แต่จะมั่นใจหรือไม่มั่นใจก็คงไม่อาจอาศัยเพียงลมปากพูดเท่านั้น
โจวเสาจิ่นคิดว่าตนทำได้เพียงต้องลงมือทำให้ดี ถึงจะโต้แย้งให้ตัวเองได้
นางเดินออกจากเรือนเจียซู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับว้าวุ่นประหนึ่งน้ำในมหาสมุทรที่ม้วนตลบพลิกคว่ำลงสู่ทะเล
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง มองดูร่างของโจวเสาจิ่นที่ค่อยๆ ลับหายเข้าไปทางข้างหลังกำแพง จากนั้นเรียกหวังมามาเข้ามา กระซิบกล่าวว่า “เจ้าคิดหาทางให้คนไปลอบสอบถามอนุเหลียงดูว่าสุขภาพของท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นอย่างไรบ้าง”
หวังมามาตื่นตกใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเล่าเรื่องที่โจวเสาจิ่นพูดกับนางเมื่อครู่ให้หวังมามาฟังทั้งหมด ในตอนท้ายก็ยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าใกล้จะต้องเลือกข้างแล้ว พวกเราจึงไม่อาจไม่เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ ได้!”
หวังมามาเป็นบ่าวอาวุโสในจวน เรื่องราวของตระกูลเฉิงนางอาจจะรู้ดียิ่งกว่าเฉิงเหมี่ยนด้วยซ้ำ หลังจากผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ ตระกูลเฉิงก็ไม่เหลือสง่าราศีหรืออภิสิทธิ์ใดๆ ของตระกูลสูงศักดิ์อีก หนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็นกากเดนที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อน ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนกล้าที่จะเอาเปรียบอย่างไม่เกรงกลัว ต้องผ่านวันเวลาไปอย่างลำเค็ญ แม้แต่ยามที่นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่แต่งงานเข้าจวนมาก็ยังไม่อาจหายใจหายคอได้อย่างสะดวกนัก หากไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถของท่านผู้นำตระกูลจวนรองที่สอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อละก็ ตระกูลเฉิงคงจะสูญสิ้นไปนานแล้ว กล่าวได้ว่า การที่ซอยจิ่วหรูมีทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของเฉิงซวี่ เป็นเฉิงซวี่ที่ทำให้ตระกูลเฉิงรุ่งเรืองขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย พวกนางไม่เพียงเห็นมากับตา แต่ยังประสบมาด้วยตัวเอง ในดวงใจของพวกนางผู้เป็นบ่าวอาวุโสเหล่านี้ เฉิงซวี่ก็ไม่ต่างจาก ‘องค์จักรพรรดิผู้ฟื้นฟูความรุ่งโรจน์’ ของราชวงศ์ผู้หนึ่งเลย การให้พวกนางไปท้าทายอำนาจของเฉิงซวี่นั้น…พวกนางย่อมไม่กล้า!
ฉะนั้นเมื่อหวังมามาได้ยินจึงอดไม่ได้เอ่ยถามด้วยความเกรงกลัวว่า “ท่าน…ท่านแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะ อย่าไปล่วงเกินท่านผู้นำตระกูลเลย…แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเก่งกาจเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงอิสตรีผู้หนึ่ง หากนามไม่เที่ยงตรง วาจาย่อมไม่ราบรื่น…นายท่านสี่ฉือก็ช่วยอะไรไม่ได้ไปกว่ากัน ร้านตั๋วแลกเงินอะไรเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงดั่งจันทราในวารีและบุปผาในคันฉ่อง เกรงว่าเพียงจดหมายหนึ่งฉบับของท่านผู้นำตระกูลก็ล้มกิจการร้านตั๋วแลกเงินเหล่านั้นได้เลยเจ้าค่ะ…”
“เรื่องราวไหนเลยจะง่ายดายอย่างที่เจ้ากล่าวมา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บรรดาสหายร่วมราชสำนักและร่วมสำนักศึกษาของท่านผู้นำตระกูลเหล่านั้นต่างก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากตามกันไปแล้ว มิหนำซ้ำบรรดาผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง หากไม่ใช่เพราะมีนายท่านใหญ่ของจวนหลักคอยค้ำจุนอยู่ บางทีคนเหล่านั้นอาจจะไม่ไว้หน้าท่านผู้นำตระกูลแล้วก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลคงจะไม่พยายามเอาชนะใจบุตรเขยเพื่อโหย่วอี๋หรอก แต่ข้าไม่ได้คิดจะติดตามจวนหลักเพื่อต่อกรกับจวนรองให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์…เจ้ายังจำเมื่อครั้งที่นายท่านสี่ฉือต้องการเปิดกิจการร้านตั๋วแลกเงินแล้วต้องการให้พวกเราร่วมหุ้นด้วยได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าข่มตานอนไม่หลับถึงสามวันสามคืน หากไม่ร่วมหุ้นด้วย รายได้ภายในจวนจะไม่เพียงพอสำหรับส่งเก้าเกอเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์เล่าเรียนในภายหลัง แต่หากร่วมหุ้นส่วนด้วย พวกเราก็ถือว่าขึ้นเรือลำเดียวกับจวนหลักแล้ว ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ข้าคิดว่าน่าเกรงกลัวยิ่งกว่าก็คือ ในปีนั้นนายท่านสี่ฉืออายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น! หากว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างราบรื่นปลอดภัย ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องร้ายกาจอะไรได้อีก! ตอนนี้เจ้าคงจะทราบวัตถุประสงค์ที่นายท่านสี่ฉือก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินแล้วกระมัง จวนรองอดทนที่จะไม่แตกคอกับจวนหลัก แต่ถ้าแตกคอกันแล้ว เจ้าก็คอยดูเถอะ ผู้ที่จะกระโจนออกมานำทัพจะต้องเป็นจวนห้าอย่างแน่นอน!”
สิ่งที่จวนห้าขาดแคลนคือเงิน
เงินคือชีวิตของคนทั้งครอบครัว
หากจวนรองต้องการพรากชีวิตของจวนห้า จวนห้าก็พร้อมที่จะสละชีวิตไปต่อสู้กับจวนรองให้ตายกันไปข้างหนึ่ง กล่าวคือหากมัจฉาไม่ตาย ก็ต้องเป็นตาข่ายที่จะต้องเสียหายพังทลายลงไป
หวังมามาเงียบงัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนี้ทำได้เพียงดูว่าสุขภาพของท่านผู้นำตระกูลเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นแล้ว…”
หวังมามาเข้าใจ พยักหน้าตอบว่า “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
***
โจวเสาจิ่นวาดรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่ในเรือนไปหนึ่งวัน ความอัดอั้นตันใจนั้นจึงค่อยๆ สลายหายไปจนหมดสิ้น นับวันแล้ว ก็ถึงเวลาที่นางต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานแล้ว นางนึกถึงเฉิงฉือที่พำนักอยู่ในเรือนหานปี้ซาน ทั้งครุ่นคิดว่าเพิ่งจะเฉลิมฉลองตรุษจีนไปไม่นาน จึงเข้าครัวไปทำขนมเปี๊ยะกรอบเพื่อนำไปมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับพวกปี้อวี้ได้ลองชิมดู
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าไม่หยุด พลางกล่าวว่า “ขนมนี้ทำได้ไม่เลว” จากนั้นก็กล่าวอย่างสงสัยว่า “แป้งข้างนอกคล้ายโรยผงเครื่องเทศห้าชนิดเอาไว้แต่พอกินเข้าไปแล้วกลับรู้สึกไม่คล้ายนัก”
โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าใส่พริกเสฉวนเพิ่มเข้าไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองชิมอีกคำ แล้วกล่าวว่า “เหมือนยังมีเครื่องเทศอื่นอีกด้วย”
“ท่านมีลิ้นขององค์ฮ่องเต้จริงๆ เลยนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าบดพริกเสฉวนจนเป็นผง จากนั้นก็ผัดกับเกลือ โรยผงเครื่องเทศห้าชนิดเพิ่มบนแป้งชั้นนอก รสชาติของพริกเสฉวนนั้นจึงต่างจากปกติเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ว่า ขนมเปี๊ยะกรอบนี้ถึงได้ไม่ค่อยเหมือนอันที่เคยกินทั่วไปนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นยิ้มๆ อย่างหายข้องใจแล้ว จากนั้นบอกปี้อวี้ว่า “ส่งไปให้คุณชายสี่ลองชิมดูสักสองสามชิ้น”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทำเผื่อท่านน้าฉือด้วยหนึ่งกล่องเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ในเมื่อข้าทำให้ท่าน ย่อมไม่อาจละเลยท่านน้าฉือได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าวว่า “เห็นทีว่าชายสี่จะได้ลาภปากเพราะข้าเสียแล้ว ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเขาแล้ว นำขนมสองสามชิ้นนี้ไปให้หลี่ว์มามาก็แล้วกัน” ประโยคสุดท้ายเป็นการกล่าวกับปี้อวี้
ปี้อวี้คลี่ยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงขอตัวไปที่ห้องพระ
ไม่ได้คัดพระธรรมมาหลายวัน กลิ่นหมึกจางๆ เหล่านั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เริ่มฝนหมึก
ทว่าทางด้านเฉิงฉือนั้น ครั้นได้รับขนมเปี๊ยะกรอบที่ปี้อวี้นำมามอบให้แล้ว ก็มองสำรวจอยู่นาน ก่อนจะมอบกล่องขนมนั้นแก่ไหวซาน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนทางตอนเหนือ คงจะชอบกินขนมเช่นนี้ เจ้านำกลับไปกินเถอะ!”
ไหวซานรับกล่องขนมมา
เฉิงฉือคุยธุระที่ค้างไว้กับเขาต่อว่า “…ถ้าเซียวเจิ้นไห่ตามมาหาข้าจนถึงที่เมืองจินหลิงได้ คนอื่นก็ตามมาได้เช่นกัน ข้าไม่สะดวกจะปรากฏตัวในเมืองจินหลิงอีก ต่อไปตระกูลเฉิงคงต้องบอกคนข้างนอกไปว่าข้าป่วยเสียแล้วกระมัง! เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดข้าถึงไม่รับราชการ รอให้ผ่านไปสักสองปีข้าก็แสร้งล้มป่วยสิ้นใจตายไปเสีย ตระกูลเฉิงก็จะสงบสุขด้วย”
ไหวซานส่งเสียง “อืม” ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เห็นจี๋ิอิ๋งเดินเข้ามาในลานบ้าน ก้มหน้าก้มตาพูดคุยกับสาวใช้เด็กที่คุ้นหน้าคนหนึ่งอยู่สักพัก สาวใช้เด็กผู้นั้นหยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งที่คล้ายกล่องที่เฉิงฉือมอบให้เขาเมื่อครู่ออกมามอบให้จี๋อิ่ง จี๋อิ๋งรับกล่องขนมมา แล้วตกรางวัลให้สาวใช้เด็กผู้นั้นสองสามเหรียญทองแดง จากนั้นก็เดินกลับไปอย่างมีความสุข
“นายท่านสี่!” เขาอดกล่าวไม่ได้ “ดูเหมือนว่าคุณหนูรองตระกูลโจวจะมอบขนมให้จี๋อิ๋งด้วยเช่นกันขอรับ”
“อ้อ!” เฉิงฉือตอบเสียงบางเบา “คาดว่าคงทำเอาไว้มาก ก็เลยมอบให้คนละเล็กละน้อย เป็นธรรมดาที่มีของขวัญมามากผู้คนย่อมไม่กล่าวตำหนิ! นางคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน หากผูกมิตรกับพวกสาวใช้เหล่านั้นได้ เวลาจะทำอะไรก็ย่อมง่ายขึ้นมาก”
ไหวซานเห็นด้วย แล้วหยิบกล่องขนมกลับไป
จี๋อิ๋งวิ่งไปหาโจวเสาจิ่น ยิ้มกล่าวอย่างเริงร่าว่า “คุณหนูรอง ขนมเปี๊ยะกรอบที่เจ้าทำมาอร่อยมากจริงๆ! ขอบคุณเจ้ามาก! ที่ยังนึกถึงข้าอยู่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะเบิกบาน พลางกล่าว “ข้าทำเอาไว้มาก จึงแบ่งให้ทุกคน แบ่งให้ท่านน้าฉือด้วยเช่นกัน”
“จริงหรือ” จี๋อิ๋งทำท่าเสียดายเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “แต่ท่านน้าฉือของเจ้าไม่ชอบขนมแห้งๆ เช่นนี้หรอก”
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง เอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเขาชอบอะไร”
จี๋อิ๋งขบคิดอยู่นานครู่ใหญ่ แล้วตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามข้ารู้ว่าเขาไม่ชอบกินของหวาน แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะกินขนมดอกหลานฮวากรอบ…ไม่กินขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว อันนี้แน่นอน เพราะว่าเขาไม่กินบัวลอยกับบ๊ะจ่าง แต่ก็ไม่ถูกอีก เพราะเขากินบ๊ะจ่างเนื้อหมู…ไอ้หยา เขาผู้นี้ช่างแปลกเหลือเกิน ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร ใครจะรู้ได้เล่าว่าจู่ๆ ขนมอะไรจะถูกปากเขาบ้าง!” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย นางก็มีอาการทนไม่ได้เล็กน้อย เอ่ยว่า “เอาเป็นว่าเขาจู้จี้เรื่องของกินยิ่งนักก็แล้วกัน”
หรือเป็นเพราะว่านางทำได้ไม่อร่อยกันนะ
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีก วันรุ่งขึ้นจึงทำเกี๊ยวหยกผักโขม
ใช้เนื้อหมู ข้าวเหนียว ผักใบเขียวและกุ้งแห้งเป็นส่วนประกอบ เพื่อเพิ่มความสวยงามแล้ว นางยังจงใจหาจานลายดอกไม้สีชมพูใบหนึ่งมาสำหรับใช้จัดวางเกี๊ยวหยกอีกด้วย
กล่าวกันว่าเฉิงฉือเห็นแล้วเพียงคิดว่าจานใบนั้นดูไม่เลวนัก
วันที่สามนางทำขนมงาดำไม่หวาน เพื่อให้ดูน่ารับประทาน จึงจงใจตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ชั้นหนึ่งทำจากแป้งข้าวโพดสีขาว อีกชั้นหนึ่งทำจากงาดำ สีดำตัดกับสีขาวอย่างชัดเจน เห็นแล้วดูแปลกตายิ่งนัก
เฉิงฉือมอบให้ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์เป็นรางวัล ทว่ากลับเป็นหลี่ว์มามาที่ชื่นชอบขนมงาดำนี้มาก หลังจากรับประทานแล้วก็มาขอสูตรขนมจากนางอย่างขัดเขิน
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จึงตัดสินใจจะทำขนมให้กับผู้ที่ชอบรับประทานก็พอ
นางไม่เพียงจดสูตรขนมงาดำให้แก่หลี่ว์มามา แต่ยังทำขนมดอกกุ้ยฮวาจากแป้งข้าวเหนียวมอบให้หลี่ว์มามาอีกด้วย
หลี่ว์มามาดีใจยิ่งนัก แบ่งส่วนหนึ่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางเอ่ยชมว่า “ขนมแป้งข้าวเหนียวนี้ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
แล้วก็หยิบรับประทานอีกหลายชิ้น
โจวเสาจิ่นตกใจไปครั้งใหญ่
หากรับประทานข้าวเหนียวมากเกินไปจะทำให้ท้องอืดได้ง่าย
หลี่ว์มามากล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกข้าห้ามฮูหยินผู้เฒ่าได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นตอบว่า “ถึงห้ามไม่ได้ก็ต้องห้าม! ไม่เช่นนั้นหากกินแล้วเกิดเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมา แล้วพวกเราจะทำอย่างไร” ขณะที่กล่าวก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะทำขนมหัวผักกาดก็แล้วกัน เป็นขนมที่เนื้อสัมผัสนุ่มกินง่ายเหมือนกัน แต่ทำจากหัวผักกาดกับเนื้อหมู กินง่ายกว่าขนมแป้งข้าวเหนียว”
หลี่ว์มามาพยักหน้าหงึกๆ
วันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นทำขนมหัวผักกาดมามอบให้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับประทานติดๆ กันสี่ชิ้นถึงจะวางตะเกียบลง
ตอนที่โจวเสาจิ่นไปกล่าวอำลานาง นางเอ่ยถามว่า “เจ้าทำอาหารเก่งมากใช่หรือไม่”
“ไม่ใด้เก่งมากเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบอย่างถ่อมตน “อาหารที่ข้าชอบกินก็จะทำได้อร่อย แต่ถ้าเป็นอาหารที่ข้าไม่ชอบกินก็จะทำไม่เป็น อย่างเช่นข้าไม่ชอบกินปลาแห้ง ข้าจึงทำไม่เป็นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มขึ้นมา ถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าชอบกินอะไรบ้าง”
“ปลาทอดเปรี้ยวหวานเจ้าค่ะ! แล้วก็มีขนมแป้งข้าวเหนียวดอกกุ้ยฮวา กุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง รากบัวต้มกระดูกหมู…” โจวเสาจิ่นยกนิ้วขึ้นมานับ พลางกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามอาหารใดๆ ที่อร่อยข้าก็ชอบกินทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วตกรางวัลให้โจวเสาจิ่นเป็นพิมพ์ขนมที่ทำจากไม้หนานมู่ชุดหนึ่ง
มีลายลูกท้อ ดอกเบญจมาศ ดอกบัว เมฆมงคล มีแม้กระทั่งลายค้างคาวมงคลห้าตัว รวมทั้งหมดถึงยี่สิบเอ็ดลาย นอกจากใช้ทำขนมกินเล่นแล้ว ยังใช้ทำขนมไหว้พระจันทร์อีกด้วย เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนัก คนธรรมดาหากมีพิมพ์ขนมเช่นนี้ชุดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วล้วนใช้เป็นสมบัติตกทอดของวงศ์ตระกูลเลยทีเดียว
โจวเสาจิ่นไม่กล้ารับไว้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่มีบุตรสาว พวกพี่สาวเจิงของเจ้าต่างก็ไม่ชอบทำอาหาร ผู้อื่นมอบกระบี่ล้ำค่าแก่จอมยุทธ์ ส่วนข้ามอบพิมพ์ขนมให้แก่แม่ครัวมีชื่อ ก็นับเป็นการเกื้อกูลต่อกัน!”
โจวเสาจิ่นเองก็ชื่นชอบพิมพ์ขนมชุดนี้มากจริงๆ จึงไม่กล่าวปฏิเสธอีก รับมาด้วยความยินดี พลางตัดสินใจว่าวันหลังจะทำขนมหลากหลายชนิดมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ลิ้มลอง
เพียงแต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือ ครั้นนางนำพิมพ์ขนมกลับมาที่เรือนเจียซู่ ปรากฏว่าฮูหยินอู๋กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นกระซิบถามซื่อเอ๋อร์ว่า “ฮูหยินอู๋มาคนเดียวหรือ”
ซื่อเอ๋อร์พยักหน้า กระซิบตอบนางว่า “ตอนที่มาก็ร้องไห้ยกใหญ่เลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหยุดร้องได้ ดูจากท่าทางแล้ว เห็นทีว่าจะมาหาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเรื่องทุกข์ใจเจ้าค่ะ”
ชาติที่แล้ว ฮูหยินอู๋มักจะมาร้องไห้ปรับทุกข์กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่บ่อยๆ ทว่าตั้งแต่ที่อู๋เป่าจางได้รับความโปรดปรานจากเจิ้งซื่อสะใภ้ใหญ่สือแล้ว พอฮูหยินอู๋มีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็จะไปร้องไห้ปรับทุกข์กับสะใภ้ใหญ่สือแทน จึงแทบจะไม่ได้ย่างกรายมาที่จวนสี่อีกเลย
โจวเสาจิ่นยิ้มเย็น พลางเดินเข้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน
พอฮูหยินอู๋ผู้ที่ดวงตายังบวมแดงเล็กน้อยเห็นนางกลับดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉีกยิ้มกว้างหมายจะก้าวไปจับมือของนาง “คุณหนูรองกลับมาจากเรือนหานปี้ซานแล้วหรือ วันนี้ลมค่อนข้างแรง ต้องลมแรงบ้างหรือไม่ ไม่เห็นหน้าเพียงไม่กี่เดือน คุณหนูรองสูงขึ้นเล็กน้อยแล้ว หน้าตาก็งดงามกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว…”
………………………………………………………………….