พอโจวเสาจิ่นเดินเข้ามาปี้อวี้ก็ยิ้มพลางออกมาต้อนรับนาง กล่าวขึ้นว่า “เมื่อเช้าเจินจูและคนอื่นๆ เดินหมากกระดานแบบเรียงห้าตัวแล้วมีผู้แพ้และผู้ชนะ จึงส่งบ่าวเด็กไปซื้อขนมขบเคี้ยวที่ร้านฉีฟางไจมา ประเดี๋ยวคุณหนูรองกับแม่นางซือเซียงก็มาดื่มน้ำชากับพวกเราด้วยสักถ้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไปที่ใดก็ต้องทำตามธรรมเนียมของที่นั่น ในเมื่อมาเป็นแขกในเรือนหานปี้ซาน ก็ต้องผูกมิตรกับปี้อวี้และคนอื่นๆ ให้ดี ยิ่งไปกว่านั้นโจวเสาจิ่นกับปี้อวี้ยังพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก นิสัยใจคอก็เข้ากันได้ดี
นางจึงตอบตกลงด้วยความยินดี ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ใครเป็นผู้ชนะหรือ”
ปี้อวี้ปิดปากและยิ้มน้อยๆ “นอกจากเฝ่ยชุ่ยแล้ว พวกเราทุกคนล้วนเป็นฝ่ายชนะเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยกยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็แสดงว่าคงเสียเงินไปมากกระมัง”
ปี้อวี้ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เสียไปเกือบห้าเหลี่ยงเงินเจ้าค่ะ”
ซือเซียงอึ้ง “แม่นางเฝ่ยชุ่ยร่ำรวยเสียจริง”
“ร่ำรวยอะไรกัน!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางสูญเงินเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของเบี้ยรายเดือนทั้งปี ทำให้นางเจ็บใจยิ่งนัก ก็เลยรับประทานมื้อเที่ยงไม่ค่อยลงสักเท่าไร”
พวกนางสามคนคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วยขณะเดินไปที่ห้องพระ
มีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งมาแจ้งปี้อวี้ว่า “…มีถ่านเงินสามคันรถและถ่านไม้อีกสองคันรถมาส่งเจ้าค่ะ ปีก่อนๆ ล้วนเก็บเอาไว้ที่ท้ายห้องเก็บของ แต่ฤดูหนาวปีที่แล้วอากาศอบอุ่น ถึงช่วงฉลองตรุษจีนเล็กแล้วถึงจะมีหิมะตกมาสักครั้งหนึ่ง ทำให้ในห้องเก็บของยังมีถ่านกองอยู่ถึงครึ่งห้อง เกรงว่าจะใส่เข้าไปไม่ได้อีก หวังมามาจึงบอกให้ข้ามาถามพี่สาวว่าควรทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”
หลังจากฉลองเทศกาลเก้าคู่[1] ในวันที่เก้าเดือนเก้าแล้ว แต่ละจวนต้องเริ่มตระเตรียมถ่านเอาไว้สำหรับใช้ในฤดูหนาว จวนสี่ยังไม่ได้เริ่มจัดเตรียมถ่านเลย ไม่คิดว่าทางด้านจวนหลักจะเริ่มคัดแยกถ่านกันแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ ให้ซือเซียงไปกับข้าก็พอ”
ปี้อวี้ลังเลเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากขนมจากร้านฉีฟางไจมาถึงแล้วเจ้าก็อย่าลืมมาเรียกพวกข้าสักหน่อยก็พอ”
ปี้อวี้ใช้เวลาร่วมกับนางมานานขนาดนี้ จึงพอจะรู้อุปนิสัยของนางไม่มากก็น้อย เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ก็กล่าวอย่างสดใสขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ! ข้าไม่ไปส่งท่านก็แล้วกัน ประเดี๋ยวค่อยเชิญท่านมารับประทานขนมด้วยกันนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า แล้วไปที่ห้องพระกับซือเซียง
ลูกผิงกั่ว[2] สีแดงปลั่งกับผลส้มหัตถ์พระพุทธองค์สีทองแวววาวที่วางอยู่บนโต๊ะบูชาพระส่งกลิ่นหอมจำเพาะของผลไม้ออกมาอบอวลทั่วห้อง ช่วยกลบกลิ่นธูปไหว้พระให้เจือจางลง ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า
โจวเสาจิ่นล้างมือ ทำใจให้สงบแล้วก็เริ่มคัดพระธรรม
ผ่านไปสักพัก ปี้อวี้ก็เข้ามา “ท่านยังเหลือพระธรรมที่ต้องคัดอีกจำนวนเท่าใดหรือ ขนมทานเล่นมาถึงแล้ว ยังคงร้อนกรุ่นอยู่ นอกจากขนมโก๋หัวแห้วและขนมปุยเมฆแผ่นอันเป็นขนมขึ้นชื่อที่สุดของร้านแล้ว บ่าวเด็กคนนั้นยังซื้อลูกเกาลัดคั่วน้ำตาล ขนมเปี๊ยะมันฮ่อ และขนมบ๊วยซานจาแผ่นอันเป็นขนมออกใหม่ของร้านฉีฟางไจมาด้วยเจ้าค่ะ”
หลังจากที่โจวเสาจิ่นไปอยู่เมืองจิงเฉิง ก็ชื่นชอบรับประทานถังหูลู่เป็นอย่างมาก ซึ่งถังหูลู่นี้จะใช้ไม้เสียบผลซานจาที่เคลือบน้ำตาลเอาไว้เป็นไม้ๆ
นางได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่ง วางพู่กันลงพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “ร้านฉีฟางไจเริ่มทำขนมบ๊วยซานจาแผ่นขายตั้งแต่เมื่อใด ไฉนข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย”
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “ได้ยินบ่าวเด็กบอกว่า ช่วงนี้ในเมืองจินหลิงมีร้านขนมเปิดใหม่ร้านหนึ่งชื่อว่าร้านหมี่จี้ ทำขนมจำพวกขนมเปี๊ยะและขนมแป้งทอดรสชาติอร่อยยิ่งนัก กล่าวกันว่ากระทบกับกิจการของร้านฉีฟางไจไม่น้อยเลยทีเดียว ปีนี้ร้านฉีฟางไจจึงเชิญช่างทำขนมมาจากทางตอนเหนือผู้หนึ่ง ขนมบ๊วยซานจาแผ่นนี้ก็เป็นผลงานที่ช่างทำขนมจากทางตอนเหนือคนนั้นนำมาด้วยเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยไปพลางเก็บของไปพลาง จากนั้นก็พากันเดินไปที่ห้องน้ำชา
เจินจูและคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นได้สักพักแล้ว เด็กรับใช้สองสามคนที่อยู่ด้วยกันต่างก็เป็นผู้ที่เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามาก็พากันมาคำนับแล้วเชื้อเชิญให้นั่งลง จากนั้นเสี่ยวถานก็ยื่นจอกชาจันทร์แปดกลีบ[3] ลายผีเสื้อตอมดอกไม้จอกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากที่ใดมาให้โจวเสาจิ่น “คุณหนูรองเจ้าคะ จอกนี้ให้ท่านใช้ดื่มชาเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด แล้วนั่งลงไป
ปี้อวี้และสาวใช้ใหญ่สองสามคนต่างนั่งล้อมรอบโจวเสาจิ่น มีเพียงเฝ่ยชุ่ยคนเดียวที่นั่งอยู่นอกวง ห่างจากโจวเสาจิ่นที่สุด
ทุกคนต่างไม่สนใจมากนัก
หมาเหน่าขยับตัวแล้วเริ่มชงชาอย่างคล่องแคล่วและสง่างาม
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงเงียบๆ มองเห็นน้ำชานั้นมีสีเขียวใส กลิ่นหอมอวลกำจายไปทั่วโพรงจมูก ดื่มแล้วรสหอมหวานตรึงติดอยู่ในปาก อดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าชงชาอะไรหรือ ช่างหวานละมุนยิ่งนัก!”
“คือชาเขียวไท่ผิงโหวขุยเจ้าค่ะ” หมาเหน่ายิ้มตอบ “เป็นชาที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้พี่สาวปี้อวี้มาเจ้าค่ะ”
“เป็นชาดี!” โจวเสาจิ่นกล่าวชม “เจ้าเองก็ชงชาได้ดี กลมกล่อมยิ่งนัก”
หมาเหน่าหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย กล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ข้าชงชาได้ดีเสียที่ไหนกันเจ้าคะ เป็นคุณหนูรองต่างหากที่กล่าวชมข้าเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างพร้อมใจกันกล่าวชมชาที่หมาเหน่าชง
ปี้อวี้เห็นว่าเฝ่ยชุ่ยยิ้มอย่างฝืนๆ เล็กน้อย จึงรีบยิ้มออกมาและกล่าวแก้สถานการณ์ให้บรรยากาศดีขึ้นว่า “ชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ดี ฝีมือชงชาของหมาเหน่าก็ดี คุณหนูรองกล่าวได้มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ขนมขบเคี้ยวเหล่านี้เย็นชืดหมดแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็อย่ามากล่าวหาว่าขนมของร้านฉีฟางไจไม่อร่อยก็แล้วกัน!”
ทุกคนหัวต่างเราะเบิกบานขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ดื่มน้ำชากันไป กินขนมกันไป ยังมีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งสบโอกาสถามปี้อวี้ขึ้นมาว่า “พี่สาว ชุดสำหรับฤดูหนาวของภายในจวนจะมาถึงเมื่อใดหรือเจ้าคะ วันนี้ข้าเอาแต่เฝ้ารอชุดสำหรับฤดูหนาวที่จะเอาไว้สวมใส่ในฤดูหนาวนี้เจ้าค่ะ!”
จึงมีสาวใช้เด็กกล่าวขึ้นอย่างคมคายว่า “ใครใช้ให้เจ้านำเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่าตัวเก่าส่งกลับบ้านไปจนหมดเล่า ข้าได้ยินแม่บุญธรรมกล่าวว่า ปีที่แล้วฤดูหนาวสั้น ตามหลักแล้ว ฤดูหนาวในปีนี้จะยาวนานขึ้น เจ้ารีบคิดหาวิธีอื่นเผื่อเอาไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
สาวใช้เด็กผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “พวกเจ้าก็รู้ เดี๋ยวนี้ในสายตาของพ่อข้ามีเพียงแม่เลี้ยงเท่านั้น ไหนเลยจะสนใจดูแลน้องสาวทั้งสองคนของข้า หากข้าไม่ฝากคนนำเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่ากลับไปให้ พ่อของข้าก็คงจะขายน้องสาวของข้าคนหนึ่งไปหรือไม่ก็คงปล่อยให้พวกนางหนาวจนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ถามปี้อวี้ขึ้นมาว่า “พี่สาว ข้าได้ยินว่าพี่สาวหมิงเฮ่อในจวนของนายท่านสี่จะแต่งงานแล้ว ให้น้องสาวของข้าเข้ามารับใช้ในจวนด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
มีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า “เจ้าฝันไปเถอะ! เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเป็นถึงสถานที่ใด น้องสาวของเจ้าไม่รู้อักษรสักตัว ไม่เคยเรียนกฎเกณฑ์มารยาทต่างๆ เลยสักวัน จะเข้าไปเป็นสาวใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่ได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้ขอให้น้องสาวของข้าไปรับใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่สักหน่อย” สาวใช้เด็กคนนั้นโต้กลับไปในทันที “ข้าเพียงแต่คิดว่าหลังจากที่พี่สาวหมิงเฮ่อแต่งงานออกไปแล้ว ไม่ว่าพี่สาวคนใดจะถูกดันขึ้นไปแทนตำแหน่งของพี่สาวหมิงเฮ่อก็ตาม ก็จะทำให้มีตำแหน่งว่างลงตำแหน่งหนึ่ง ขอเพียงน้องสาวของข้าได้เข้ามารับใช้อยู่ในจวน ต่อให้ต้องไปกวาดพื้นในลานชั้นนอก ก็ยังดีกว่ารั้งอยู่ที่บ้านเกิด! จะดีจะร้ายก็ยังมีข้าวให้กิน…”
ขณะที่โจวเสาจิ่นฟังอยู่นั้น ก็มีคนมาเติมน้ำชาให้นาง และเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านอย่าได้สนใจเลย! ปกติพวกนางไม่ค่อยได้เจอพี่สาวปี้อวี้ในวันธรรมดาสักเท่าใด จึงอดที่จะกล่าวเจี๊ยวจ๊าวไม่ได้อยู่บ้างเจ้าค่ะ”
นางเงยหน้าขึ้น เห็นเจินจูผู้นั้นดวงตาระยิบระยับไปมาราวกับคลื่นน้ำแวววาวเป็นประกาย
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับเจินจูสักเท่าใดนัก
“ไม่เป็นไรๆ” นางรีบกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าดูเหมือนกับเป็นพี่สาวน้องสาวกันจริงๆ ก็ไม่ปาน เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก!”
เจินจูกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องใช้เวลากว่าร้อยปีในการบำเพ็ญเพียรถึงจะมีวาสนาอยู่ร่วมเรือลำเดียวกันได้ พวกข้าเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิต อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกันไปเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่หยุด
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวเสียงกระหืดกระหอบว่า “พี่สาวปี้อวี้ ฮูหญิงผู้เฒ่ากับนายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ภายในห้องชลมุนวุ่นวายขึ้นมาในบัดดล
“ไม่ใช่บอกว่าจะกลับมายามโหย่วสือ[4] หรอกหรือ” ปี้อวี้ถามไปด้วย ดูนาฬิกาน้ำบนระแนงหน้าต่างไปด้วย “นี่เพิ่งจะยามเซินชู[5] เอง”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้เด็กหอบหายใจพลางกล่าวอีกว่า “ได้ยินป้าหวังที่ประตูรองแจ้งว่า สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูไม่ดีนัก นางบอกให้พวกเราระมัดระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ”
สาวใช้สองสามคนจึงยิ่งลนลานไปกันใหญ่
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวว่า “จากประตูรองมาถึงที่นี่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสองเค่อ พวกเจ้าทิ้งคนสักสองคนให้เก็บกวาดจอกชาอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือควรจะทำอะไรก็ไปทำสิ่งนั้น อย่าตื่นตูมไปเลย”
หลังจากที่ตื่นตระหนกกันไปชั่วขณะ เจินจูและคนอื่นๆ จึงสงบลงมา
พวกนางเห็นด้วยกับโจวเสาจิ่น เจินจูจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทำตามแผนของคุณหนูรองก็แล้วกัน เสี่ยวถาน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือติดตามผู้ที่มีหน้าที่ไปให้การต้อนรับ แล้วกลับห้องไปพักผ่อน ประเดี๋ยวเมื่อถึงยามโหย่วสือค่อยกลับมาผลัดเวรกัน”
ครั้นมีคนตัดสินใจ คนอื่นๆ ก็พลันผ่อนคลายลงมาด้วย แล้วเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งของเจินจู
ปี้อวี้กล่าวขอโทษขอโพยโจวเสาจิ่น “คุณหนูรองเจ้าคะ ขออภัยจริงๆ เดิมทีอยากจะให้ท่านได้พักผ่อนสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเรื่องเช่นนี้…”
โจวเสาจิ่นเข้าใจความรู้สึกของปี้อวี้ดี รีบกล่าวขึ้นว่า “ดูเจ้าสิว่าพูดอะไรออกมา น้ำชาข้าก็ได้ดื่มแล้ว ขนมขบเคี้ยวก็ได้กินแล้ว ไหนเลยจะยังมีเรื่องที่ดีกว่านี้อีก พวกเจ้าไปจัดการธุระของพวกเจ้าเถอะ วันหลังถ้าหากว่ามีเวลาว่าง พวกเราค่อยมารวมตัวสังสรรค์ดื่มชากันใหม่”
ปี้อวี้พยักหน้า แล้วส่งโจวเสาจิ่นออกไป
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องใส่ใจข้าหรอก ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้จักทางกลับไปห้องพระเสียหน่อย…” เพียงแต่ถ้อยคำของนางยังไม่ทันได้กล่าวจนจบ ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาแล้ว ข้างหลังยังมีเฉิงฉือที่เดินตามมาอย่างไม่ช้าไม่เร็วอีกด้วย
รวดเร็วขนาดนี้เชียว!
โจวเสาจิ่นและปี้อวี้ต่างตกใจเป็นอย่างมาก โจวเสาจิ่นยิ่งแล้วใหญ่หลบเข้าไปในห้องน้ำชาตามสัญชาตญาณโดยไม่ทันได้คิด
ปี้อวี้อยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็หยุดไว้
โจวเสาจิ่นไม่เหมือนกับพวกนาง พวกนางเป็นบ่าวรับใช้ ถึงแม้ว่าไม่ใช่เวรยามของตัวเอง แต่ยามที่ผู้เป็นนายไม่อยู่เรือนกลับพักผ่อนสังสรรค์กัน ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วก็ดูไม่ค่อยดีนัก ทว่าโจวเสาจิ่นเป็นแขกของเรือนหานปี้ซาน นางออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติได้ ไม่ก็กล่าวว่ามาที่ห้องน้ำชาเพื่อดูว่ามีชาอะไรให้ดื่มบ้างหรือไม่ ก็จะทำให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้…อย่างไรก็ตาม คุณหนูรองตระกูลโจวอายุยังน้อย เกรงว่าประสบการณ์ยังมีไม่มาก อีกทั้งยังขลาดกลัว ก็เลยเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำชาเช่นนี้กระมัง
นางจึงได้แต่ถอยออกมาและตามเข้าไปในห้องน้ำชาด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นที่หลบเข้ามาในห้องน้ำชาแล้วกลับลอบรู้สึกเสียใจอยู่เงียบๆ
ตอนนี้ต่างจากอดีต
นางควรจะก้าวออกไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยท่าทีที่ไม่โอหังแต่ก็ไม่ประจบสอพลอถึงจะถูก ทำไมถึงได้หลบเข้ามาอยู่ในนี้เล่า
ไม่ได้! นางจะต้องกำจัดนิสัยขลาดกลัวนี้ไปให้ได้
นึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ยืดหลังตรงแล้วเดินออกไป
ภายในลานมีเสียงดัง โครม ขึ้นเสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นหันไปมองตามเสียง เห็นราวผ้าม่านในเรือนหลักกำลังตกลงไปบนธรณีประตูพอดี เกือบจะกระแทกลงไปบนตัวของเฉิงฉือที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่แฝงเอาไว้ด้วยความอับอายอยู่หลายส่วน
นี่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดว่าตนควรจะเลี่ยงกลับไปก่อนดีหรือไม่นั้น เฉิงฉือก็เลิกผ้าม่านขึ้นเดินเข้าเรือนหลักไปแล้ว
นางรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กระซิบบอกปี้อวี้ว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปที่ห้องพระก่อน”
ปี้อวี้ที่ไม่กล้าแม้แต่จะสูดหายใจ พยักหน้าหงึกๆ ให้นาง
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะยกเท้าขึ้นมา ก็มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมาจากห้องชั้นในฝั่งตะวันออกของฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ก่อนบอกว่ารอให้มียศตำแหน่งแล้วค่อยพูดคุยเรื่องแต่งงาน จะช่วยให้หาภรรยาจากตระกูลที่ดียิ่งขึ้นได้ ข้าก็ยอมฟังเจ้า ภายหลังบอกว่าไม่อยากจะต้องทะเลาะกันทุกเมื่อเชื่อวันเหมือนจวนห้าเช่นนั้น จึงอยากจะหาหญิงสาวที่อ่อนโยนนุ่มนวลสักคน ข้าก็ยอมเจ้าอีก แล้วตอนนี้เล่า มาบอกว่าอายุมากแล้ว คงจะเข้ากับเด็กสาวเหล่านี้ไม่ได้…ข้าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะเหลือวันเวลาให้ใช้ชีวิตได้อีกนานเท่าใด เจ้าจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเพื่อแม่บ้างไม่ได้หรือ เจ้าอยากจะให้ข้าตายตาไม่หลับหรืออย่างไร ข้าไม่สนว่าเจ้าจะคิดเห็นอย่างไร ภายในปีนี้เจ้าจะต้องแต่งงาน และภายในปีหน้าข้าจะต้องได้อุ้มหลาน!”
นางรีบชักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับมา
บ่าวที่เฝ้าเวรยามอยู่ภายในลานยิ่งแล้วใหญ่ ต่างหลบซ่อนตัวจนไม่เห็นแม้เงาของใครสักคน
น้ำเสียงอบอุ่นของเฉิงฉือดังขึ้นมาจากห้องชั้นใน แต่น่าเสียดายที่อยู่ห่างไกลไปเสียหน่อย จึงได้ยินไม่ชัดว่าเขากล่าวอะไรไปบ้าง โจวเสาจิ่นได้ยินเพียงตอนหลังจากที่เสียงของเฉิงฉือสิ้นสุดลง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ร่ำไห้ ร้องสะอึกสะอื้นไปด้วย และกล่าวไปด้วยว่า “เจ้ายังกล่าวโทษบิดาของเจ้าอยู่ใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของแม่ หากเจ้าอยากจะกล่าวโทษก็โทษแม่เถิด ต่อให้แม่จะต้องเสี่ยงด้วยชีวิตนี้ และละทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลนี้ไปเสีย ก็จะไม่มีทางปล่อยให้ตาแก่ผู้นั้นมีชัยเหนือกว่าไปได้…”
เฉิงฉือกระซิบปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
เสียงสะอื้นไห้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ เงียบลง
โจวเสาจิ่นมองช่องหน้าต่างสลักลายของห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ก็ให้รู้สึกสับสนยิ่งนัก
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
………………………………………………………………….
[1] เทศกาลเก้าคู่ หรือเรียกอีกชื่อว่าเทศกาลฉงหยาง ซึ่งตรงกับวันที่เก้าเดือนเก้า ตามความเชื่อของจีนโบราณ มีความเชื่อในเรื่องของหยินและหยาง โดยหยินแทนด้วยเลขหก ส่วนหยางแทนด้วยเลขเก้า ฉะนั้นวันที่เก้าเดือนเก้าจึงถือเป็นวันดี มีเลขเก้าคู่กันสองตัว ในปัจจุบันวันดังกล่าวยังถูกกำหนดให้เป็นวันผู้สูงอายุอีกด้วย
[2] ลูกผิงกั่ว หรือ ลูกแอปเปิล
[3] จอกชาจันทร์แปดกลีบ เป็นจอกชาเซรามิกทรงแปดเหลี่ยมแต่งแต้มด้วยลวดลายบนพื้นผิวจอกชา
[4] ยามโหย่วสือ คือ ช่วงเวลา 17.00 – 19.00 น.
[5] ยามเซินชู คือ เวลา 16.00 น.