บทที่ 164
ไร้เทียมทาน
เมื่อผลลัพธ์ของการต่อสู้เป็นที่ประจักษ์ หยางเซี่ยงหยุนก็กัดริมฝีปากจนเลือดซิบด้วยความเจ็บใจ แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เพื่อความอยู่รอดเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ เช่นเดียวกับเฉินโหยวตง แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าของเขาก็ได้บ่งบอกทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก
หยางซื่อไห่และเหล่าสมาชิกตระกูลหยาง ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงแต่โดยดี พวกเขารู้สึกติดหนี้บุญคุณเย่เย่ เพราะหากไม่ได้เขาช่วยเอาไว้ ตระกูล หยางคงถูกกวาดล้างไปแล้ว
เย่เย่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา แค่เพียงคำสัญญาของศัตรูไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอย่างเขาพอใจได้โดยง่าย เขาจึงตอบกลับซ่งอู๋ด้วยอย่างเลือดเย็น
“ยอมแพ้งั้นรึ? สาบานงั้นรึ? อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย! เจ้ามีแค่ 2 ทางเลือกยอมสวามิภักดิ์หรือตายแต่โดยดี!”
แม้ว่าเย่เย่จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่คำพูดของเขานั้นทะลุทะลวงผ่านโสตประสาทไปยังจิตใจของศัตรู
“เย่เย่ต่อให้เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค แต่สักวันหนึ่งเจ้าจะได้ชดใช้กับความลำพองตนนั้นของเจ้า!” คำพูดเย่อหยิ่งของเย่เย่ ทำให้หวังเทียนยั๊วะขึ้นมา
เมื่อตระหนักได้ว่าเย่เย่ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย ซ่งอู๋จึงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนตะโกนขอความช่วยเหลือจากสองผู้แปรพักตร์
“เฉินโหยวตง หยางเซี่ยงหยุน มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่เล่า ถึงเวลาแสดงคุณค่าของพวกเจ้าแล้ว!”
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนแผดเสียงดังเพื่อปลุกความกล้าของตนขึ้นมา
“พวกเจ้า! สนับสนุนการโจมตีของพวกเขาอย่างเต็มกำลัง!” หวังเทียนสั่งคนที่เหลืออยู่ ผนึกกำลังกับทั้งสองเข้าจู่โจมเย่เย่อย่างพร้อมเพรียงกัน
ตู้มมมมมมมมมมมมมมม!
มังกรลมสายฟ้าเริ่มแปรปรวนเมื่อถูกโจมตี กองทหารของตระกูลซ่งและหวังเริ่มได้ใจ พวกเขาลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่อง เย่เย่ที่เริ่มควบคุมพลังไม่อยู่ก็กลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ
หยางเซี่ยงหยุนและเฉินโหยวตงเห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนรัวหมัดใส่เย่เย่ที่ตกเป็นรอง
“ท่านเย่!?”
“คนที่ยังสู้ไหว มากับข้าปกป้องท่านเย่สุดกำลัง!”
หยางตงเหลียงเห็นท่าไม่ดี เขาเรียกบรรดาลูกน้องของเขา เข้าช่วยเหลือเย่เย่ที่กำลังถูกรุมทึ้ง แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับหวังเทียนว่าเย่เย่นั้นเย่อหยิ่ง แต่อนาคตของตระกูลหยางก็อยู่ในกำมือของเขา หากเย่เย่พ่ายแพ้ ตระกูลหยางก็จะล่มสลายด้วยเช่นกัน
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!” เมื่อถึงขีดจำกัดของการใช้สลาตันฟ้าคำราม เย่เย่ก็ผ่อนลมปราณลง และหมุนตัวซัดเข็มดัชนีเยือกแข็งพุ่งใส่ศัตรูที่มาจากทุกทิศทางอย่างแม่นยำ
ฉึก ฉึก ฉึก!
ฉูดดดดดดดดดด
ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ การโจมตีของเหล่าจอมยุทธ์ที่ถาโถมใส่เย่เย่อย่างบ้าคลั่งก็หยุดชะงักลง พวกเขาถูกอาวุธลับของเย่เย่ทิ่มแทงจนเลือดโพยพุ่งออกมาเป็นน้ำพุ
โครมมมมม
ร่างของเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลซ่งและหวังรวมไปถึงสองผู้นำตระกูลร่วงลงกระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่น นัยน์ตาของพวกเขาแสดงออกมาซึ่งความคับแค้นใจ ก่อนที่ดวงตาทุกคู่จะหลับไปตลอดกาล
เย่เย่สบโอกาสที่มีอยู่เพียงน้อยนิด หันหน้าตะโกนปลุกใจพวกหยาง
“มากับข้า วันนี้คือวันที่พวกเจ้าจะต้องรวมเซียงเฉิงให้เป็นหนึ่ง!”
เมื่อหยางตงหลิงได้ยินดังนั้น เขาก็ชูกระบองขึ้นและคำรามออกมาเพื่อเรียกขวัญกำลังใจของพวกพ้อง
เหล่ากองกำลังของตระกูลซ่งและหวัง เมื่อเห็นผู้นำของพวกเขาตายอย่างน่าอเนจอนาถ บ้างก็ตกใจกลัวจนก้าวขาไม่ออก บ้างก็ทิ้งอาวุธและวิ่งหนีไปอย่างกระเจิดกระเจิง เย่เย่และผู้คนสกุลหยางที่เหลือรอดก็ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไปแต่อย่างใด เนื่องจากสงครามได้ยุติลงแล้ว
แม้ว่าคนทรยศหยางเซี่ยงหยุนจะหนีไปได้ ตราบใดที่เขาไม่กลับมาระรานตระกูลหยาง หยางซื่อไห่ก็ไม่ติดใจเอาความใดๆอีก แทนที่จะไล่ตามคนทรยศไป เขากลับออกคำสั่งให้เก็บกวาดสมรภูมิรบ และเดินทางกลับคฤหาสน์ในทันที
สองวันถัดมาหลังจากสงคราม 4 ตระกูล เซียงเฉิงที่ลุกเป็นไฟก็กลับสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากการล่มสลายของทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ ตระกูลหยางจึงได้ขึ้นปกครองเซียงเฉิงไปโดยปริยาย พวกตระกูลน้อยใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความจงรักภักดีต่อพวกเขาอย่างไม่ขาดสาย
มีเพียงกองกำลังเล็กๆที่เคยขึ้นตรงกับอดีต 3 ตระกูลใหญ่ที่ยังคงไม่ยอมรับตระกูลหยาง หนึ่งในนั้นคือกลุ่มมังกรทองที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหวังมาอย่างเนิ่นนาน แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าล้างแค้นให้กับผู้มีพระคุณโดยตรง แต่ก็เลือกที่จะไม่ยอมจำนนต่อตระกูลหยาง ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มมังกรทองกระฉ่อนไปทั่วเมือง
หยางซื่อไห่ที่เพิ่งฟื้นจากการรักษาตัวก็เริ่มวางแผนจัดการกับเหล่ากองกำลังที่กระด้างกระเดื่องในทันที แต่การใช้กำลังโดยตรงอาจไม่ใช่คำตอบและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้ปกครองที่ดี เขาจึงตัดสินใจส่งคนไปเจรจาต่อรองกับ ชิวเซียนจือ หัวหน้ากลุ่มมังกรทอง แต่ผ่านไปหลายวันก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆกลับมา เขาจึงนั่งกุมขมับอยู่คนเดียวในห้อง
หลังจากช่วยเหลือตระกูลหยางได้สำเร็จ เย่เย่ก็จัดแจงผลประโยชน์ที่เขาได้รับ พลางนึกถึงสลาตันฟ้าคำรามขั้นสมบูรณ์ที่เขาดันใช้ได้โดยบังเอิญ ระหว่างนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ว่าประตูสู่ขั้นจิตพิสุทธิ์นั้นได้แง้มออกมา แต่ขณะที่นั่งลงโคจรลมปราณเพื่อเค้นพลังออกมาเพื่อทลายมันลง ประตูนั้นกลับปิดลงอีกครั้ง
‘อ๊าา!? ทำไมมันยากนักนะ! นี่ข้าทำอะไรผิดไปรึไง?’ เย่เย่ข่มตาลงด้วยความหงุดหงิด แม้ว่าการบรรลุขั้นเทพอสูรนั้นจะหนักหนาสาหัสเอาการ แต่การบรรลุขั้นจิตพิสุทธิ์นั้นยากกว่าเทพอสูรหลายสิบเท่า
‘เฮ้ออ ช่างมัน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป’ เย่เย่ลืมตาขึ้นพลางคิดในแง่ดีเพื่อปรับสมดุลทางอารมณ์ของตน ในขณะที่เย่เย่กำลังลุกออกจากห้องเพื่อไปถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันจาก หยางซื่อไห่ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากถามอะไร จ้าวตระกูลหยางก็ได้ยื่นจดหมายเชิญแปลกๆให้กับเย่เย่
“ภัตตาคารแสงจันทร์? คนส่งสาส์นนี้ได้บอกอะไรกับท่านเพิ่มเติมบ้างไหม?” เย่เย่ถามด้วยความสงสัย
“ข้ารู้แค่ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับข้า โดยอ้างว่าเป็นคำเชิญจากท่านลุงของเขา” ทีแรกหยางซื่อไห่เองก็งงงวยกับจดหมายเชิญที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยฉบับนี้อยู่ไม่น้อย แต่จ่าหน้าซอง
ระบุชื่อเย่เย่อย่างชัดเจน เขาจึงปล่อยให้เย่เย่เป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง
“ข้าเข้าใจแล้ว อย่าปริปากบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด คืนนี้ข้าจะไปที่นั่นด้วยตัวข้าเอง” เมื่อเย่เย่กวาดตาอ่านเนื้อในของจดหมายเสร็จสิ้นแล้ว นัยน์ตาก็สะท้อนความกังวลออกมา ก่อนจะสั่งหยางซื่อไห่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
หยางซื่อไห่ประสานมือรับคำสั่งเย่เย่ด้วยท่าทีขึงขัง และสั่งคนอื่นๆที่รู้เรื่องนี้ด้วยคำสั่งเดียวกัน
หลังจากทำธุระเสร็จสิ้น เย่เย่จึงเดินกลับไปยังห้องของตนในคฤหาสน์หยาง ก่อนจะงีบหลับเพื่อรอเวลากลางคืนมาถึง
ในคืนนั้น เย่เย่ได้แอบออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลหยางอย่างเงียบๆและมุ่งหน้าไปภัตตาคารแสงจันทร์เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงตามจดหมายเชิญ
ทันทีที่เย่เย่ผลักประตูบานใหญ่เข้ามา ก็พบกับบุคคลลึกลับที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี
“เจ้ายังไม่ตายนี่!” เมื่อประตูห้องรับรองเปิดออก เหยียนลี่หยางก็หันมาทักทายเย่เย่ด้วยคำพูดที่ไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นคำทักทายด้วยรอยยิ้มแต่สีหน้าของเขาก็ดูเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เขาโบกมือให้เย่เย่และตบเบาะเก้าอี้ข้างๆอย่างเป็นกันเอง
“กะแล้วว่าต้องเป็นท่าน!” เย่เย่ผิดหวังทันทีเมื่อเห็น เหยียนลี่หยาง
“แหะๆ ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยนะขอรับท่านเย่ ข้าน้อยไม่คิดว่าทัณฑ์สวรรค์จะลงมือเร็วถึงเพียงนี้!” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเย่เย่ เหยียนลี่หยางก็อดแกล้งเขาด้วยการพูดจาไพเราะเป็นไม่ได้
‘ไม่ต้องทำมาเป็นพูดเสียงสอง เสียงสามเลย เก็บไว้คุยกับแมวที่บ้านเถอะ’ เย่เย่คิดในใจ
ไม่นานนักเหยียนลี่หยางก็หุบยิ้มลง สีหน้าของเขาเริ่มจริงจังขึ้นทีละน้อย หากเย่เย่ถูกทัณฑ์สวรรค์สังหารในวันนั้นล่ะก็ ความพยายามที่ผ่านมาของเขาก็จะสูญเปล่า และต้องเริ่มทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ต้น
เย่เย่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาหยิบแหวนของอารามวิถีสวรรค์วางไว้บนโต๊ะ และกล่าวกับชายกลางคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าคืนสิ่งนี้ให้กับท่าน ข้าหมดธุระแล้วขอตัวก่อน”