ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 69 ความคับแค้นแต่หนหลัง

ตอนที่ 69 ความคับแค้นแต่หนหลัง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 69 ความคับแค้นแต่หนหลัง

โรงเตี๊ยมผิงอันตั้งอยู่ในซอยเล็กที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวซอยหนึ่งบนถนนผิงเฉียว ส่วนด้านหน้าทางเข้ามีขนาดสองห้อง รอบบริเวณลานมีเรือนสามหลัง นับรวมกันแล้วก็มีเพียงเจ็ดถึงแปดห้องพัก แขกที่มาพักส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าต่างถิ่นจากซานตงที่มาค้าขายเมล็ดถั่วคั่วต่าง ๆ ในบริเวณลานจึงเต็มไปด้วยกองเมล็ดถั่วลิสง เมล็ดแตง และถั่วลันเตา จนสามารถได้กลิ่นของเมล็ดถั่วเหล่านี้ลอยอบอวลมาแต่ไกล

หม่าฟู่ซานไม่กล้าพาโจวเสาจิ่นไปยังโรงเตี๊ยมผิงอัน จึงจ่ายเงินหนึ่งเส้นเพื่อยืมใช้ห้องโถงของเรือนข้าง ๆ มาซักไซ้ขอทานชราผู้นั้น

“…แม้ว่านายท่านผู้เฒ่าจะเป็นบัณฑิต ทว่ากลับมีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน…ชอบดื่มสุราขอรับ ทุกครั้งที่ออกไปดื่มก็จะดื่มจนเมาหัวทิ่ม และทุกครั้งก็เป็นบ่าวที่พยุงนายท่านผู้เฒ่ากลับมา คอยรับใช้รินน้ำรินชาให้นายท่านผู้เฒ่า…ท่านสนิทสนมกับนายท่านสิบสองแห่งตระกูลกู้ยิ่งนัก นายท่านสิบสองแห่งตระกูลกู้ผู้นั้นมาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมียศถาบรรดาศักดิ์ เหตุใดนายท่านผู้เฒ่าถึงได้มีหน้าไปให้เขาเลี้ยงทุกครั้ง และเลี้ยงกลับเพียงบางโอกาสได้อย่างไรนั้น ก็เป็นเพราะขาดแคลนเงินทอง ทุกครั้งที่ส่งบ่าวไปโรงรับจำนำ บ่าวก็มักจะพูดคุยต่อรองกับเสมียนของโรงรับจำนำอยู่นาน ให้เปลี่ยนทรัพย์สินที่หลุดจำนำไปแล้วเป็นทรัพย์สินที่นำกลับมาจำนำได้ใหม่ ส่วนที่เป็นทรัพย์สินที่จำนำได้ก็ให้จ่ายเงินค่าจำนำมากขึ้นอีกสักหน่อย…” ขอทานชราพยายามอวดอ้างคุณงามความดีของตนอย่างสุดความสามารถ

โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ท้ายห้องโถงกลางได้ยินแล้วก็รู้สึกแน่นหน้าอก กระซิบบอกซือเซียงสองสามประโยค

ซือเซียงพยักหน้ารับคำ แล้วออกไปบอกหม่าฟู่ซานสองสามประโยค

หม่าฟู่ซานชายตามองขอทานชราที่ค้อมตัวก้มศีรษะติดอยู่กับพื้นครั้งหนึ่ง พยักหน้าเบา ๆ แล้วถามว่า “เจ้ากล่าวถึงตระกูลกู้ หมายถึงตระกูลกู้ที่อาศัยอยู่ที่ซอยเหมยฮวาใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ ๆ!” ขอทานชราที่พูดคนเดียวอยู่นาน เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่เหนือที่หัวนาน ๆ ทีจะมีท่าทีตอบกลับ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

หม่าฟู่ซานคำรามเย็นเสียงหนึ่งขึ้นทันที

ขอทานชราผู้นั้นมองเห็นเพียงแต่กระโปรงจีบสีขาวครึ่งตัวที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้มีเท้าแขนเคลือบสีดำ ก็รู้แล้วว่าภายในห้องนี้มีสตรีอยู่ด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายผู้มีหน้ามีตาของคุณหนูรองตระกูลโจวก็เป็นได้ เขาจึงไม่กล้ามองอีกต่อไป รีบก้มศีรษะลง หมอบลงบนพื้น

“ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบอย่างนั้น” หม่าฟู่ซานกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “อย่าบังอาจพูดจาปลิ้นปล้อนเหมือนมีม้าวิ่งอยู่ในปาก”

“ขอรับ ๆ ๆ” ขอทานชราพยักหน้าหงึก ๆ เสมือนไก่น้อยจิกรำข้าว

หม่าฟู่ซานส่งเสียงพึงพอใจเสียงหนึ่งออกมา และกล่าวว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก เจ้าเล่าต่อไปสิ!”

“ขอรับ!” ขอทานชราเงยหน้าขึ้นอย่างงงงัน แล้วรีบก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง

ประเดี๋ยวก็ให้ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น อีกประเดี๋ยวก็ให้เขาเล่าต่อไป ตกลงจะให้เขาถามอะไรก็ตอบอันนั้น หรือให้เล่าต่อไปกันแน่…

ขอทานชรารำพึงอยู่ในใจ พลางคิดถึงตระกูลกู้ที่กล่าวถึงเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าคนของตระกูลโจวจะสนอกสนใจยิ่ง จึงเล่าต่อไปว่า “เรื่องงานแต่งงานของคุณหนูใหญ่ตระกูลจวง ก็ได้นายท่านสิบสองมาเป็นพ่อสื่อขอรับ แต่งให้กับบุตรเขยของตระกูลเฉิงไปเป็นภรรยาคนที่สองหลังจากที่ภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป เมื่อกล่าวถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลจวง ท่านผู้นั้นเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมมีคุณธรรมอันดียิ่ง นายหญิงผู้เฒ่านอนติดเตียงมานานสิบกว่าปี คุณหนูใหญ่ที่ยังสูงไม่ถึงขอบโต๊ะก็ต้องมาทุกข์ร้อนใจเรื่องฟืนข้าวน้ำมันเกลือภายในเรือนเสียแล้ว จนกระทั่งถึงวัยปักปิ่น ชายหนุ่มทั้งหลายที่อยากมาสู่ขอต่างมาเยี่ยมเยือนเหยียบย่ำธรณีประตูจนแตกหัก ทว่าน่าเสียดายที่คุณหนูใหญ่นั้นหมั้นหมายกับบุตรชายของตระกูลเฉิงผู้อาศัยอยู่ที่ตรอกฉุนอี้ตั้งแต่ยังเล็กขอรับ…”

เขากล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดพูดอย่างตื่นตระหนก แล้วชำเลืองมองหม่าฟู่ซานด้วยความหวาดหวั่น

หม่าฟู่ซานตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ฮูหยินจวงเคยหมั้นกับเฉิงไป่มาก่อน เขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

ทว่าเขาผ่านโลกมามาก จึงยังไม่ถึงเสียท่าทีด้วยเรื่องนี้ ทว่าพอนึกถึงโจวเสาจิ่นขึ้นแล้ว…เขาเหลียวไปมองยังห้องโถงกลางที่อยู่ด้านหลังครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นมือเท้าแข็งทื่อประหนึ่งโดนฟ้าผ่า ครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา

ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่กับบิดาของเฉิงลู่เคยหมายหมั้นกันมาก่อน!

ท่านพ่อทราบหรือไม่

ไม่มีใครในตระกูลเฉิงรู้เรื่องเลยอย่างนั้นหรือ

ท่านพ่อคงจะทราบอยู่แล้วกระมัง

ไม่เช่นนั้น เหตุใดถึงให้สาวใช้ข้างกายของท่านแม่แต่งงานออกไปกัน…

ทั้งยังมีเรื่องของท่านลุงตระกูลจวง ผู้บีบคั้นท่านแม่จนเกือบจะกระโดดลงแม่น้ำ…มีเรื่องอะไรที่สามารถบีบคั้นท่านแม่จนเกือบจะกระโดดลงแม่น้ำได้…

เสียงหึ่ง ๆ ดังก้องในห้วงสมองของโจวเสาจิ่น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ความรู้สึกที่มือและเท้าของนางถึงได้คืนกลับมา

นางเขียนข้อความสองสามประโยคให้ซือเซียงนำไปยื่นให้หม่าฟู่ซาน

ครั้นหม่าฟู่ซานอ่านข้อความบนกระดาษที่รับมาครั้งหนึ่ง ก็กล่าวขึ้นว่า “เรื่องที่เจ้ากล่าวมา พวกข้าล้วนทราบดี แต่ในเมื่อเจ้าพูดขึ้นมาแล้ว ข้าก็อยากจะถามสักประโยคด้วยความสงสัยว่า ในเมื่อฮูหยินจวงหมั้นหมายกับตระกูลเฉิงตั้งแต่ยังเล็ก เช่นนั้นทำไมถึงไปแต่งงานกับบุตรเขยของตระกูลเฉิงได้อีก”

“เรื่อง…เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดขอรับ…” ขอทานชรากล่าวอย่างตะกุกตะกัก

หม่าฟู่ซานยิ้มเย็น กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเคยรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวง ทว่าพอถามถึงเรื่องราวภายในตระกูลของนายท่านผู้เฒ่าจวง เจ้ากลับตอบว่าไม่รู้ ข้าว่าเจ้าไม่ได้มาขอพักพิงตระกูลโจวหรอก แต่มาหลอกเอาเงินของตระกูลโจวเสียมากกว่ากระมัง เด็ก ๆ!” เขาตะโกนดังลั่น “ถือป้ายของเข้าพบของนายท่านไปยังศาลาว่าการเมืองจินหลิง แล้วร้องเรียนไปว่ามีคนแอบอ้างเป็นบ่าวรับใช้ของข้าราชการ ขอให้ใต้เท้าเซินชิงอวิ๋นออกหมายจับขอทานคนนี้ไปขึ้นศาล!”

“เปล่าเลยขอรับ ๆ!” ขอทานชราสั่นกลัวจนกระโดดพรวดออกมา โน้มตัวลงไปข้างหน้ากอดขาของหม่าฟู่ซานเอาไว้ แล้วร้องคร่ำครวญว่า “นายท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้าไม่ได้พูดโกหกจริง ๆ เรื่องนี้คนรุ่นผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันก็มีคนที่รู้อยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามตระกูลเฉิงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา นายท่านใหญ่ไป่ผู้นั้นก็จากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บแล้ว นายท่านน้อยตระกูลเฉิงก็เป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง จึงไม่ยอมพูดว่าบ้านของเขาถูกหรือผิดก็เท่านั้นขอรับ…”

“เจ้ายังบังอาจพูดจาเหลวไหลอีก” หม่าฟู่ซานเตะขอทานผู้นั้นล้มไปกับพื้นด้วยขาหนึ่งข้าง “ตระกูลเฉิงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา แล้วนายท่านผู้เฒ่าจวงเป็นคนขาดคุณธรรมไร้ความปราณีผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ เมื่อสายลมแรงพัดต้นอู๋ถงล้มพับลงไป ต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ต่อให้ตระกูลเฉิงจะมีเมตตาอีก ก็ยังจะสามารถควบคุมปากของผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่เสียแล้ว…เด็ก ๆ รีบเข้ามา! ลากเขาออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”

“นายท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้ายอมพูดแล้วขอรับๆ” ขอทานชราโน้มตัวลงไปข้างหน้าแล้วกอดขาของหม่าฟู่ซานอีกครั้ง “ไม่ใช่ตระกูลเฉิงที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา แต่เป็นข้าเองที่ถูกผีสิงจนสติเลอะเลือน พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลไปแล้วขอรับ…”

“เจ้ายังไม่พูดความจริงอีก!” หม่าฟู่ซานเห็นว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ได้ผล จึงกล่าวว่า “ข้าบอกความจริงกับเจ้าไปแล้วว่า ครั้งนี้คุณหนูรองส่งสาวใช้ติดตามมาเพียงคนเดียว หากว่าเจ้าเป็นคนซื่อตรง รอจนกระทั่งคุณหนูรองตกเงินรางวัลมาให้ ข้าจะจัดการเงินรางวัลให้เจ้าเอง แต่ถ้าหากเจ้ายังกล้าพูดจาตลบตะแลงต่อหน้าข้า ข้าจะรายงานให้คุณหนูรองทันที ว่าเจ้าเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงคนหนึ่ง…”

ขอทานชราผู้นั้นเดิมทีก็มาเพราะมุ่งหวังเอาเงิน เมื่อได้ยินแล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน พ่อบ้านใหญ่หม่าผู้นี้แท้จริงแล้วคิดจะแบ่งเงินรางวัลกับเขา…เช่นนั้นอะไรที่ควรจะกล่าว หรืออะไรที่ไม่ควรจะกล่าวก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว ดังที่พ่อบ้านใหญ่หม่าท่านนี้ได้กล่าวไปว่า เมื่อถึงเวลาจะจัดการเงินรางวัลให้เขาเองด้วยตัวเอง

เขาคิดว่าตนพอจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของหม่าฟู่ซานแล้ว

“นายท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้ายอมพูดแล้ว ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังขอรับ!” เขายิ้มกล่าวอย่างประจบสอพลอ “ในปีนั้นที่เรือนของตระกูลจวงถูกหิมะพังถล่มลงมาทับ ทว่านายท่านผู้เฒ่าจวงได้นัดหมายจะไปซีเทียนกับนายท่านสิบสองแห่งตระกูลกู้มาตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมีเงินมาซ่อมแซม นายท่านผู้เฒ่าจวงนึกถึงเรือนที่เก่าก็เก่า เล็กก็เล็ก ก็เลยพานายหญิงผู้เฒ่ากับคุณหนูใหญ่ไปอาศัยอยู่ในเรือนที่เป็นสินสอดของนายหญิงผู้เฒ่า…

…เรือนนั้นอยู่ถัดจากตระกูลเฉิงไปเพียงซอยเดียวขอรับ หากมีเรื่องอะไร ตระกูลเฉิงก็สามารถช่วยเหลือดูแลสักเรื่องสองเรื่อง…

…ในตอนแรกทุกอย่างก็ยังเรียบร้อยดี ฮูหยินของตระกูลเฉิงมักจะมาเยี่ยมเยียนคุณหนูใหญ่กับนายหญิงผู้เฒ่าอยู่บ่อยๆ ยามที่นายท่านเฉิงไป่มีเวลาว่างก็มักจะส่งบ่าวเด็กไปถามไถ่ว่ามีปัญหาทุกข์ร้อนอะไรหรือไม่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวกลับตาลปัตรเล็กน้อย…” เขาหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากเล่าต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่ของตระกูลจวง พอโตขึ้นแล้วก็งดงามยิ่งนัก แม้หญิงสาวในวัง หรือเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่เมื่อได้ยลโฉมแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่หวั่นไหวได้…

…ตอนที่นายท่านเฉิงไป่ยังไม่เคยเห็นโฉมหน้าของคุณหนูใหญ่จวงก็ทำตัวเป็นปกติดี ทว่าหลังจากที่ได้เห็นคุณหนูใหญ่จวงแล้ว เจ็ดวิญญาณก็สูญหายไปแล้วถึงหกวิญญาณ เหลือเพียงวิญญาณเดียวที่คงอยู่ในร่าง เช่นนั้นสติจึงหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว ไม่ยอมศึกษาร่ำเรียน ทุกวันพอลืมตาขึ้นมาก็จะวิ่งไปยังเรือนของตระกูลจวง ขอเพียงแต่ตระกูลจวงเกิดเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยแม้เพียงเรื่องหนึ่ง ก็จะดึงเอี่ยวมาเป็นเรื่องของตนทั้งหมด แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะสงสัย หากว่ามีคนรอบข้างถามถึงขึ้นมา ก็เพียงอ้างว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเรือนของกูไหน่ไนที่นอนป่วยติดเตียง…

…ตอนนั้นตระกูลจวงปิดประตูเรือนไว้แน่นหนา นอกจากตระกูลเฉิงแล้ว ก็ไม่สุงสิงกับตระกูลอื่นใดเลย ทว่าเพื่อนบ้านเองก็ไม่มีใครฉงนสงสัยเช่นกัน…

…หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลใหญ่โตที่มีอำนาจ เช่นนั้นก็คงบุพเพที่ดีครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉิงก็ดี หรือตระกูลจวงก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลเล็กตระกูลน้อย…โดยเฉพาะตระกูลจวง นายท่านผู้เฒ่าจวงอาศัยพึ่งการจำนำทรัพย์สินเพื่อดำรงชีพมานานหลายปี นายท่านเฉิงไป่นั้นเดิมทีก็เป็นผู้ไม่ประสาต่อโลกผู้หนึ่ง ทว่าสองสามปีต่อมา ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นแขกประจำของโรงรับจำนำไปได้ เรื่องภายในภายนอกของตระกูลจวงต่างตกอยู่ในมือของนายท่านเฉิงไป่ เพียงเพื่อเรื่องนี้ นายท่านเฉิงไป่ถึงกับเลื่อนการสอบขุนนางไปปีหนึ่ง!…

…ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นแล้ว ก็ไม่ชอบใจ พยายามโน้มน้าวนายท่านเฉิงไป่ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่หลายครั้ง ทว่านายท่านเฉิงไป่กลับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา…ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ได้แต่ขอให้คุณหนูใหญ่จวงช่วยพูดแทน คุณหนูใหญ่จวงก็ช่วยกล่าวโน้มน้าว ทว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมฟัง แต่ยังคิดว่านี่เป็นโอกาสหนึ่งที่จะได้พูดคุยสนทนากับคุณหนูใหญ่จวงบ่อยขึ้น ทำให้คุณหนูใหญ่จวงจะเข้าหาก็ไม่ได้ จะถอยออกก็ไม่ได้…ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ยิ่งไม่ชอบใจ ตำหนิว่าคุณหนูใหญ่จวงควบคุมนายท่านเฉิงไป่ไม่ได้ รู้จักแต่จะให้ผู้อื่นมาตามอกตามใจเท่านั้น ไม่สามารถเป็นนายหญิงของตระกูลได้ ไม่สามารถดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนได้…

…คุณหนูใหญ่จวงทุกข์ใจแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมา จึงไม่พบหน้านายท่านเฉิงไป่อีกต่อไป…

…เหตุเพราะเรื่องนี้ ถึงกับทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเรื่องหนึ่งขึ้นมา”

โจวเสาจิ่นกับหม่าฟู่ซานและคนอื่นๆ เงี่ยหูฟังอย่างห้ามใจไม่อยู่

“นายท่านเฉิงไป่มีสหายร่วมชั้นเรียนคนหนึ่ง แซ่หวังขอรับ สนิทสนมกับนายท่านเฉิงไป่จนเป็นตะเภาเดียวกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายท่านเฉิงไป่เซื่องซึมยิ่งนัก จึงระบายความในใจให้กับสหายแซ่หวังผู้นี้ฟัง สหายแซ่หวังก็แนะนำนายท่านเฉิงไป่ ให้เขาไปปีนกำแพงหลังของเรือนตระกูลจวง…

…นายท่านเฉิงไป่ก็… ไม่คิดว่าจะฟังคำแนะนำของสหายแซ่หวังผู้นี้ ไปปีนข้ามกำแพงหลังของเรือนตระกูลจวง…

…ไม่ใช่ว่าสหายแซ่หวังผู้นี้ก็ได้ยลโฉมคุณหนูใหญ่ตระกูลจวงแล้วหรือ…เขาเขียนบทกลอนเกี้ยวพาราสีไปให้แก่คุณหนูใหญ่จวงมากมาย ทำให้คุณหนูใหญ่จวงโกรธจัด…จนต้องเรียกนายท่านเฉิงไป่มาด่าทออย่างรุนแรง…

…นายท่านเฉิงไป่จึงเลิกคบหากับสหายแซ่หวังผู้นั้นไป ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าไปฟังถ้อยคำของแม่ชีที่ไหนมา กล่าวหาว่าคุณหนูใหญ่จวงเป็นวิญญาณจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด จะก่อความวุ่นวายไม่สงบสุขภายในตระกูล…นอกจากนี้ คนแช่หวังผู้นั้นก็ไม่ยอมตัดใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีหนทางที่จะคว้าคุณหนูใหญ่จวงเอาไว้ได้ จึงวางอุบาย ให้คนชักชวนนายท่านเฉิงไป่ไปเล่นการพนัน เที่ยวหอนางโลม…

…สำหรับการเที่ยวหอนางโลมนั้น นายท่านเฉิงไป่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือน แต่เล่นการพนันนี้…เริ่มแรกก็เล่นชนะเสมอ ยามที่เล่นชนะก็ส่งเงินช่วยเหลือตระกูลจวงอย่างลับ ๆ นานเข้า ผู้ที่ถูกวางอุบายก็ติดเข้ากับกับดัก ไหนเลยจะมีช่วงที่ชนะได้อีก จึงอดขโมยทรัพย์สินในเรือนไปขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…

…มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาได้ขโมยปิ่นทองอันหนึ่งของคุณหนูใหญ่จวง…ยังมีอีกครั้ง หลังจากที่เสียเงินไป ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงกับต้องการให้คุณหนูใหญ่จวงจัดโต๊ะด้วยตัวเองเพื่อเลี้ยงสุราเป็นการขอโทษคนเหล่านั้นแทน…แม้ว่าสุดท้ายจะนำเงินไปจ่ายคืนแล้ว แต่ท่าทีของคุณหนูใหญ่จวงที่มีต่อนายท่านเฉิงไป่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…เมื่อก่อนยังพอจะพูดคุยสองสามประโยคกับนายท่านเฉิงไป่เมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่า แต่หลังจากนั้นคือไม่พบหน้านายท่านเฉิงไป่อีกเลย…

…ต่อมาเมื่อนายท่านผู้เฒ่าจวงกลับมา ทราบเรื่องราวเหล่านี้ ก็อุทานออกมาเสียงหนึ่งว่าความงามของสตรีเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ จึงกล่าวกับนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเฉิงว่า หากนายท่านเฉิงไป่สามารถสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ ทั้งสองตระกูลจะยังคงผูกญาติดองกัน แต่ถ้าหากในอีกสองสามปีให้หลังนายท่านเฉิงไป่ยังคงตัวเปล่าไม่มีตำแหน่งราชการใด ๆ ทั้งสองตระกูลก็จะถอนหมั้นกัน…

…แน่นอนว่านายท่านเฉิงไป่ไม่ยอมถอนหมั้น…

…ในสองสามปีนั้นจึงอ่านหนังสืออยู่ในจวนตลอด…

…นายท่านผู้เฒ่าจวงจึงรั้งให้บุตรสาวอยู่ในเรือน เพื่อรอนายท่านเฉิงไป่สอบได้ตำแหน่ง…

…ปรากฏว่าพอคุณหนูใหญ่จวงอายุครบยี่สิบปี นายท่านเฉิงไป่ก็ยังสอบไม่ได้ตำแหน่งใด ๆ…

…นายท่านผู้เฒ่าจวงเห็นว่าร่างกายของตนเสมือนกับดวงตะวันที่อ่อนแสงอยู่ตรงภูเขาทิศตะวันตก ที่ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ กลัวว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนที่คุณหนูใหญ่จวงออกเรือน จึงเสนอให้ถอนหมั้นกับตระกูลเฉิง…

…ในตอนแรกคุณหนูใหญ่จวงไม่เห็นด้วย แต่ไม่รู้ว่านายท่านผู้เฒ่าจวงโน้มน้าวคุณหนูใหญ่จวงอย่างไร นางจึงยอมตกลง…

…นายท่านผู้เฒ่าจวงได้ขายทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ รวบรวมเงินได้ห้าร้อยเหลี่ยงส่งไปมอบให้ตระกูลเฉิง…

…เนื่องจากตระกูลเฉิงได้ทำข้อตกลงกับนายท่านผู้เฒ่าจวงเอาไว้แล้ว จึงไม่ได้กล่าวแย้งอะไร ไม่นานก็ถอนหมั้นกับตระกูลจวง แล้วไปหมายหมั้นบุตรสาวของตระกูลต่งซิ่วไฉที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองมาเป็นบุตรสะใภ้แทน…

…จากนั้นนายท่านผู้เฒ่าจวงก็ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ซอยเหมยฮวา…

…ต่อมา คุณหนูใหญ่จวงก็แต่งงานกับนายท่านใหญ่โจวผู้เป็นบุตรเขยของตระกูลเฉิงขอรับ”

………………………………………………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท