เฉินโหยวตงกวาดตามองไปรอบๆก็สบตากับชายที่เขาไม่คุ้นหน้าคร่าตาผู้อยู่ด้านหลังของหยางซื่อไห่ ก่อนจะถามขึ้น “เจ้าคงจะเป็นประธานหอการค้าหยูเย่ที่เขาร่ำลือสินะ!? นี่ท่านยื่นมือช่วยสกุลหยางงั้นรึ?”
เย่เย่ยิ้มจางๆ และตอบกลับเขาในทันที “ถ้าข้าบอกว่าใช่ล่ะ?”
วินาทีนั้นเองเหล่าผู้คนสกุลเฉินก็หน้าถอดสี นัยน์ตาของพวกเขาสะท้อนความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินโหยวตงนั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาพูดกับเย่เย่ขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“นึกไม่ถึงเลยว่าหอการค้าหยูเย่จะแทรกแซงมันไปทุกที่! ที่นี่คือเซียงเฉิง ท่านมีสิทธิ์อะไรมากดขี่ข่มเหงพวกเรา!?”
“ข้อแรก สกุลเฉินเพียงสกุลเดียวไม่สามารถแทนคนทั้งเซียงเฉิงได้ ข้อสองปลาใหญ่กินปลาเล็ก กฎง่ายๆแค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกงั้นรึ?” เย่เย่พูดพลางชูนิ้วขึ้นมาตามลำดับ…