บทที่ 163
สลาตันฟ้าคำรามขั้นสมบูรณ์
ในวินาทีความเป็นความตายของเฉินโหยวตงนั้นเอง ก็ได้มีลูกศรสีเงินพุ่งมาจากไหนไม่รู้ด้วยความเร็วสูงหมายคร่าชีวิตของหยางซื่อไห่
เย่เย่ตกใจแต่ก็ไหวตัวทัน เขาพุ่งเข้าไปตวัดฝ่ามือปัดป้องลูกธนูได้ทันท่วงที ก่อนจะแหงนหน้ามองไปยังทิศที่ลูกศรถูกยิงออกมา
ครืนนนนน
ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนก็ดังสนั่นขึ้น กองกำลังของตระกูลซ่งก็ได้แห่เข้าปิดล้อมทางเข้าออก รวมไปถึงบนหลังคาของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน พวกเขาเล็งหน้าไม้มายังเย่เย่และผู้คนตระกูลหยาง
“ยิงได้!!”
เมื่อหยางซื่อไห่สังเกตเห็นหน้าไม้ในมือของพวกเขา ใบหน้าของเขาก็ถอดสีในทันที เนื่องจากหน้าไม้นั้นไม่ใช่หน้าไม้ธรรมดาๆทั่วไป แต่มันคือ ศรทะลวงสวรรค์ ที่มีพลังเทียบเท่ากับเหล่าเทพอสูรและมักถูกใช้ในสงครามใหญ่ๆ
ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ผู้บุกรุก หยางเซี่ยงหยุนที่เป็นไส้ศึกก็ลอบโจมตีจ้าวตระกูลหยางอย่างไม่ให้ตั้งตัว
“อั่กกก นี่เจ้า ทำไมกัน!?” หยางซื่อไห่ล้มลง และ กระอักเลือดออกมา เขาขมวดคิ้วมองหยางเซี่ยงหยุนด้วยความประหลาดใจ
ก่อนที่หยางเซี่ยงหยุนจะโจมตีซ้ำ หยางตงหลิงก็ควงกระบองออกมาฟาดไปที่คนทรยศ
“ชิ! ไอ้ลูกหมา” หยางเซี่ยงหยุนพลิ้วหลบได้ทันพลางสบถออกมาด้วยความเสียดาย ก่อนจะถอยไปรวมกับทัพของตระกูลซ่ง
ทันทีที่หยางเซี่ยงหยุนถอยออกมา กองกำลังของตระกูลซ่งก็บุกทะลวงเข้าห้ำหั่นสมาชิกตระกูลหยางอย่างบ้าคลั่ง ศรนับไม่ถ้วนตกลงมาใส่พวกเขาราวกับห่าฝน
“หยางเซี่ยงหยุน ไอ้คนทรยศ!” คนสกุลหยางต่างตะโกนก่นด่าหยางเซี่ยงหยุนอย่างเคียดแค้น
ไม่นานนักพวกเขาก็ถูกสังหารจนล้มตายไปกว่า 1 ใน 3 ส่วน คนที่เหลือรอดต่างชูดาบขึ้นมากวัดแกว่งใส่ศัตรูที่รุกไล่เข้ามาอย่างหวาดผวา หยางตงหลิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลากร่างของผู้นำตระกูล และสั่งถอยกำลังเข้าไปหลบในชายคาของคฤหาสน์
“ผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้ที่อยู่รอด ตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆที่ร่วมมือกับตระกูลซ่ง” หยางเซี่ยงหยุนหัวเราะเยาะเหล่าผู้คนสกุลหยางที่ถอยหนีอย่างกระเจิดกระเจิง
“เซี่ยงหยุน ไอ้สารชั่ว! สกุลหยางต้องอับอายก็เพราะเจ้า! อ่อก” หยางซื่อไห่ชี้หน้าคนทรยศด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง หยางซื่อไห่และหยางตงหลิงก็เริ่มเข้าใจสาเหตุที่เย่เย่ไม่ได้บอกแผนอะไรให้กับหยางเซี่ยงหยุน นั่นเป็นเพราะเย่เย่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหยางเซี่ยงหยุนคือคนทรยศ
เฉินโหยวตงที่เกือบถูกสังหารก็ฉวยโอกาสนี้ประจบประแจงตระกูลซ่ง
“ท่านซ่งอู๋ และท่านหวังเทียน ข้าซาบซึ้งน้ำใจของพวกท่านยิ่งนัก เฉินโหยวตงผู้นี้จะไม่ลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย” เฉินโหยวตงก้มหัวคำนับผู้นำทั้งสองแห่งตระกูลซ่งและตระกูลหวัง แม้จะเจ็บใจอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านเฉินวางใจเถอะ พวกข้าจะไม่ปล่อยให้พวกหยางหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
ซ่งอู๋ยิ้มเยาะ พลางตบบ่าที่สั่นเทาของเฉินโหยวตงด้วยความรู้สึกของผู้ชนะ
“เย่เย่ นี่เจ้าคิดว่าเซียงเฉิงเป็นสนามเด็กเล่นรึไง!?” หวังเทียนชี้หน้าพลางมองเย่เย่ที่เหยียบย่ำกองซากศพของนักธนูอยู่บนหลังคา
เมื่อเหลือเย่เย่เพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ พลธนูต่างเล็งหน้าไม้มาที่เย่เย่เป็นเป้าเดียว
“เฮ้อ~ นี่เจ้าคิดจริงๆหรอว่าลูกธนูของพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” เย่เย่พูดขึ้นพร้อมยักไหล่ด้วยท่าทางยียวน
“โอหัง! พลธนูเตรียม! ยิง!” ทันทีที่หวังเทียนสะบัดมือให้สัญญาณ ลูกธนูนับไม่ถ้วนก็พุ่งแหวกอากาศตรงมาที่เย่เย่
“สลาตันฟ้าคำราม!” เย่เย่กำมือทั้งสอง โคจรลมปราณไปทั่วทั้งร่าง ทันใดนั้นสายลมกระโชกแรงผสานกับอสนีบาตสีม่วงก่อตัวขึ้นวนไปทั่วร่าง นัยน์ตาทั้งสองเปล่งแสงสีม่วงเจิดจรัสออกมา
หลังจากที่ฝึกฝนและบ่มเพาะพลังของธาตุทั้งสองอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เย่สามารถควบคุมสายฟ้าและพายุได้อย่างใจนึก
ครืนนนนนนนน
เพียงแค่เขาวาดหมัดไปข้างหน้า กระแสลมและสายฟ้าก็ผสานกันก่อตัวขึ้นเป็นรูปมังกรขนาดมหึมาและดูดกลืนห่าธนูเข้าไปจนหมดสิ้น
“ปะ…ปีศาจชัดๆ”
เย่เย่ไม่รอช้า เขาถีบขากระโดดลงจากหลังคาและพุ่งใส่ทัพของศัตรูอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า พร้อมใช้ฝ่ามือปล่อยคลื่นพายุลมสายฟ้าออกมา
“ถอยก่อน ถอย!”
ทัพของตระกูลซ่งแตกกระเจิง พวกเขาวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่ทว่ากองกำลังบางส่วนกลับถูกดูดกลืนเข้าไปในวังวนของพายุ
เป็นครั้งแรกที่ผู้นำแห่งสองตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งเซียงเฉิงสัมผัสถึงความปราชัย กำลังใจของพวกเขาถดถอยลงพร้อมๆกับสีหน้าที่ค่อยๆซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าพวกเขาจะวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เย่เพียงคนเดียวจะสามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ถึงตอนนี้พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดเรื่องยึดครองหลิงเฉิงในหัว แต่คิดหาหนทางเอาชีวิตรอดให้ได้เสียมากกว่า
“เย่เย่ หยุดก่อน! ข้ายอมแล้ว! ข้าสาบานว่าตระกูลซ่งและตระกูลหวังจะไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อท่านอีก ดังนั้นได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ!” แม้ว่าซ่งอู่จะลำบากใจแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงแต่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้เท่านั้น