โจวเสาจิ่นเขียนจดหมายให้บิดาหนึ่งฉบับด้วยความเดือดดาล ส่วนโจวชูจิ่นไปหาเฉิงเหมี่ยน
เฉิงเหมี่ยนฟังแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนอ้าปากค้างไปเป็นเวลานาน ถามโจวชูจิ่นว่า “มีคำรับสารภาพหรือไม่”
โจวชูจิ่นกล่าว “พวกข้ายังไม่ได้ไปฟ้องร้องที่ศาลเจ้าค่ะ เพียงให้พวกนางลงลายมือชื่อเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะถูกต้องตามระเบียบของทางการหรือไม่”
เฉิงเหมี่ยนหยิบร่างคำรับสารภาพที่ลงลายมือชื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้วไปดู กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเจ้าอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ข้าจะไปศาลาว่าการเมืองจินหลิงดูสักครั้งหนึ่งก่อน”
โจวชูจิ่นขานรับอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกลับเรือนหว่านเซียง
ตกบ่ายเฉิงเหมี่ยนก็ให้คนนำตัวซินหลานกับหลานทิงไปส่งที่ศาลาว่าการเมืองจินหลิง
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปครั้งหนึ่ง
นำคนส่งให้ศาลาว่าการเมืองแล้ว ไม่ว่าซินหลานและหลานทิงจะเป็นหรือจะตาย ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นหากมีคดีฆาตกรรมติดอยู่ในมือของพี่สาว แล้วเกิดถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งไม่ว่าจะถูกหรือผิด พี่สาวก็คงจะหนีไม่พ้นจากข้อครหาที่ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายและเ**้ยมโหด ก็เหมือนกับชาติก่อนที่หลี่ซื่อทำเรื่องเก็บบุตรขับไล่มารดา ถึงแม้จะเป็นไปตามขนบของสังคม แต่บิดาก็ยังรู้สึกว่านางเป็นคนโหดร้ายอำมหิต เรื่องเล็กน้อยระหว่างสามีภรรยาก็ค่อยๆ กลายเป็นรอยร้าว จากรอยร้าวก็กลายเป็นความขัดแย้ง สุดท้ายก็กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้ง สามีภรรยามองหน้ากันไม่ติด
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่โจวเสาจิ่นแนะนำให้พี่สาวนำตัวคนไปมอบให้กับทางการ ให้ขึ้นอยู่กับการสอบปากคำของทางการแทน
ด้วยมีความพัวพันกับตระกูลโจวและตระกูลเฉิงสองตระกูล นางจึงไม่กลัวว่าทางการจะตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม
แต่โจวชูจิ่นกลับไม่อาจสงบใจลงได้
เพียงล้มลงแผลที่หัวยังใหญ่ไม่เท่าปากถ้วยด้วยซ้ำ ก็จะลงโทษซินหลานและหลานทิงเพียงเท่านี้ เช่นนั้นก็ออกจะง่ายเกินไปสำหรับคนสองคนนี้!
ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้พวกนางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างถึงจะถูก
แต่คนก็ถูกส่งไปที่ศาลาว่าการเมืองแล้ว ไม่ว่านางอยากจะทำอย่างไรก็สายไปเสียแล้ว
หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงจะไปพูดกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนให้ช้าลงอีกสักสองสามวัน…
โจวเสาจิ่นรู้ว่าพี่สาวย่อมเสียใจอยู่ภายในใจเหมือนนางเป็นแน่ จึงช่วยเติมโจ๊กให้พี่สาว และขยับเต้าหู้แผ่นซอยในน้ำมันงากับยำแมงกะพรุนที่พี่สาวชอบกินไปให้ตรงหน้าพี่สาวเงียบๆ
โจวชูจิ่นหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจ ตบที่มือของน้องสาวเบาๆ แล้วคีบเสี่ยวหลงเปาที่โจวเสาจิ่นชอบกินเติมให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็กินด้วย! ไม่ต้องเป็นห่วงพี่สาว อีกไม่กี่วันพี่สาวก็จะดีขึ้นเอง”
โจวเสาจิ่นเข้าใจ
ก็เหมือนกับนางในชาติที่แล้ว ยามต้องเผชิญกับเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดหรือเสียใจแล้วไม่มีคนให้พูดคุยด้วย ตนก็จะอยู่เงียบๆ คนเดียวสักสองสามวัน จากนั้นอารมณ์ก็จะเบาบางลงไปเอง
นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้
หากมีวันใดที่พี่สาวมาเล่าความในใจให้นางฟังบ้างก็คงจะดี!
นางเองก็จะปลอบโยนพี่สาวเหมือนกับที่พี่สาวคอยปลอบโยนนางเช่นกัน
หลังจากที่สองพี่น้องรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เรื่องนี้ถูกปกปิดเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป เหลือพวกนางสองพี่น้องเอาไว้พูดคุยด้วย นางกล่าวขึ้นว่า “สำหรับเรื่องนี้พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นตระกูลผู้มีการศึกษาที่เป็นที่เคารพนับถือ จึงไม่อาจไปรังแกผู้อ่อนแอกว่า และทำร้ายชีวิตคนให้มือเปื้อนเลือดได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้ากับลุงของพวกเจ้าปรึกษากันเช่นนั้นได้ ที่เพียงจัดการเรื่องราวไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้ สิ่งที่สมควรพูด ก็ต้องเผยออกมาให้ทราบบ้าง โดยเฉพาะคนทางด้านตรอกฉุนอี้ หลังจากที่พวกเรานำเอาทรัพย์สินของพวกเขาที่เคยฝากเอาไว้ภายใต้ชื่อของจวนสี่ก่อนหน้านี้คืนให้พวกเขาไปนั้น ฮูหยินใหญ่ไป่ก็ไม่ค่อยมาหาอีก ข้าคิดว่านางยังคงเฝ้ากล่าวโทษอยู่ในใจเป็นแน่ ข้าจึงค่อนข้างเป็นกังวลมาโดยตลอด เกรงว่าต่อไปเมื่อเฉิงลู่ผู้นั้นมีอำนาจแล้ว จะกลายมาเป็นศัตรูกับพวกเรา ถึงแม้พวกเราจะไม่กลัวเขา แต่หากมีคนที่เอาแต่เกลียดชังเจ้าอยู่ตลอดเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจได้…
…วันนี้มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้พวกเราไม่ถามหาความรับผิดชอบจากตระกูลเฉิง ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างใจกว้างและเห็นใจ แต่อย่างไรทั้งสองบ้านก็ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนต้องการใช้เรื่องนี้มาบีบให้เฉิงลู่ต้องยอมจำนน
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็เห็นด้วย
ต่อให้พวกเขาจะเอาเฉิงไป่ไปฟ้องร้อง แต่เฉิงไป่เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว จึงทำอะไรเขาไม่ได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังพอเปิดเผยเรื่องที่นำไปสู่ความขุ่นเคืองใจของสองตระกูลอย่างตระกูลเฉิงและตระกูลจวงที่เกิดขึ้นในปีนั้นจนเป็นเหตุให้จวงเหลียงอวี้ถูกผู้คนครหาออกมาได้
และยังปล่อยข่าวลือที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ให้ต่งซื่อกับเฉิงลู่ไม่อาจเงยศีรษะขึ้นมาสู้หน้าตระกูลเฉิงได้อีกในภายภาคหน้า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้กวนพึงพอใจเป็นอย่างมากกับความเฉลียวฉลาดรู้ความของสองพี่น้อง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจแล้ว ข้ามีวิธีของข้า ช่วงนี้ชูจิ่นก็อย่าเพิ่งไปเรียนเรื่องการครองเรือนกับป้าใหญ่ของเจ้า ส่วนเสาจิ่นก็ยังไม่ต้องไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอัน พวกเจ้าอยู่แต่ในบ้านไปก่อน หากมีคนถามขึ้นมา ก็ให้บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงต้องพักผ่อนสักสองสามวัน”
หรือก็คือให้พวกนางสองพี่น้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังเสียใจ!
ไม่ต้องแสร้งทำ พวกนางก็เสียใจมากพอแล้ว แต่ถ้าหากมันสร้างความอับอายให้ต่งซื่อกับเฉิงลู่ได้ โจวเสาจิ่นก็ยินดีเสแสร้งทำได้อีก
สองพี่น้องพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เอกสารคดีความที่ส่งให้ศาลาว่าการเมืองและคำตัดสินของศาลาว่าการเมืองนั้น พวกเจ้าต้องเก็บเอาไว้ด้วยหนึ่งฉบับ ถึงแม้จะกล่าวว่าถ้าคนไม่ฟ้องร้องทางการก็ไม่จับก็ตาม แต่ถ้ามีคนไม่ถูกชะตากับเฉิงลู่ผู้นั้น แล้วนำเรื่องนี้ไปฟ้องกรมพิธีการ…การที่เขามีบิดาเช่นนี้ เกรงว่าอยากจะรับราชการก็คงยากสักหน่อยเสียแล้ว!”
ยังคงเป็นขิงแก่ที่มากไปด้วยประสบการณ์!
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องต่างยินดียิ่งนัก กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่หยุด
ตกบ่าย ข่าวคราวเรื่องที่มารดาผู้ให้กำเนิดโจวเสาจิ่นถูกซินหลานผู้เป็นสาวใช้ทำร้ายจนเสียชีวิตและเฉิงไป่ที่อาศัยอยู่ข้างๆ บ้านเดิมของจวงซื่อก็มีส่วนรู้เห็นด้วยก็ถูกปล่อยออกมาทั่วทั้งซอยจิ่วหรูราวกับหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่แตกหน่อชูช่อขึ้นมาหลังฝนตก
จี๋อิ๋งมาเยี่ยมโจวเสาจิ่น กล่าวปลอบใจนางอย่างเงอะงะเล็กน้อย “สวรรค์มีความยุติธรรม ย่อมไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกเจ้าได้ค้นจนพบเบาะแส ทั้งที่เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าวางใจเถิด พวกนางไม่มีทางได้มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นใจ กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
จี๋อิ๋งถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “พูดกันตามหลักซินหลานผู้นั้นก็แต่งงานออกไปแล้ว หากนางอยากจะติดตามไปอยู่กับเฉิงไป่ ก็เพียงแอบหนีตามไปก็ได้แล้ว ยังจะกลับไปทำร้ายมารดาของเจ้าอีกเพื่ออะไร คนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง! หรือว่าจะเป็นเพราะนางต้องการให้มารดาของเจ้าช่วยเหลือนาง? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามารดาของเจ้าทนเห็นพฤติกรรมนี้ของนางไม่ได้ จึงข่มขู่นางว่าจะไปฟ้องร้องทางการหรือไม่ก็จะนำไปบอกสามีของนาง นางก็เลยบังเกิดความคิดชั่วร้ายนี้ขึ้นมา?”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเปิดเผยเรื่องราวออกไปอย่างกำกวม ก็เพราะต้องการให้เกิดความคลุมเครือ ให้ทุกคนไปคาดเดากันเอาเอง พยายามไม่ดึงจวงซื่อเข้ามาเกี่ยวข้องให้มากที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าจี๋อิ๋งกลับได้คำตอบออกมาเป็นเช่นนี้ได้
หากทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนนางก็คงจะดี
โจวเสาจิ่นเดินไปปิดประตู เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้จี๋อิ๋งฟังเบาๆ ในเมื่อจี๋อิ๋งถึงกับนำเอาปิ่นเงินส่วนตัวที่อาจจะเป็นปิ่นเงินสำหรับขอความช่วยเหลือของนางออกมาให้ความช่วยเหลือนาง นางจึงไม่อาจเห็นแก่ตัวปกปิดเรื่องนี้เอาไว้จากจี๋อิ๋งได้
จี๋อิ๋งได้ฟังแล้วก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ กล่าวไม่หยุดว่า “พวกเจ้านำบ่าวไร้ค่าสองคนนั้นไปส่งให้ศาลาว่าการเมืองได้อย่างไร ตามความเห็นของข้าแล้ว ควรจะจับพวกนางไปจุดไฟเผาเสีย ให้ผู้อื่นได้ดูเป็นเยี่ยงอย่างว่าเมื่อกระทำผิดแล้วเจ้าจะมีจุดจบเป็นอย่างไร”
จุดไฟเผาหรือ!
เหมือนโจวเสาจิ่นจะเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งมาก่อน
โหดร้ายทารุณยิ่งนัก
นางถามขึ้นว่า “เจ้าเคยจับคนเผามาก่อนหรือ”
“เอ่อ!” สีหน้าของจี๋อิ๋งไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ตอบว่า “ไม่เคย แต่ว่าพี่ชายของข้าเคยจับคนจุดไฟเผามาก่อน”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยยิ่งนัก
จี๋อิ๋งรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงถูกขนามนามว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของจินหลิงหรอกหรือ หากนำป้ายชื่อของตระกูลเฉิงของพวกเจ้าไปที่ศาลาว่าการเมืองจินหลิงคงมีประโยชน์ไม่น้อยถึงจะถูก ตัดสินให้นำคนไปแล่เนื้อสับกระดูกทำนองนั้นได้หรือไม่…ได้ยินมาว่าบทลงโทษนั้นก็ไม่ต่างกับการจุดไฟเผา ล้วนรุนแรงเหมือนกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย “เพราะเรื่องนี้ ทำให้พี่สาวของข้าไม่ค่อยร่าเริงนักมาโดยตลอด!”
“หากเป็นข้า ข้าก็คงจะร่าเริงไม่ได้เหมือนกัน” จี๋อิ๋งประทับใจในตัวโจวชูจิ่นเป็นอย่างมาก รู้สึกว่านางทั้งสุขุมและเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดความอ่อนโยนและจริงใจ
โจวเสาจิ่นกำลังคิดจะกล่าวปลอบโยนจี๋อิ๋งสักสองสามประโยค เฉิงเจียก็เดินเข้ามาพอดี
พอนางเข้ามาก็ร้องโวยวายเสียงดังว่า “เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่รีบบอกข้าตั้งแต่เนิ่นๆ ได้อย่างไร หากข้ารู้ก่อน ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกเจ้านำตัวคนไปส่งให้ศาลาว่าการเมืองเป็นแน่” ขณะที่พูด นางก็ไปมองซ้ายทีขวาที แล้วถามขึ้นว่า “พี่ชูจิ่นเล่า ไม่ใช่บอกว่าพวกเจ้าไม่ค่อยสบายใจกันหรอกหรือ นางไปที่ไหนเสียแล้ว เหตุใดไม่มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
“ข้าไม่ใช่เด็กอายุสามขวบเสียหน่อย” โจวเสาจิ่นกล่าว สั่งสาวใช้นำน้ำชามาให้เฉิงเจีย
ตอนนี้เองเฉิงเจียถึงได้เห็นว่ามีจี๋อิ๋งอยู่ด้วย นางจึงกล่าวทักทายจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังใช้ความคิด
เฉิงเจียเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กระซิบพูดกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าว่า พวกเราแสร้งทำเป็นญาติของหลานทิง แล้วนำเหล้าพิษไปส่งให้นางสักขวดหนึ่ง ให้นางถูกวางยาพิษตายไปด้วยดีหรือไม่…”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ว่า “เช่นนั้นไม่สู้ตัดสินให้ตัดศีรษะนางเสียไม่ดีกว่าหรือ!”
เฉิงเจียหัวเราะแหะๆ พลางลูบศีรษะไปด้วยอย่างขัดเขิน
อยู่ๆ จี๋อิ๋งก็พูดเสียงเรียบขึ้นมาว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง…”
ทั้งสองคนหันไปมองนางอย่างพร้อมเพียงกัน
นางยกมือขึ้นจัดผมบริเวณขมับ พลางกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ สบายๆ ว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า ไม่มีสถานที่ใดบนโลกใบนี้ที่มืดมิดน่ากลัวไปกว่ากรงขังคนอย่างคุกอีกแล้ว ทั้งหมดในนั้นล้วนเป็นคนที่ก่ออาชญากรรมกระทำผิดกฎหมายมาทั้งสิ้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กระทำได้ทั้งนั้น แต่สถานที่ที่จะสำเร็จโทษได้ง่ายที่สุดก็เป็นคุกอีกเช่นกัน ขอเพียงเจ้ามีเงิน ผู้คุมคุกเหล่านั้นล้วนไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะมียศหรือตำแหน่งอะไร เคยทำอะไรมาบ้าง เพราะไม่มีคนดีสักคนที่ฆ่าคนหรือวางเพลิงได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจได้ ข้าคิดว่า แทนที่จะแสร้งแต่งกายเป็นญาติของหลานทิงแล้วนำเหล้าพิษไปส่งให้นาง ไม่สู้นำเงินก้อนนั้นไปติดสินบนผู้คุมในคุก ให้พวกเขาจับตาดูนางทุกวันให้นางได้รับความขมขื่นบ้างวันละสามเวลาอาหาร ให้นางรู้สึกเสียใจที่กระทำลงไป…ดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียมองหน้ากันอย่างตกตะลึง กล่าวขึ้นว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ข้าจะหลอกเจ้าไปเพื่ออะไร” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปถามเฉิง…เอ่อ…น้าฉือของเจ้าได้ เขาติดต่อกับคนที่ศาลาว่าการเมืองอยู่บ่อยๆ ย่อมรู้เรื่องดีที่สุด”
“ข้าเชื่อจี๋อิ๋ง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงของโจวชูจิ่นดังขึ้นมาจากด้านข้างหูของโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ
ทั้งสามคนหันกลับไป ก็เห็นโจวชูจิ่นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเหลืองเล็กน้อย
นางมองจี๋อิ๋งครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าเชื่อคำพูดของจี๋อิ๋ง” กล่าวอีกว่า “จี๋อิ๋ง หากข้าจะส่งคนไปติดสินบนผู้คุมคุกเหล่านั้น ควรจะไปติดต่อหาใครดี เจ้าเมือง นายอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานกลาง?”
“น่าจะเป็นพัศดีผู้เป็นหัวหน้าของผู้คุมเหล่านั้นมากกว่ากระมัง” จี๋อิ๋งครุ่นคิด กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “เพราะเรื่องเรือล่มที่ไหวอันเมื่อครั้งก่อน ฉินจื่อผิงมอบหมายให้สหายผู้หนึ่งของเขาเป็นคนไปออกหน้าให้ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นการเข้าหาเจ้าเมือง นายอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานกลาง ฉินจื่อผิงควรไปกระทำด้วยตัวเองถึงจะถูก”
โจวชูจิ่นพยักหน้า กล่าวกับจี๋อิ๋งอย่างจริงใจว่า “ขอบใจเจ้ามาก! รอให้ข้าเสร็จธุระเร่งด่วนพวกนี้แล้ว จะเชิญเจ้ามารับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อหนึ่ง”
“ไม่ต้องๆ” จี๋อิ๋งรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เรื่องง่ายๆ เพียงกระดิกนิ้วเท่านั้น คุณหนูใหญ่อย่าได้เกรงใจเช่นนี้เลย”
โจวชูจิ่นหัวเราะขึ้นมา ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก แต่โจวเสาจิ่นมองออกว่า เมื่อพี่สาวตัดสินใจแล้ว ย่อมต้องเชิญจี๋อิ๋งมารับประทานอาหารด้วยสักมื้อหนึ่งอย่างแน่นอน นางรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่งนัก
จี๋อิ๋งเป็นคนที่ควรค่าแก่การคบหาเป็นสหายด้วยผู้หนึ่ง
โจวชูจิ่นเรียกหม่าฟู่ซานเข้ามาหา ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะออกเงินสองร้อยเหลี่ยงเพื่อนำไปติดสินบนผู้คุมเหล่านั้น
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะเป็นคนออกเงินพวกนี้เองเจ้าค่ะ!”
แต่เสียงพูดของนางยังไม่ทันได้จบลง นางก็คิดถึง**บเงินที่ว่างเปล่าของตัวเองขึ้นมา ท่าทางกระตือรือร้นนั้นก็พลันอ่อนแรงลง ลอบสำรวจพี่สาวกับหม่าฟู่ซานอยู่เงียบๆ
โจวชูจิ่นกำลังหมุกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะ ‘ดูแล’ ซินหลานกับหลานทิงอย่างไรดี ส่วนหม่าฟู่ซานก็กำลังใช้ความคิดว่าจะหาใครเป็นคนกลางไปจัดการเรื่องนี้ให้ดี ทั้งสองคนจึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของนาง หม่าฟู่ซานยังกล่าวขึ้นยิ้มๆ อีกด้วยว่า “จะให้คุณหนูรองเป็นคนออกเงินก้อนนี้ได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องภายในบ้าน หากต้องใช้เงิน ก็ต้องใช้เงินของที่บ้าน ส่วนเงินของคุณหนูรองก็เก็บเอาไว้ซื้อของสวยๆ งามๆ ให้ตัวเองเถิดขอรับ!”
แม้แต่คำพูดปฏิเสธไปตามมารยาทโจวเสาจิ่นยังไม่กล้าเอ่ยออกไป นางกลับห้องไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เงิน เงิน และเงิน!
ที่แท้เงินก็สำคัญมากขนาดนี้นี่เองสินะ!
นางต้องหาวิธีเพิ่มรายได้สักวิธีหนึ่งถึงจะใช้การได้!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ปี้อวี้มาเชิญโจวเสาจิ่นไปสนทนาด้วย
………………………………………………………….