“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้ข้าขาดแคลนเงิน ข้าต้องการซื้อของ ข้ารับมาก็ไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนสั่งซื้อหรือฆ่าใคร” ครั้งนี้วัลโดตอบอย่างให้ความร่วมมือ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าชายคนนั้นให้เขาลอบสังหารใคร
เดิมทีเขาคิดว่าคำตอบเช่นนี้อาจทำให้ปีศาจน้อยไม่พอใจ แต่ปีศาจน้อยก็ไม่ได้พูดอะไร สิ่งนี้ทำให้วัลโดสงสัยมาก เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแคลร์ได้รับเวทย์ลี้ลับที่อยู่เบื้องหลังน้ำตก ในตอนแรกที่เขาปกปิดเรื่องนี้แคลร์ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของจิตวิญญาณ ดังนั้นแคลร์จึงรู้ว่าเขาซ่อนความลับไว้
“หินจิตวิญาณของเจ้าใช้แล้วทิ้งหรือสามารถใช้ซ้ำได้? ” แคลร์ถามวัลโดอย่างเย็นชา
วัลโดขนลุกตั้งไปทั้งตัวแล้วตอบ “ใช้ได้ครั้งเดียว หลังจากใช้แล้วก็ใช้ไม่ได้อีก”
“โอ้” เสียงของแคลร์ผิดหวังเล็กน้อย
วัลโดแปลกใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าแคลร์กำลังถามอะไร ถ้าเขารู้ว่าแคลร์เริ่มคิดเกี่ยวกับหินจิตวิญาณของเขา เขากลัวที่อาจจะตายอีกครั้ง
วัลโดไม่กล้าพูด แต่รอให้แคลร์พูดอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขาเป็นลูกแกะที่กลัวถูกฆ่าอย่างแท้จริง เขาสูญเสียพลังทั้งหมดไป และที่สำคัญที่สุดคือเขายังถูกจับโดยปีศาจน้อยตัวนี้ด้วย
“เอาล่ะ ไปนอนเถอะ” นี่คือสิ่งวัลโดได้ยินแคลร์อย่างเกียจคร้านพูดหลังรอมาสักพัก แคลร์ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปที่เตียง วัลโดตาโต
โอ้ๆๆ พระเจ้า ปีศาจน้อยตัวนี้หุ่นที่ดีจริงๆ
วัลโดจ้องไปที่แคลร์ ขณะที่นางถอดกางเกงในที่เหลืออยู่ออกพลางถอนหายใจ นักเวทย์ดำและวิญญาณไม่บูชาเทพแห่งแสง แต่เป็นเทพแห่งความมืดต่างหาก
“ถ้าดูอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเจาะรูในหินของเจ้า? ” คำพูดแผ่วเบาของแคลร์ทำให้วัลโดจมดิ่งลงไปในหินและไม่ส่งเสียงอีกต่อไป
แคลร์ล้มตัวลงนอน แต่ไม่ได้คิดมากกับสิ่งที่วัลโดพูด ไม่สำคัญว่าใครจะถูกลอบสังหาร แคลร์คิดถึงเรื่องอื่น สิ่งที่นักเวทย์แห่งความมืดต้องเรียนรู้นั้นแตกต่างอย่างมากจากเวทมนตร์ที่นางได้สัมผัส แล้วเวทมนตร์แห่งความมืดเป็นอย่างไรล่ะ? สิ่งที่แคลร์ต้องการคือบีบเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากวัลโดให้มากที่สุด นางยังสงสัยว่าจะได้หินจิตวิญญาณนั้นมาได้อย่างไร ถ้านางสูญเสียร่างกายไปในการต่อสู้ นางจะสามารถครอบครองหินจิตวิญญาณและเกิดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่?
กลางคืนนั้นเงียบสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้นแคลร์และจินเหยียนซื้อม้าและเดินทางกลับ
ตอนเที่ยงทั้งสองหยุดพักผ่อนและรับประทานอาหารในป่า
พวกเขาสองคนกินอาหารอย่างเงียบๆ มีความสงบอยู่รอบตัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาแต่ไกล ใครบางคนกำลังมาที่นี่
จินเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มีห้าคน”
แคลร์ไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับการได้ยินของจินเหยียน
ไม่นานพวกเขาก็สามารถมองเห็นกลุ่มห้าคนจากระยะไกลได้ ทั้งหมดขี่ม้ามา แต่พวกเขารู้จักคนกลุ่มนี้ดี เพราะนั่นคือกลุ่มขององค์ชายสองและเจ้าหญิงแมริส ด้านหลังพวกเขาคืออัศวินที่แข็งแกร่งสามคนซึ่งน่าจะเป็นอัศวินแห่งสายลม องค์ชายสองและแมริสต่างแต่งตัวเหมาะกับการผจญภัย แมริสดูมีพลังมากขึ้นในชุดที่ดูแข็งแกร่งของนาง
“ฝ่าบาท” จินเหยียนและแคลร์ลุกขึ้นและแสดงความเคารพ
ประกายสับสนเกิดขึ้นในดวงตาขององค์ชายสองแล้วก็หายไป ด้วยนิสัยของกอร์ตั้นแล้ว เขาไม่แปลกใจเลยที่แคลร์จะปรากฏตัวที่นี่
“แคลร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม? ” แมริสลงจากหลังม้าอย่างเรียบร้อย ดูมีความสุขมากที่ได้เจอแคลร์ที่นี่
“ใช้วันหยุดฤดูร้อนเพื่อสัมผัสประสบการณ์ในหุบเขาพายุเพคะ” แคลร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เจ้าหญิงผู้น่าหลงใหลนี้เป็นคนเดียวในโรงเรียนที่นางยินดีที่จะพูดคุยด้วย
“จริงหรือ? งั้นเจ้าได้อะไรล่ะ?” แมริสถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่มีอะไร มีแค่แกนเวทย์ระดับ 3 และสัตว์ประหลาดระดับ 4 เท่านั้นเพคะ” แคลร์ยังคงยิ้มจางๆ
“ขอให้ข้าดูหน่อยสิๆ ” แมริสเป็นเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนว่าที่แคลร์สามารถตีแกนเวทมนตร์ได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและประหลาดใจมาก
ขณะที่แคลร์และแมริสกำลังคุยกันนั้น ในจุดไม่มีใครมองเห็นจินเหยียนและองค์ชายกำลังทำท่าทางแปลกๆ เมื่อทำท่าเสร็จ ใบหน้าขององค์ชายก็ดูเคร่งขรึมและน่าสงสัยมากขึ้น เขาเหลือบมองแคลร์ที่กำลังยิ้มและคุยกับแมริสจากหางตา และเขาก็ตกใจ แคลร์คนนี้คือใคร? ไม่มีใครเข้าใจนางได้ คนที่ทำให้คลิฟขอเป็นศิษย์ได้นั้นไม่ใช่คนทั่วไปแน่นอน! แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขามั่นใจก็คือแคลร์ดูเหมือนจะไม่มีความรักต่อวิหารแห่งแสงเลย สำหรับบุคคลที่มีศักยภาพและภูมิหลังอย่างนาง การปฏิเสธวิหารแห่งแสงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับองค์ชายมาก
อำนาจพระเจ้าและอำนาจกษัตริย์มักจะขัดแย้งกันเสมอ
ขณะที่แคลร์กำลังคุยกับแมริส ก้อนหินเล็กๆ ในกระเป๋าของแคลร์ก็สั่นเล็กน้อย
แมริสหยิบแกนเวทย์ที่แคลร์มอบให้นาง นำไปให้พี่ชายดูอย่างกระตือรือร้น
แคลร์หยิบหินออกมาแล้วกระซิบ “ว่ามา”
“ข้าจะต้องซุ่มโจมตีกลุ่มนี้” เสียงของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์
อะไรนะ? เดิมทีเจ้าจะต้องโจมตีองค์ชายสองและองค์หญิงแมริสหรือ?! ใครกันที่เป็นคนจะฆ่าพวกเขา?
ราวกับเดาใจของแคลร์ได้ วัลโดกล่าวเสริมทันที “อย่าถามข้า ข้าไม่รู้ ข้าแค่จะเอาเงินไปทำสิ่งต่างๆ ” แต่ภารกิจนี้ราคาแพงมาก เพราะเขาต้องสูญเสียร่าง โดยที่ไม่ได้สัมผัสแม้เสื้อผ้าของเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างต้องโทษบุตรของวิหารแห่งแสงที่แวะมาที่หุบเขาพายุเพื่อเก็บยา หากเป็นผู้คนจากวิหารแห่งแสงคนอื่นๆ ก็พอไหว แต่บุตรแห่งแสงผู้นั้นที่แข็งแกร่งเกินมนุษย์! วัลโดเกิดความกลัวเมื่อเขาคิดถึงการต่อสู้นั้น
แคลร์ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะรู้ว่าไม่สามารถถามอะไรเพิ่มเติมได้
“แคลร์ กลับด้วยกันเถอะนะ” องค์หญิงแมริสเดินไปอย่างมีความสุข และนางก็เอาแกนเวทย์ที่แคลร์มอบให้นางไปด้วยอย่างระมัดระวัง
แคลร์ตอบรับคำเชิญขององค์หญิงแมริส และหลังจากพักผ่อนไม่นาน กลุ่มพวกเขาก็ออกเดินทางกลับไปยังเมือง
“แคลร์ สุดสัปดาห์หน้าจะเป็นวันเกิดของข้า ท่านพ่อจะจัดงานวันเกิดให้ข้า เจ้าต้องมานะ” องค์หญิงแมริสเชิญนางระหว่างทาง
“เพคะ” แคลร์ยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
ระหว่างทางองค์หญิงแมริสอยู่ติดกับแคลร์เพื่อเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่นางเข้าไปในหุบเขาพายุ จินเหยียนและองค์ชายเดินทางนำไปข้างหน้า องค์หญิงแมริสและแคลร์อยู่ตรงกลาง และอัศวินทั้งสามก็ตามมาด้านหลัง
องค์หญิงแมริสในเวลานี้แตกต่างจากที่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาในตอนนี้แตกต่างกับผู้หญิงที่เคร่งขรึมที่โรงเรียน นางคงเป็นตัวของนางเองในเวลานี้อย่างแน่นอน
ด้วยการเดินทางเช่นนี้ ทั้งกลุ่มจึงกลับสู่เมืองโบเทอร์ได้อย่างราบรื่น ที่ประตูเมือง แคลร์อำลาพวกเขา องค์หญิงแมริสบอกแคลร์ว่านางจะไม่กลับจนกว่าแควร์จะยอมรับไปร่วมงานวันเกิดของนางในสัปดาห์หน้าก่อน
แคลร์ไปที่สมาคมทหารรับจ้างและส่งมอบงาน จากนั้นก็กลับไปที่คฤหาสน์ของดยุกฮิลล์
“คุณหนูกลับมาแล้ว ท่านดยุกฮิลล์บอกว่าถ้าคุณหนูกลับมาแล้ว ให้ไปหาที่ห้องหนังสือ” พ่อบ้านกล่าวด้วยความเคารพ หลังจากทักทายแคลร์ที่ประตู พ่อบ้านที่มีใบหน้านิ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ทัศนคติของเขาที่มีต่อแคลร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะท่านดยุกกอร์ตั้นเริ่มรักแคลร์ แต่พ่อบ้านไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแคลร์ และยังเชื่อด้วยว่าแคลร์คือความหวังสำหรับอนาคตของตระกูลฮิลล์
“อื้ม” แคลร์ตอบเรียบๆ แล้วไปที่ห้องหนังสือโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากเคาะประตูห้องหนังสือเบาๆ เสียงอันสง่างามของกอร์ตั้นก็ดังมาจากข้างใน “เข้ามา”
แคลร์เปิดประตูเบาๆ ส่วนก็รออยู่ข้างนอก
“ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว” แคลร์ยืนอยู่ที่โต๊ะและพูดเรียบๆ พลางมองไปที่ชายชราผู้สง่างามที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน อูมาริสวมชุดคลุมสีน้ำตาลยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“เพิ่งกลับมาหรือ” กอร์ตั้นพยักหน้ายิ้มๆ แล้วยืนขึ้นแล้วพูดว่า “คราวนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง? “
“ดีเลยค่ะ ตามล่าสัตว์ประหลาดระดับสามและสี่ได้หลายตัว” แคลร์รายงานอย่างจริงจัง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่อูมาริที่อยู่ด้านข้าง อูมาริรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจากสายตาของแคลร์เขาจึงสบายใจ
“อืม มีอาการบาดเจ็บหรือไม่? ” กอร์ตั้นเดินไปหาแคลร์แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เลยค่ะ” แคลร์ส่ายหัวเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า ไม่เลว นี่แหละคือตระกูลฮิลล์ของข้า” กอร์ตั้นพยักหน้าอย่างมีความสุข
“นอกจากนี้ ท่านปู่ ข้าได้พบกับจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คลิฟด้วย” จู่ๆ แคลร์ก็เปลี่ยนบทสนทนาและพูดถึงเรื่องนี้
“งั้นหรือ?” กอร์ตั้นถามอย่างกระตือรือร้น
“เขาเป็นคนแก่ลามก” แคลร์พูดอย่างจริงจัง
ใบหน้าของกอร์ตั้นกระตุก เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คลิฟเป็นนักเวทย์จอมเจ้าชู้จริงๆ อาจารย์สาวสวยในโรงเรียนไรซิ่งซันก็ได้รับการดูแลจากเขา
อูมาริมองคนข้างๆ แปลก ๆ บางทีเขาอาจจะอยากหัวเราะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาไม่ควรหัวเราะ
“เขาบังคับให้ข้าไปเป็นศิษย์เขา แล้วยังให้กำไลเคลื่อนย้าย เสื้อคลุมล่องหน และของอื่นๆ มาอีกด้วย” แคลร์เสริมบางสิ่งที่ทำให้กอร์ตั้นปลาบปลื้ม
“จริงหรือ เป็นจริงหรือ? เช่นนี้หรือ? ฮ่าๆ เยี่ยมเลย” กอร์ตั้นกระตุกไปเล็กน้อย ภาษาของเขาไม่ราบรื่นนัก และจากนั้นเขาก็เอะใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องชอบแคลร์”
เมื่อได้เผชิญหน้ากับความสุขที่ไม่ธรรมดาของกอร์ตั้น แคลร์มองไปที่อูมาริที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าของอูมาริซับซ้อนเล็กน้อย เขาทั้งดีใจกับแคลร์ แต่ก็ผิดหวังเล็กน้อย
“คลิฟบังคับให้ข้าเป็นศิษย์ ข้าสัญญาว่าจะให้เขาเป็นอาจารย์ของข้า หลังจากที่เขาทำตามเงื่อนไขแล้วเท่านั้น” แคลร์มองไปที่อูมาริและพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
“อะไรนะ” กอร์ตั้นฟื้นสติขึ้นมา เมื่อได้ยินว่าหลานสาวที่มีค่าของเขาพูดจาหยิ่งผยอง เขากังวลว่านางจะทำให้อาจารย์คลิฟโกรธ