ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 210 พูดคุย

ตอนที่ 210 พูดคุย

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อขึ้นมาในทันใด

ท่านน้าฉือมาได้อย่างไร

เขาไม่ได้อ่านตำราหมากล้อมอยู่ในห้องหรอกหรือ

โจวเสาจิ่นรีบปล่อยชายกระโปรงลงมาคลุมเท้า แต่ไม่กล้าสวมใส่รองเท้า จึงเดินเท้าเปล่าเช่นนี้ไปหาเฉิงฉือ

เฉิงฉือสังเกตเห็นว่าที่ริมตลิ่งมีเปลือกหอยที่ถูกซัดขึ้นมากับน้ำ ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าอย่าเข้ามา ตรงนี้มีเปลือกหอย ระวังจะบาดเท้าเอาได้”

ท่านน้าฉือต้องเห็นนางวิ่งเท้าเปล่าบนหาดทรายแล้วเป็นแน่…

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงก่ำมากยิ่งขึ้น ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ จะหันซ้ายก็ไม่ใช่ จะหันขวาก็ไม่ใช่

เฉิงฉือไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นางอับอาย เมื่อขบคิดแล้วก็เดินไปที่ริมตลิ่ง กล่าวว่า “ท่านแม่ของข้ากำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินซ่ง ฮูหยินซ่งผู้นั้นพูดมากไปสักหน่อย นี่ก็ถาม นั่นก็ถาม ข้าเลยเดินออกมาเสีย ไม่คิดว่าเดินไปเดินมาจะเดินมาถึงตรงนี้” เขาเอ่ยถามโจวเสาจิ่น “ที่นี่สนุกหรือไม่”

“สนุกเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างขัดเขิน

สายตาของทั้งสองคนทอดมองออกไปอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ยังคงมีคลื่นจากปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังหลงเหลืออยู่ คลื่นสีขาวม้วนตลบบนพื้นผิวแม่น้ำทีละลูก ราวกับเด็กแก่นแก้วที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสำราญใจ น้ำในแม่น้ำกระทบเข้าฝั่ง ซัดเข้าใส่หาดทรายเป็นพักๆ

จี๋อิ๋งกับชุนหว่านวิ่งไล่คลื่นอยู่บนชายหาด ส่วนปี้เถายังคงก่อกองทรายเป็นกำแพงต่อไป เล่นกันอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “น้ำในแม่น้ำเฉียนถังค่อนข้างขุ่น ไม่เหมือนกับน้ำทะเล คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะพาเจ้าไปทะเลเหนือ ทรายบนหาดที่นั่นเป็นสีขาว เวลาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงลงบนหาดทราย จะเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเงิน งดงามยิ่งนัก ส่วนหาดทรายที่หลินอวี๋เป็นสีทอง เมื่อต้องแสงอาทิตย์ จะเปล่งประกายระยิบระยับราวกับทองคำ คนในพื้นที่ต่างขนานนามให้มันว่า ‘อ่าวทองคำ’…เกาะเหวยโจวที่ก่วงซีก็แตกต่างออกไปเช่นกัน หาดที่นั่นล้วนเป็นโขดหิน เป็นหน้าผาสูงชัน และมีหินรูปทรงแปลกประหลาดมากมาย บางครั้งก็มีนกโฉบลงมาเหนือศีรษะของเจ้า มีนกน้ำว่ายอยู่ข้างๆ เจ้า ดูเปล่าเปลี่ยวเวิ้งว้าง แต่กลับทำให้เจ้ารู้สึกเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างอธิบายไม่ได้…ท้องฟ้าและน้ำทะเลเป็นสีเดียวกัน ดูกว้างใหญ่ไพศาล…” ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น น้ำเสียงก็ค่อยๆ เบาบางลง แววตาก็เปลี่ยนเป็นพร่ามัว ประหนึ่งกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในทิวทัศน์อันสวยงามของเกาะเหวยโจวอยู่ก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นรู้สึกอิจฉายิ่งนัก เบิกตากลมโตมองเฉิงฉือ แล้วอดกระซิบกล่าวออกมาเสียงเบาไม่ได้ว่า “สถานที่ที่ท่านน้าฉือเคยไปมาช่างมากมายยิ่งนัก!”

หากนางเป็นได้อย่างท่านน้าฉือเช่นนี้บ้าง จะดีมากมายเพียงใดนะ!

น้ำเสียงอิจฉานั้นของโจวเสาจิ่นปลุกเฉิงฉือให้ตื่นขึ้นจากความทรงจำ

เขามองสายตาที่ไม่ปกปิดสิ่งใดของนาง แล้วอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้ายังเด็กอยู่ ภายหน้าย่อมได้ไปเยือนสถานที่มากมายเช่นเดียวกัน ไม่ต้องอิจฉาข้าหรอก”

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ต่อให้ข้าได้ไปเยือนสถานที่มากมายหลายแห่ง แต่คงไม่อาจได้เห็นภูมิทัศน์อันงดงามมากเท่าท่านน้าฉือได้หรอกเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วเอ่ยต่ออย่างพอใจว่า “ครั้งนี้ได้ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัว และได้ติดตามท่านน้าฉือมาชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง ข้าก็พอใจกับชีวิตนี้แล้ว ไม่นึกเสียดายอะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงของนางจริงใจยิ่ง ทำให้คนสัมผัสถึงความจริงจังในถ้อยคำของนางได้

ทันใดนั้นเฉิงฉือก็รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นเด็กน้อยผู้นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ยังเป็นเพียงทารกมารดาผู้ให้กำเนิดก็ตายจากไป จากนั้นติดตามพี่สาวต่างมารดามาอาศัยอยู่ในเรือนของยายที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายโลหิตกับนางแต่อย่างใด ใช้ชีวิตอยู่ในจวนสี่จวบจนอายุสิบสองปีเสมือนเป็นเงาที่ไร้สุ้มเสียง ถูกมารดาพบเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงวานให้นางช่วยคัดพระธรรมให้ นางรังเกียจเฉิงเจียซ่านถึงเพียงนั้น แต่ยังต้องอดทนอดกลั้นไปเรือนหานปี้ซานอยู่ทุกวัน แม้ตอนที่ถูกเฉิงเจียซ่านไล่ตามก็ไม่กล้าตำหนิเขาเสียงดัง แต่กลับวิ่งหนีไปประหนึ่งลูกกวางที่ตื่นตระหนก ยอมขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าด้วยกลัวว่าเมื่อพวกผู้ใหญ่ในตระกูลเฉิงทราบเรื่องแล้วจะเข้าข้างเฉิงเจียซ่านแล้วทำให้นางได้ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่ ‘ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว’… สิบสองปีที่อาศัยอยู่ในตระกูลเฉิง นางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาแล้วเท่าไร ต้องทนรับความอับอายเช่นนี้มาแล้วเท่าไรกันนะ

เป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือสำรวจมองเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้อย่างละเอียดเช่นนี้

นอกจากดวงหน้าที่พริ้มเพรางามหมดจดนั้นแล้ว นางยังมีขาที่เพรียวยาวกว่าเด็กสาวทั่วไปคู่หนึ่ง ทำให้นางดูสูงโปร่ง แม้รูปร่างจะสูงเพียงปานกลางเท่านั้นก็ตาม

ไม่แปลกเลยที่นางจะเดินบนถนนได้อย่างเงียบเชียบ

หากโตขึ้นอีกหน่อย อาจจะงามผุดผาดยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้

เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา

หากไม่ใช่เพราะความโชคดีที่นางพบกับมารดาโดยบังเอิญ ตลอดชีวิตนี้เขาอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ในซอกมุมหนึ่งของตระกูลเฉิงยังมีเด็กสาวเช่นนี้อยู่ด้วย แม้ว่าจะขลาดกลัว อุปนิสัยยอมคน และไม่ค่อยเฉลียวฉลาดนัก แต่ก็สดใสร่าเริง เผยความเจ้าเล่ห์ของเด็กสาวออกมาให้เห็นหลายส่วน ดังเช่นแมวน้อย เวลาที่มองเจ้าในยามปกติก็รู้จักแต่ร้องเหมียวๆ ออดอ้อนเจ้า แต่หากว่าทำตัวเอาแต่ใจขึ้นมา ก็จะกางเล็บข่วนเจ้าสักสองที ถ้าหากเจ้าโกรธและทำหน้าบึ้งตึง มันก็จะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วดุจควัน หลบอยู่ข้างหลังประตูแล้วมองสำรวจเจ้า รอจนกว่าเจ้าจะหายโกรธ แล้วค่อยวิ่งมานั่งอยู่หน้าเจ้าอย่างระมัดระวัง และเอียงคอมองเจ้าโดยไม่ขยับเขยื้อน จนกว่าเจ้าจะคลี่ยิ้มออกมาถึงจะหยุด…

เขากลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

โจวเสาจิ่นยังคิดว่าเฉิงฉือหัวเราะที่นางเห็นโลกน้อยเกินไป จึงรู้สึกเก้อเขินจนหูแดงก่ำ พึมพำว่า “ข้า…ข้าคิดว่าได้ไปเขาผู่ถัวและได้มาเที่ยวแม่น้ำเฉียงถังเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ นะเจ้าคะ เด็กสาวที่ไม่เคยเดินทางออกจากเมืองจินหลิงเหมือนข้ามีอีกมากมายเลยเจ้าค่ะ!”

แววตาของเฉิงฉือเยือกเย็นลงเล็กน้อย

เขานึกถึงหลินซื่อเซิ่งที่จิงเฉิง

ได้ยินว่าเขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ภายใต้การสนับสนุนอย่างลับๆ จากพ่อตา

โจวเสาจิ่นกับคนผู้นี้มีความสัมพันธ์กันหรือไม่นะ

จู่ๆ เขาก็รู้สึกหมดความสนใจขึ้นมา

“ข้าจะกลับก่อนแล้ว!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าเล่นกันอีกสักพักก็กลับกันได้แล้ว! นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว น้ำในแม่น้ำตอนกลางคืนเย็นเยียบยิ่งนัก ระวังจะหนาวเอาได้ อีกสองวันพวกเราต้องออกเดินทางไปซูโจว หากเจ็บป่วยขึ้นมาจะทรมานไม่น้อย”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ พลางกล่าว “พวกข้าจะกลับเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ!” ทว่าในใจกลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นางไม่ได้กล่าวอะไรออกไปเลย เหตุใดจู่ๆ ท่านน้าฉือถึงได้ดูอารมณ์เสียขึ้นมานะ

ตนต้องกล่าวขอโทษท่านน้าฉือสักครั้งหรือไม่นะ

ปัญหาคือต่อให้นางอยากจะขอโทษ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนได้ทำผิดตรงที่ใด หรือควรจะขอโทษอย่างไร!

โจวเสาจิ่นมุ่ยปาก เมื่อเงยหน้ามองออกไปก็พบว่าเฉิงฉือสาวเท้าเดินไปที่ริมตลิ่ง ห่างออกไปจากนางมากกว่าหนึ่งจั้งเสียแล้ว

ช่างมันเถอะ!

โจวเสาจิ่นลังเล คราวหน้าถ้ามีโอกาสค่อยถามท่านหน้าฉือก็แล้วกัน

ขณะที่นางกำลังขบคิดอยู่ จู่ๆ ก็ถูกคนตบเข้าที่ไหล่ทีหนึ่ง

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง เสียงของจี๋อิ๋งผ่านมาจากข้างหลัง “นายท่านสี่มาทำไมหรือ ข้ากลัวโดนเขาเทศน์เป็นที่สุด พอเห็นว่าเขาคุยกับเจ้า ข้าเลยแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาเสมือนกับว่าเขาไม่ได้มา…”

“เจ้าส่งเสียงเรียกข้าสักคำก่อนไม่ได้หรือ” โจวเสาจิ่นเอามือทาบอก บ่นพึมพำเหมือนยังรู้สึกตกใจไม่หาย “คนหลอกคน หลอกจนตกใจแทบแย่แล้ว!”

“เอาล่ะๆ ข้าผิดไปแล้ว” จี๋อิ๋งกล่าวขอโทษอย่างไม่จริงใจ “นายท่านสี่คุยอะไรกับเจ้า ข้าเห็นตอนที่เขาเดินออกไปหน้าตาดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย”

แม้แต่จี๋อิ๋งยังมองออกว่าท่านน้าฉืออารมณ์ไม่ดี เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตนที่คิดไปเอง

ตอนที่นางกล่าวว่า ได้ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัว และได้ติดตามเขามาชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง ก็ไม่นึกเสียดายอะไรในชีวิตนี้แล้ว เขายังยิ้มให้กับนางอยู่เลย แต่พอนางกล่าวเป็นครั้งที่สอง สีหน้าเขากลับดูบูดบึ้ง…เพราะเหตุใดกันนะ

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนคิดมากจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว ทว่าจี๋อิ๋งกลับยังคงซักไซ้นางอย่างไม่พอใจ “นายท่านสี่กล่าวอะไรบ้าง ไฉนเจ้าถึงได้นิ่งงันเหมือนเจอผีกันเล่า!”

“เจ้าเพิ่งจะเจอผีไปน่ะสิ!” โจวเสาจิ่นโต้กลับไปอย่างขุ่นเคือง

ใครจะรู้ว่าจี๋อิ๋งกลับหัวเราะคิกขึ้นมาสองครั้ง พลางกล่าว “เจอนายท่านสี่กับเจอผีต่างกันอย่างไร ข้ากล่าวผิดไปอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะตอบกลับ กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือบอกให้พวกเรากลับให้เร็วสักหน่อย บอกว่าตกเย็นน้ำในแม่น้ำจะเย็นเฉียบ ประเดี๋ยวจะหนาวเอาได้ ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาผู้ที่ลำบากจะเป็นพวกเราเอง”

“ข้าว่าแล้วว่าเขาจะต้องขู่พวกเราเช่นนี้!” จี๋อิ๋งบ่นพึมพำ แต่ก็ยังเชื่อฟังคำแนะนำของเฉิงฉือ ตะโกนเรียกชุนหว่านและคนอื่นๆ “พวกเรากลับกันเถอะ! ใกล้มืดแล้ว”

ชุนหว่านและคนอื่นๆ สวมถุงเท้ารองเท้าด้วยท่าทีที่ไม่อยากกลับสักเท่าใดนัก ทุกคนต่างเดินกลับบ้านพักของตระกูลจงไปด้วยตัวเปียกปอน

พวกบ่าวหญิงรีบต้มน้ำร้อนให้พวกนางอาบน้ำ

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ผลัดเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้วก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวบนเรือน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังสนทนาอยู่กับฮูหยินซ่ง แต่เห็นได้ว่าสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ทว่าฮูหยินซ่งกลับคุยจ้ออย่างเริงร่า กำลังตื่นเต้นอย่างเต็มที่

โจวเสาจิ่นถึงได้เข้าใจว่าทำไมเฉิงฉือออกไปที่ริมแม่น้ำ

นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากำลังจะวาดแบบลายดอกไม้ให้ฮูหยิน ฮูหยินอยากไปดูอยู่ข้างๆ หรือไม่เจ้าคะ หากว่าท่านมีลายดอกไม้ที่ชื่นชอบ ข้าจะได้ลองวาดเสริมเข้าไปให้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินซ่งรู้สึกสนใจยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วเหมือนอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับส่ายศีรษะเบาๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยิ้มน้อยๆ พลางเชิญฮูหยินซ่งไปที่ห้องโถง

แทนที่จะให้ฮูหยินซ่งรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่สู้ให้นางมาพูดจ้อกับตนแทนเสียยังจะดีกว่า

กระทั่งซ่งหมิ่นและคนอื่นๆ กลับมาจากเซียวซาน ก็เป็นยามที่ต้องถือโคมไฟเดินแล้ว โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รับประทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินซ่งก็ได้รับแบบลายดอกไม้ลายใหม่ด้วยเช่นกัน

ซ่งหมิ่นจึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เฉิงฉือออกมาต้อนรับทักทาย รั้งให้ซ่งหมิ่นกับหวงอี๋จวินอยู่รับประทานมื้อเย็น และชวนให้ค้างคืนด้วย “…กลับไปเวลานี้ประตูเมืองก็ปิดแล้ว อีกทั้งคุณชายน้อยยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทนไม่ไหวหรอกขอรับ โรงเตี๊ยมที่อยู่นอกประตูเมืองส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่ไม่มีที่พักแรมหรือไม่ก็กุลีที่หาที่พักแรมราคาถูก ท่านผู้เฒ่าทนนอนที่นั่นได้แต่ฮูหยินซ่งคงทนไม่ไหว ท่านอย่าเกรงใจข้าเลยขอรับ”

ซ่งหมิ่นผู้นั้นเป็นผู้ที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ตอบรับอย่างยินดี พลางกล่าว “รอวันใดที่เจ้าไปจิงเฉิง อย่าลืมมาหาข้า ข้าจะเชิญเจ้าไปดื่มสุราที่เหลาสุราที่ดีที่สุด”

เฉิงฉือหัวเราะร่า พลางถามว่า “ท่านทราบหรือว่าเหลาสุราที่ดีที่สุดของจิงเฉิงคือเหลาสุราแห่งใด อยู่ที่ไหน และไปอย่างไร”

ซ่งหมิ่นเอ่ยตอบอย่างมีไหวพริบยิ่งว่า “ข้าไม่รู้ แต่คนขับรถม้าของบุตรชายข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าเจ้าจะไม่ขาดสุราอย่างแน่นอนก็พอ!”

เฉิงฉือหัวเราะร่าขึ้นมาอีกครั้ง บอกให้ฉินจื่อผิงไปหยิบสุราเซาเตาจื่อมา “ข้าไม่คุ้นกับการดื่มสุราจินหวานั้นสักเท่าใด ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าดื่มสุราเซาเตาจื่อได้หรือไม่ขอรับ”

ซ่งหมิ่นยิ้มกล่าวว่า “ถึงเหลียนพัวแก่แล้ว ยังรับใช้บ้านเมืองได้อยู่เลยมิใช่หรือ”

“ดี!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็ดื่มสุราเซาเตาจื่อไหนั้นก็แล้วกันขอรับ”

หวงอี๋จวินสีหน้าขมวดเกร็งเล็กน้อย

ซ่งหมิ่นจึงให้เขาออกไป “เจ้าพาชายห้าไปหามารดาของเขาที วันนี้เขาตามพวกเราไปวิ่งเล่นมาทั้งวัน คงเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”

หวงอี๋จวินรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง รอให้ซ่งเซินคารวะซ่งหมิ่นกับเฉิงฉือเสร็จแล้ว ก็ถอยออกไป

เฉิงฉือรินสุราจอกหนึ่งให้ซ่งหมิ่น

ซ่งหมิ่นดมกลิ่นแล้ว ก็หลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม พลางกล่าวว่า “หลายปีแล้วที่ไม่ได้ดื่มสุราชั้นดีเช่นนี้ เจ้าคิดเรื่องขอยืมบ้านพักของนายท่านจงเพื่อพักอยู่ชั่วคราวได้อย่างไร หากรู้แต่แรกเช่นนี้ข้าก็คงจะขอยืมบ้านของเขาเพื่อพักแรมเช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้พบกันเร็วกว่านี้ก็เป็นได้”

เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าหาที่นี่พบได้อย่างไรหรือขอรับ”

ซ่งหมิ่นตกตะลึง

จากนั้นทั้งสองคนก็ฉีกยิ้มให้กัน

แล้วตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู[1]!”

………………………………………………………………….

[1] แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู (河图洛书) คือตำราโหราศาสตร์และดาราศาสตร์โบราณของจีน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท