เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าวัดฝาอวี่จะมาหาประโยชน์จากเขา
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “หากตอนที่พวกท่านไประดมทุนบริจาคที่จินหลิงแล้วข้ายังอยู่จินหลิง ย่อมเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
พระผู้ต้อนรับแขกผู้นั้นร้อง “เอ๋” ออกมาเสียงหนึ่ง ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ประสกเฉิงฉือมีแผนจะออกเดินทางไกลในเวลาอันใกล้นี้หรือ”
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าออกเดินทางไกล” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าข้าดูแลกิจการของที่บ้าน ภายในเวลาสิบวันมีเจ็ดวันแล้วที่ไม่อยู่บ้าน เวลาที่อยู่บ้านอีกสามวันก็มักจะต้องร่วมงานสังคมอยู่บ่อยๆ ยากนักกว่าจะมีเวลาว่าง จึงเกรงว่าตอนที่พวกท่านไปนั้นจะเป็นตอนที่ข้าไม่อยู่บ้านพอดี อย่างไรก็ตาม ข้าจะสั่งการพ่อบ้านของที่บ้านเอาไว้ให้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้พวกท่านเดินหลงทางอยู่ในเมืองจินหลิงได้!” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย แฝงความหมายเย้าแหย่อยู่ด้วยหลายส่วน
ในส่วนของการให้การแนะนำเทือกนั้น กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
พระผู้ให้การต้อนรับแขกผู้นั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
เดิมทีเขาคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จและภาคภูมิใจในตัวเองตั้งแต่อายุน้อยอย่างเฉิงฉือนี้มักจะให้ความสำคัญกับหน้าตา หากพูดด้วยคำพูดดีๆ ต่อให้ในใจจะไม่ยินยอมแต่ก็อาจจะพยายามทำให้รับปากได้…คิดไม่ถึงว่าจะเตะโดนกระดานเหล็กเข้าเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องจะทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ตนเพียงต้องคิดหาวิธีทำดีกับประสกเฉิงฉือผู้นี้ต่อไปอย่างอดทน
เขายังคงเดินมุ่งหน้าไปขึ้นเขาเป็นเพื่อนเฉิงฉือและคนอื่นๆ อย่างยิ้มแย้มและกระตือรือร้นเช่นเดิม
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นอายุมากแล้ว เดินไปได้ครู่ใหญ่ก็เริ่มหายใจหอบแล้ว
โจวเสาจิ่นที่เดินอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือที่คอยสังเกตมารดาอยู่ตลอดก็สังเกตเห็นได้ในทันที คนหนึ่งเดินไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เดินมากว่าครึ่งค่อนวันก็เริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน พวกเราพักขาตรงนี้สักครู่ก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นกล่าวสมทบว่า “ดี” ไม่ขาดสาย
ปี้อวี้ที่ติดตามมาด้วยรีบหยิบเบาะรองนั่งจากมือของบ่าวชายเด็กไปปูบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลง ตอนนี้เองถึงเพิ่งค้นพบว่าทางด้านตะวันออกของพวกเขาเป็นชายหาดผืนหนึ่ง
ระหว่างที่คลื่นสีฟ้ากระเพื่อมตัวขึ้นเป็นระลอกคลื่นนั้น น้ำทะเลกับท้องฟ้าก็กลายเป็นสีเดียวกัน ตอนที่คลื่นทะเลลอยตัวสูงขึ้นนั้น ดูราวกับเชือกสีขาวเส้นหนึ่งที่ม้วนตัวตลบลงมา ภาพนี้ไม่เพียงทำให้โจวเสาจิ่นที่ไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนรู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่าเป็นภาพที่งดงามยิ่งอีกด้วย
นางชี้ไปยังที่ไกลๆ นั้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าท่านดูสิเจ้าคะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองตามไป ประจวบเหมาะกับคลื่นทะเลลูกหนึ่งโถมตัวลงมา สาดกระเซ็นแตกกระจายเป็นกลุ่มก้อนฟองคลื่น
“ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่ทะเลสาบเฉียนถังงดงามกว่าหรือว่าชายหาดของเขาผู่ถัวงดงามกว่านะเจ้าคะ!”
“ต่างมีจุดเด่นของตัวเอง” ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ยืนมองชายหาดอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นพลางกล่าว “ฟองคลื่นของที่นี่ใหญ่โตมโหฬารกว่า แต่ฟองคลื่นของที่นั่นกลับเสมือนกับฝูงม้านับหมื่นวิ่งตะบึงไป รอให้เจ้าไปดูแล้วก็จะรู้เอง”
โจวเสาจิ่นตั้งหน้าตั้งตารออย่างอดใจไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยืนขึ้นแล้วเดินออกไปเบื้องหน้าสองสามก้าว มองไกลออกไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้า
ชุนหว่านดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่น เปล่งคำพูดไร้เสียงสองพยางค์ว่า “หวีสับ”
นางหมายจะให้ตนถามท่านน้าฉือว่าออกไปซื้อได้ตอนใด
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
จี๋อิ๋งกระซิบถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรหรือ”
“เปล่า” โจวเสาจิ่นกล่าว พลางคิดว่าเล่าเรื่องนี้ให้จี๋อิ๋งฟังก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าจี๋อิ๋งอาจคิดวิธีช่วยเหลือให้ได้ก็เป็นได้ จึงกล่าวต่อว่า “พวกข้าต้องการซื้อของกลับไปสักหน่อย เลยดูว่าเมื่อไรจะออกไปซื้อของได้”
“พวกข้า?” จี๋อิ๋งกระซิบกล่าวเสียงเบา “คงไม่ใช่เจ้ากับสาวใช้ของเจ้าหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย กล่าว “ข้าเองก็อยากซื้อของกลับไปเป็นของฝากเช่นกันนี่นา!”
จี๋อิ๋งรู้สึกหดหู่ใจ กล่าวขึ้นว่า “ในเวลาเช่นนี้เจ้ากลับยังกังวลถึงสิ่งของพวกนั้นได้ เจ้าทำให้ข้าไม่รู้จะว่าอะไรเจ้าแล้วจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องว่าอะไรก็แล้วกัน” โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “บางคนชื่นชอบทิวทัศน์ที่งดงาม บางคนก็ชื่นชอบการซื้อของ การออกมาท่องเที่ยวไม่ใช่เพื่อแสวงหาสิ่งที่แต่ละคนชื่นชอบหรอกหรือ”
“ช่างเถอะๆ ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” จี๋อิ๋งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าก็ครุ่นคิดไปก็แล้วกันว่าจะซื้ออะไรกลับไปดี!”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี เฉิงฉือที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่อให้ไม่อยากฟังก็ต้องฟังนั้นลอบยิ้มกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้นี้ดูท่าทางแล้วเป็นคนนุ่มนวลโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เวลาพูดหรือกระทำกลับมีบางอย่างที่เหมือนคนฉลาดที่มักทำตัวต่ำต้อยออกมาให้เห็นอย่างทื่อๆ
***
วัดฮุ่ยจี้ไม่อาจเปรียบได้กับวัดฝาอวี่ที่ใหญ่โตโอฬาร แต่มันถูกสร้างอยู่ท่ามกลางโขดหินสูงและผืนป่า เงียบสงบยิ่งนัก ยืนอยู่ด้านหน้าประตูวัดจะมองเห็นเขาผู่ถัวได้ทั้งหมด แต่เมื่อเดินเข้าไปในประตูวัด เสียงนกขับขาน กลิ่นหอมของดอกไม้ ยอดเขาทรงแปลกประหลาดอันเงียบสงบ กลับกลายเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง
พระผู้ให้การต้อนรับได้รับสารแจ้งแล้วรีบออกมาต้อนรับ
เฉิงฉือพาพวกเขาเดินรอบๆ วัดฮุ่ยจี้หนึ่งรอบ ตีระฆังที่หอระฆังในวัดฮุ่ยจี้ ดื่มน้ำชาอยู่ในศาลาที่อยู่หลังเขา บริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันเป็นเงินห้าร้อยเหลี่ยง เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว พระผู้ให้การต้อนรับจากวัดฝาอวี่จึงพาพวกเขาเดินทางกลับวัดฝาอวี่จากเส้นทางที่อยู่ทางทิศใต้ของภูเขา
การเดินไปและกลับเช่นนี้ นอกจากเฉิงฉือและอีกหลายคนแล้ว ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนออกมาให้เห็น หลังจากที่กินอาหารเจไปอย่างลวกๆ แล้ว ต่างคนต่างก็กลับห้องไปพักผ่อน
เนื่องจากมีชุนหว่านที่คุ้นเคยอยู่เป็นเพื่อนนาง อีกทั้งยังมีเฉิงฉือร่วมทางมาด้วย ไม่นานโจวเสาจิ่นก็นอนหลับสนิทอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นยังต้องให้ชุนหว่านปลุกให้ตื่นอีกด้วย
นางล้างหน้าล้างตาไปรอบหนึ่งอย่างนึกละอาย แล้วรีบเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังรอเฉิงฉือมารับมื้อเช้าด้วยกัน เห็นโจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวไร้ลวดลายสีม่วงแกมชมพูอ่อนตัวหนึ่ง เส้นผมดำเงางามรวบขึ้นเป็นมวยบริเวณต้นคอ ปักด้วยปิ่นทองดอกติงเซียง น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ดูประหนึ่งดอกไห่ถังตูมที่ปรารถนาจะเบ่งบานแล้วก็ไม่ปาน ดูแล้วทำให้อารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน จึงอดไม่ได้กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “วันนี้แต่งตัวได้งดงามยิ่งนัก อายุยังน้อย ต่อไปต้องแต่งตัวเช่นนี้บ่อยๆ ถึงจะถูก”
โจวเสาจิ่นขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงฉือเดินเข้ามา
เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาเนื้อผ้าละเอียดสีดำตัวหนึ่ง สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน ท่วงท่าสบายๆ และเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งคนที่เดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
“ท่านแม่!” เขาก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าเชิญให้ทางวัดช่วยประกอบพิธีสวดมนตร์ให้พวกเรา ประเดี๋ยวท่านอยากจะไปดูหรือไม่ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า
หลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไปวิหารใหญ่ที่อยู่ข้างๆ วิหารอวี้เปยพร้อมกัน
เบาะรองนั่งได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
พระจำนวนแปดสิบเอ็ดรูปสวดมนตร์ให้ตระกูลเฉิง
เสียงระฆังดังขึ้น ธูปและเทียนก็ถูกจุดขึ้นมา ภายในวิหารใหญ่อบอวลด้วยกลิ่นธูปไม้จันทน์
โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวดพระธรรมตามพระจบไปหนึ่งม้วน ถึงได้เดินออกมาจากวิหารใหญ่
เวลานี้พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมาแล้ว ค่อยๆ มีคนที่มาสักการะเดินทางมาถึงหน้าประตูแล้ว
พระผู้ให้การต้อนรับรูปที่ไปกับพวกเขาเมื่อวานเมื่อเห็นพวกนางออกมาจากวิหารใหญ่ ก็ยิ้มพลางก้าวออกมาต้อนรับ หลังจากคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเจ้าอาวาสของพวกอาตมาเพิ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้ว่า พรุ่งนี้จะเปิดแสดงธรรมให้ท่านด้วยตัวเอง”
นี่เป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุด
ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งประหลาดใจและยินดี รีบกล่าว “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาส หญิงชราผู้นี้ได้รับในสิ่งที่ไม่คู่ควรแล้ว”
“ที่ไหนกันๆ!” พระผู้ให้การต้อนรับยิ้มพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางไกลกว่าพันหลี่มาถวายธูปที่วัดของอาตมาได้ ความศรัทธานี้เพียงพอให้องค์พระโพธิสัตว์ทุกปางได้รับรู้แล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าอาวาสของพวกอาตมาถึงได้ตัดสินใจเปิดแสดงธรรมให้ท่าน…”
ขณะที่เขากล่าวคำสรรเสริญเยินยออยู่นั้น โจวเสาจิ่นกลับหันไปมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ ดูไปแล้วเสมือนกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ วัดฝาอวี่ถึงเปิดแสดงธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
พระผู้ให้การต้อนรับรูปนั้นสรรหาคำพูดดีๆ มาพูดไปหนึ่งกระบุง เมื่อเห็นว่ามีผู้ที่มาสักการะเข้ามาถวายธูป เขาถึงได้จบการสนทนา แล้วเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือไปเที่ยวชมถ้ำเฉาอินและป่าไผ่ดำ
โจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือใช้เวลาว่างอยู่ที่สันเขาเหมยถานเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าไปตลอดทั้งเช้า กระทั่งมีบัณฑิตและกวีหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อต่อบทกลอนกัน พวกเขาถึงได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง
สื่อมามารีบช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนชุด
โจวเสาจิ่นกระซิบถามเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ประกอบพิธีกรรมสวดมนตร์ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นพิเศษ เหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ”
“มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ” เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ “พวกเขาก็เพียงทำเพื่อสร้างวิหารมหาเทพเท่านั้นไม่ใช่หรือ หากฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข พวกเราจ่ายเงินจำนวนนี้ไปก็ถือว่าคุ้มแล้ว!”
บริจาควิหารมหาเทพหนึ่งหลังให้วัดฝาอวี่!
โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ยิ่งคิดเฉิงฉือกลับยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
คนในเมืองจินหลิงต่างกล่าวกันว่าตระกูลเฉิงร่ำรวย บางครั้งการร่ำรวยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี หากใช้โอกาสนี้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้วัด โดยเฉพาะวัดที่ได้รับการยกย่องจากราชสำนักเช่นวัดฝาอวี่นี้ ไม่เพียงทำให้ได้รับการปกป้องจากวัดเท่านั้น ยังทำให้ผู้อื่นเข้าใจไปได้ว่าเงินส่วนใหญ่ของตระกูลเฉิงได้ถูกบริจาคออกไปแล้ว…
เขาพยักหน้าน้อยๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็คอยดูว่าวัดฝาอวี่จะมีความสามารถหรือไม่!”
โจวเสาจิ่นยิ้มแหย
ตกบ่าย พวกเขาไปที่ชายหาด
อากาศที่ชุ่มชื้น คลื่นทะเลที่ส่งเสียงซ่าๆ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกสดชื่นและเบิกบานยิ่งนัก
เฉิงฉือแนะนำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอดรองเท้าแล้วเดินบนหาดทรายดู
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ แม่ของเจ้าอายุเท่าไรแล้ว ยังจะเล่นซนเหมือนเด็กๆ ได้หรืออยู่!”
“นี่ไม่ใช่การเล่นซนขอรับ” เฉิงฉือยิ้มพลางอธิบายอย่างอดทน “ตลอดทั้งชีวิตของท่านเกือบจะไม่เคยเดินเท้าเปล่าบนชายหาดเลยกระมัง ไม่สู้ลองทำดูขอรับ ที่นี่ก็ไม่ได้มีใครอื่น”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงลังเลเล็กน้อย ส่วนโจวเสาจิ่นกลับยินดีที่จะลองทำดูอย่างกระตือรือร้น
นางกล่าวโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เพียงนานๆ ทีเท่านั้นเจ้าค่ะ! อีกอย่างไม่รู้ว่าหลังจากนี้เมื่อไรถึงจะได้มาผู่ถัวอีกนะเจ้าคะ!”
คำพูดประโยคนี้กินใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งนัก
ปี้อวี้ช่วยถอดรองเท้าให้นาง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมถอดถุงเท้า ยังกล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “เจ้าเองก็ถอดรองเท้าแล้วมาเดินบนทรายดู”
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวตรงกับสิ่งที่โจวเสาจิ่นปรารถนาพอดี
นางถอดรองเท้าตามแบบที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอด ยืนอยู่บนหาดทรายขณะที่ยังสวมถุงเท้าอยู่ นางกับเฉิงฉือประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งเดินไปตามหาดทราย
คลื่นทะเลลูกหนึ่งซัดเข้ามา โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลบไม่ทัน ระหว่างที่กำลังกรีดร้องเสียงดังนั้นก็ถูกคลื่นซัดเข้ามาจนเปียก
เฉิงฉืออดยิ้มไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเอามือลูบหน้าอกพลางกล่าว “ข้าไม่ไหว ข้าอยากกลับแล้ว นี่อันตรายเกินไป ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเม็ดทรายไปหมด”
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้ฝืนบังคับนาง ตะโกนเรียกปี้อวี้ให้เข้ามาช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมรองเท้า
โจวเสาจิ่นกลับยังคงถูเท้าอยู่บนทรายอีกครู่หนึ่งถึงได้สวมรองเท้า
เฉิงฉือมองแล้วก็หัวเราะ
เมื่อกลับถึงห้องพัก กระทั่งพวกนางอาบน้ำใหม่เสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี
ไม่ได้เหนื่อยอ่อนและง่วงนอนเหมือนเมื่อคืนที่มาค้างคืนที่วัดฝาอวี่เป็นครั้งแรก หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงฉือถูกเจ้าอาวาสวัดเชิญตัวไปดื่มน้ำชาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงไล่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างกายออกไป แล้วสนทนาเรื่องส่วนตัวกับโจวเสาจิ่น “…ช่วงนี้เวลาเจ้าเล่นหมากเป็นเพื่อนน้าฉือของเจ้านั้น น้าฉือของเจ้าเคยพูดอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือพูดน้อยยิ่งนัก ต่อให้พูด สิ่งที่พูดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องมีเนื้อหาสาระทั้งสิ้น คำพูดแปลกๆ ที่ท่านกล่าวถึง…ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคำพูดอะไรถึงจะกล่าวได้ว่าเป็นคำพูดที่ แปลกๆ เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “อย่างเช่นจู่ๆ ก็พูดว่าสถานที่นี้ดียิ่งนัก เขาอยากลองไปดู หรือไม่จู่ๆ ก็กล่าวอ้างอิงถึงหรือกล่าวชมบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นมา เป็นต้น…”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างละเอียดกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยได้ยินท่านน้าฉือพูดอะไรทำนองนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าเคยได้ยินน้าฉือของเจ้าพูดว่าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือไม่”
“ไม่เคยเหมือนกันเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบอย่างมั่นใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปเวลาเจ้าเดินหมากกับน้าฉือของเจ้า หากเขาพูดอะไรทำนองนี้ เจ้าจะต้องเล่าให้ข้าฟัง”
**************************