มือของโจวเสาจิ่นบิดเข้ามาหากันอีกครั้ง
นางกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “แต่ทางด้านท่านป้าใหญ่หลู…”
เฉิงฉือขืนตัวเอาไว้ถึงได้ไม่เอามือไปกุมหน้าผาก เขากล่าว “นั่นก็ต้องเป็นเฉิงเจิ้งเป็นผู้ตอบรับถึงจะถูก!”
เฉิงเจิ้งเป็นผู้ตอบรับอย่างนั้นหรือ
เหตุใดเขาถึงไม่เป็นผู้ตอบรับกัน?
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจขึ้นมาในทันใด
เฉิงเจิ้งเป็นบัณฑิต บัณฑิตจะได้รับตำแหน่งก็ด้วยการสอบขุนนาง การสร้างความสัมพันธ์กับเครือญาติของเชื้อพระวงศ์จะมีประโยชน์อะไร นอกจากนี้เขายังมองหาภรรยาที่ตระกูลสามารถเกื้อหนุนต่อหน้าที่การงานในราชสำนักของเขาได้ด้วยมิใช่หรือ สิ่งที่องค์ฮ่องเต้หลีกเลี่ยงที่สุดคือการร่วมมือกับเชื้อพระวงศ์ก่อกบฏ ดังนั้นบรรดาราชบุตรเขยต่างก็ทำได้เพียงเล่นแก่งแย่งกันอยู่ภายในครอบครัวเท่านั้น…
“จริงด้วย! เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงกันนะ!” แววตาของนางราวกับดวงดาว ใบหน้าของนางเปล่งประกายอยู่ราง ๆ “จวนสามยังคาดหวังให้พี่ชายเจิ้งได้รับการเสนอชื่อ นำเกียรติมาสู่คนในตระกูล! หากเฉิงเจียแต่งให้กับจูเผิงจวี่ อีกทั้งยังเป็นการแต่งไปเป็นอนุ แค่น้ำลายที่พ่นมาของเหยียนกวนผู้ให้คำปรึกษาก็สามารถทำให้พี่ชายเจิ้งจมน้ำตายได้แล้ว…” คิดถึงตรงนี้ นางราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป รู้สึกทั้งร่างเบาสบายขึ้น ลุกขึ้นมาอย่างเบิกบาน “ข้าจะไปบอกพี่สาวเจียก่อนนะเจ้าคะ…ไม่ว่าจูเผิงจวี่จะสนใจผู้ใด ล้วนแล้วแต่เป็นไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!” ขณะที่นางพูด ก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมา เอ่ยถามเฉิงฉืออย่างลังเลว่า “ท่านน้าฉือ ท่านพ่อของข้าจะไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ต่อให้ท่านพ่อของนางตอบตกลง แต่ท่านยายกับท่านป้าใหญ่จวนสี่ก็คงไม่ยอมตกลงหรอกกระมัง
แต่ถ้าหาก…ถ้าหากพวกเขาทุกคนต่างตอบตกลง นางจะขอให้ท่านน้าฉือช่วยนางทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวไปได้หรือไม่
ทว่าประโยคสุดท้ายนั้น นางไม่กล้าถามออกไป กลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างคนสนิท แล้วจะได้รับการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเป็นคำตอบกลับมา
เรื่องเช่นนี้ เขาจะกล้ารับประกันได้อย่างไร
แต่เมื่อเห็นท่าทางระแวดระวังของโจวเสาจิ่นเช่นนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกสลดใจอยู่เล็กน้อย ไม่อยากจะพูดอะไรที่กระทบกระทั่งนาง จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “น่าจะไม่หรอก!”
โจวเสาจิ่นจึงหัวเราะขึ้นมา
นางยิ้มตาหยีพลางย่อตัวลงทำความเคารพเขาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ วันหลังข้าค่อยมาขอบคุณท่านอีกครั้ง!” จากนั้นก็ออกจากศาลาชิงอินเล็ก ๆ แห่งนี้ไปอย่างเบิกบานราวกับนกน้อยที่กำลังมีความสุขตัวหนึ่ง
เฉิงฉือตะลึงงัน
จากไปดื้อ ๆ เช่นนี้เลยหรือ…นางเชื่อคำพูดทุกอย่างของเขาโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
ในตาของเฉิงฉือเผยความงุนงงออกมา มองไปยังขุนเขาลำเนาไพร ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวอะไร
ไหวซานก้มหน้า เม้มปากแน่นเป็นรอยตะเข็บสายหนึ่ง ทว่าหัวไหล่กลับยกขึ้นเบา ๆ สองครั้ง
***
โจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ไปยังเรือนหรูอี้
เฉิงเจียกำลังพลิกรายการอาหารที่โรงครัวเล็กของจวนสามส่งมาให้ เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา นางก็ต้อนรับนางด้วยความดีใจและพานางเข้าไปนั่งด้านในห้อง ผลักรายการอาหารไปที่ด้านหน้าของโจวเสาจิ่น เอ่ยถามนางว่า “เจ้าอยู่ทานมื้อเย็นกับข้าที่นี่ดีหรือไม่ ข้าจะให้ชุ่ยหวนไปแจ้งที่เรือนเจียซู่ เจ้าอยากทานอะไร วันนี้ในโรงครัวมี ผัดกุ้งสุ่ยจิง ปลาปี่มู่นึ่ง ไก่ผัดซานเปย และปลาซงสู่ทอดเปรี้ยวหวาน…ข้าจะให้ชุ่ยหวนไปดูที่โรงครัวสักหน่อย อย่าให้เหมือนกับครั้งที่แล้ว สั่งผัดกุ้งสุ่ยจิงไป ปรากฏว่ากุ้งนั้นยังใหญ่ไม่เท่าหอยในแม่น้ำเลย…” นางพึมพำ
จวนสามกับจวนสี่นั้นไม่เหมือนกัน จวนสามนั้นทุกวันทางโรงครัวจะส่งรายการอาหารมาให้แต่ละเรือนได้เลือกรายการอาหาร ส่วนจวนสี่นั้นจะจัดเตรียมรวมกัน อย่างเช่นโจวเสาจิ่นสองพี่น้องกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะเป็นกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ของเฉิงเก้าสองพี่น้องจะเป็นกับข้าวหกอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะเป็นกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง โจวเสาจิ่นสองพี่น้องกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเป็นการทานกันสองคน เฉิงเก้าสองพี่น้องนั้นเนื่องจากเป็นบุรุษ จึงทานได้มาก ส่วนฮูหยินผู้เฒ่านั้นทานได้น้อย จึงลดปริมาณกับข้าวลงหนึ่งอย่าง ทำให้ไม่สิ้นเปลือง
จวนหลักก็ดูเหมือนจะไม่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ตอนที่นางอยู่ทานข้าวที่เรือนหานปี้ซาน ไม่เพียงจัดวางเนื้อและผักคู่กันอย่างดีเท่านั้น ดูเหมือนว่าฝีมือของแม่ครัวก็ไม่เหมือนกันเป็นอย่างมาก กับข้าวก็หลากหลาย และดูประณีตเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่โจวเสาจิ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็พยักหน้ารับ พลางกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้ามีเรื่องต้องการจะพูดกับเจ้าจริง ๆ จะอยู่ทานข้าวกับเจ้าที่นี่ก็แล้วกัน เจ้าให้ชุ่ยหวนไปแจ้งให้ข้าสักหน่อย”
เมื่อก่อนพวกนางก็มักจะทานข้าวด้วยกันอยู่บ่อย ๆ แต่มักจะเป็นโจวเสาจิ่นที่อยู่ทานข้าวที่เรือนหรูอี้เสียเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่เฉิงเจียจะไปทานข้าวที่เรือนหว่านเซียง กล่าวคือ กับข้าวของจวนสี่นั้นจะถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ส่วนกับข้าวของจวนสามกลับสามารถสั่งในตอนนั้นเลยก็ได้ จึงเห็นได้ชัดว่าเรือนหรูอี้มีอิสระมากกว่า
ชุ่ยหวนยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” ไม่ต้องให้เฉิงเจียออกคำสั่ง ก็ล่าถอยออกไปแล้ว
เฉิงเจียจึงดึงโจวเสาจิ่นไปที่เตียง กระซิบถามนางเสียงเบาว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
โจวเสาจิ่นจึงเล่าเรื่องที่ตนลองส่งถุงหอมไปให้อาจูให้เฉิงเจียฟัง แต่นางปิดบังเรื่องที่ไปหาเฉิงฉือเอาไว้ นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก มักรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนหลัก จวนรอง และจวนสามนั้นช่างซับซ้อนและยุ่งเหยิงนัก หากสามารถไม่เอ่ยถึงเฉิงฉือได้ ก็จะพยายามไม่เอ่ยถึงเฉิงฉือให้มากที่สุด
เฉิงเจียตกใจจนสีหน้าซีดเผือด กล่าวขึ้นว่า “ที่เจ้าพูดมานี้เป็นความจริงหรือ”
เมื่อถามเสร็จ สีหน้ากลับดูเหม่อลอยขึ้นมาในทันใด ประเดี๋ยวก็มีสีหน้ายินดี ประเดี๋ยวก็มีสีหน้าโศกเศร้า
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็กังวลใจเป็นอย่างมาก
หญิงสาวในเมืองจินหลิงนั้น เกรงว่ามากกว่าครึ่งคงอยากจะแต่งเข้าจวนเหลียงกั๋วกง จะได้เป็นฮูหยินลำดับที่หนึ่งของเมืองจินหลิง
แต่เรื่องนี้ กลับไม่ใช่เรื่องที่นางจะตัดสินใจได้
หากว่าเฉิงเจียก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน การที่นางคิดหาวิธีให้เฉิงเจียรั้งอยู่ที่นี่ เฉิงเจียอาจจะคิดว่านางไปทำลายวาสนาของนางก็เป็นได้
น้ำเสียงของนางลังเลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวอย่างเบา ๆ ว่า “ข้าจะหลอกเจ้าไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจวนเหลียงกั๋วกงตั้งใจจะทำอะไรก็ตาม แต่ข้าก็ได้ตัดสินใจแน่แล้ว กลับไปจะไปหารือกับท่านยายของข้า…เจ้าก็ลองคิดดู เพียงเพราะฮูหยินของซื่อจื่อไม่สามารถให้กำเนิดบุตร เพื่อวางแผนให้ทายาทให้อนาคต จวนเหลียงกั๋วกงจึงไม่แต่งตั้งฮูหยินของซื่อจื่อ ครอบครัวเช่นนี้ ต่อให้มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์มากกว่านี้ ข้าก็ไม่แต่งด้วย! นอกจากนี้ยังเป็นการแต่งไปอนุของผู้อื่นอีก”
เฉิงเจียไม่เข้าใจ
โจวเสาจิ่นอธิบายให้นางฟัง “ไม่แต่งตั้ง ก็คือไม่มีบันทึกลงในลำดับของวงศ์ตระกูล ต่อไปฮูหยินคนใหม่คลอดบุตรออกมา ก็จะได้รับการขนานนามว่าเป็นมารดาของบุตรชายคนโตไปโดยปริยาย”
เฉิงเจียพลันตัวสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าก็ไม่ยอมแต่งเหมือนกัน” กล่าวจบ คิ้วของนางก็ขมวดมุ่นขึ้น กล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างกังวลใจว่า “หากเป็นข้าจริง ๆ ท่านแม่ของข้า…”
แววตาของนางกระจ่างใส ไม่ได้เหม่อลอยเหมือนก่อนหน้านี้อีก
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้น
นี่สิถึงจะสมกับที่เป็นพี่สาวที่แสนดีของข้า
ไม่ใช่เพียงเพราะเห็นอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ก็หลงใหลได้ปลื้มไปด้วยเสียแล้ว
นางอดที่จะย้ายที่นั่งไม่ได้ เปลี่ยนไปนั่งลงข้าง ๆ เฉิงเจีย กล่าวถึงเฉิงเจิ้งขึ้นมา “…เขาต้องการเดินบนเส้นทางในราชสำนัก อาจจะไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีก็ได้”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับตระกูลขุนนาง ไม่จำเป็นต้องให้โจวเสาจิ่นอธิบายให้มากความเฉิงเจียก็เข้าใจแล้ว
นางอดไม่ได้กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น ยิ้มพลางกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้ายังเป็นน้องสาวของข้าอยู่หรือไม่ เจ้ากลายเป็นคนที่ปราดเปรื่องขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นได้ชัดว่าข้านั้นเหมือนกับคนโง่อย่างไรอย่างนั้น!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว
ท่านน้าฉือก็มองนางเช่นนี้ใช่หรือไม่
เขาให้คนไปบอกนางสองประโยค นางยังวิ่งไปถามเขาด้วยตัวเองถึงที่อีกถึงสองครั้ง ถึงสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้…ในสายตาของท่านน้าฉือ เกรงว่าตนก็เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งเท่านั้น…
***
หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ โจวเสาจิ่นก็กลับไปที่เรือนเจียซู่
ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและพี่สาวต่างก็ยังคงอยู่สนทนาและดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่
กระทั่งนางทำความเคารพผู้อาวุโสเสร็จแล้ว พี่สาวก็ดึงนางไปนั่งลงข้างกาย กล่าวตำหนินางว่า “ในเมื่อจะอยู่ทานข้าวที่เรือนหรูอี้ เหตุใดถึงไม่บอกเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ สำรับล้วนจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เจ้ากลับให้ชุ่ยหวนมาบอกอย่างกะทันหันว่าจะไม่กลับมาทานข้าว!”
ชาติก่อน พี่สาวก็เคยตำหนินางเช่นนี้เหมือนกัน นางเพียงรู้สึกหวาดกลัว พอมาได้ฟังในตอนนี้อีกครั้ง ถึงได้ค้นพบว่าในเรื่องนี้ยังมีอีกหนึ่งความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น กล่าวคือ การที่พี่สาวชิงตำหนินางต่อหน้าคนอื่นก่อนครั้งหนึ่ง ก็เพื่อที่ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ก็จะได้ไม่โมโหนางอีก
นางกอดแขนของพี่สาวเอาไว้พลางยิ้มร่า กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ข้ามีเรื่องด่วนต้องหารือกับพี่สาวเจียเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองท่าทางออดอ้อนของนางแล้ว ก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก มีเรื่องด่วนอะไรด้วยหรือ ยังต้องหารือกันอีก ข้าว่าชวนกันเล่นซนเสียมากกว่า”
เมื่อก่อนท่านป้าใหญ่ไม่เคยกล่าวล้อเล่นกับนางเช่นนี้มาก่อน
ดวงตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย นำเรื่องที่ว่าตนจัดรวบรวมของอยู่ในบ้านแล้วค้นพบถุงหอมสองใบได้อย่างไร และเรื่องที่ว่าตนให้ฝานหลิวซื่อนำถุงหอมไปส่งที่จวนเหลียงกั๋วกงได้อย่างไร แล้วฝานหลิวซื่อกลับมารายว่าอย่างไรบ้าง…นำคำเตือนของเฉิงฉือมาเล่าให้เป็นเรื่องที่ตนค้นพบขึ้นมาเอง นำเรื่องทั้งหมดมาเล่าให้คนในห้องฟัง
ทุกคนทั้งประหลาดใจและดีใจ เรื่องที่ประหลาดใจก็คือซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงนั้นตรงกับข้อสงสัยของพวกนาง ส่วนเรื่องที่ดีใจก็คือพวกนางต่างปิดบังโจวเสาจิ่นเอาไว้ แต่โจวเสาจิ่นกลับสามารถคาดเดาเจตนาของซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงได้จากเบาะแสที่มีเพียงเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วกล่าวกับโจวชูจิ่นอย่างตื้นตันว่า “จากนี้ไปเจ้าก็วางใจได้แล้ว! ต่อไปต่อให้ไม่มีเจ้าคอยดูแลทุกฝีก้าว เสาจิ่นก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้! นางเพียงแต่มีจิตใจที่ซื่อตรง เรื่องบางอย่าง อาจจะไม่ได้คิดตรงไปข้างหน้าก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา!”
โจวชูจิ่นพยักหน้าไม่หยุด ในดวงตาระยิบระยับไปด้วยหยาดน้ำตา
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกจุกอยู่ในอกไปครู่หนึ่ง อยากจะเอาคำที่พูดไปทั้งหมดนั้นรวบเก็บคืนกลับมา
นางรู้เพียงเรื่องของตัวเองเท่านั้น ต่อให้มีชีวิตไปอีกสิบปี นางก็ไม่มีทางหลักแหลมและมีความสามารถเหมือนกับพี่สาวได้…หากพี่สาวไม่สนใจดูแลนางอีกต่อไปจริง ๆ นางจะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นไปดึงแขนเสื้อของพี่สาวโดยไม่รู้ตัว
แต่ขณะที่มือของนางกำลังสัมผัสกับเนื้อผ้าหูโจวอ่อนนุ่มอยู่นั้น ในใจของนางก็แน่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งนั้นตนได้สาบานเอาไว้ว่า ต่อไปจะไม่สร้างปัญหาให้พี่สาวอีก ให้ตนได้เป็นคนปกป้องพี่สาวแทน กตัญญูต่อท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุง และท่านพ่อ…แล้วเหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็ลืมเสียแล้ว!
ต่อให้ต่อไปพี่สาวจะไม่สนใจดูแลนางอีก แต่นางก็ยังมีเวลาอีกสองปี อีกสองปีกว่าพี่สาวจะแต่งงานออกไป ในเวลาสองปี นางต้องจัดการดูแลเรื่องของตนเองให้ได้!
โจวเสาจิ่นลอบกำหมัดอย่างลับ ๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถามนาง “…แล้วหลานเจียว่าอย่างไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “หลังจากที่ทานข้าวเสร็จแล้ว พี่สาวเจียก็ไปหาพี่ชายเจิ้ง นางกล่าวว่า หากต้องตีหญ้าให้งูกลัวกับต้องไปพูดกับท่านป้าใหญ่หลูจนปากแห้ง ไม่สู้ไปหารือกับพี่ชายเจิ้งจะดีเสียกว่า หากยังไม่ได้เรื่องอีก ก็จะนำเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายสือจวนรอง พี่ชายสือต้องไม่ยินยอมให้ตนเองต้องมีญาติผู้น้องผู้หนึ่งไปเป็นอนุของจวนเหลียงกั๋วกงอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “จะว่าไป เด็กสองคนนี้ก็หารือกันจนได้ทางออกหนึ่งขึ้นมาจริง ๆ! ความคิดนี้ดี คงจะยอมให้ตระกูลเฉิงของพวกเราเสียหน้าไม่ได้จริง ๆ”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านยาย เช่นนั้น…เช่นนั้นท่านพ่อของข้าจะ…”
นางยังกล่าวไม่จบดี สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เคร่งขึ้น กล่าวเสียงดังขึ้นว่า “เขากล้าหรือ! คอยดูเถอะว่าข้าจะไม่หักขาของเขาเสีย”
ไม่ว่าจะว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็เป็นบิดา ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลัวว่าการที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวเช่นนี้จะทำให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องต้องอับอาย จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อของพวกเจ้าให้ความเคารพท่านยายของพวกเจ้าเป็นที่สุด ถ้าท่านยายของพวกเจ้าได้เอ่ยปากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เชื่อฟัง” ยังกล่าวอีกว่า “เสาจิ่น เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องเก็บมาสนใจแล้ว ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปเสียก็พอ ท่านยายกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้าย่อมช่วยตัดสินใจให้เจ้าได้”
ถึงตอนนี้ โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกวางใจลงได้
จากนั้นยังรำพึงอยู่ในใจอีกว่า ต่อไปอยู่แต่ในบ้านยังจะดีเสียกว่า ไปจวนตระกูลกู้มาครั้งหนึ่ง ทำให้ได้รู้จักกับอาจู หลังจากที่ได้รู้จักกับอาจูแล้ว ก็เป็นเหตุให้มีจูเผิงจวี่โผล่ออกมาอีกผู้หนึ่ง โชคดีที่ผู้ใหญ่ในบ้านมีเหตุมีผล นี่หากว่าได้เจอกับคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง ต่อให้นางร้องไห้จนตาบอดแต่ก็เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์
นางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
พอคิดอีกที ก็พบว่าเป็นท่านน้าฉือที่ปราดเปรื่องยิ่งนัก
หากไม่ใช่เขา เกรงว่าจนถึงตอนนี้ตนก็อาจจะยังคงถูกล่อลองอยู่ในกลอง ถูกผู้อื่นขายแล้วยังจะช่วยนับเงินให้ผู้อื่นอีกด้วย
หากมีโอกาส จะต้องตอบแทนท่านน้าฉือให้ได้
……………………………………………………………