ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 219 โอ้อวด

ตอนที่ 219 โอ้อวด

นี่เป็นการวางท่าโอ้อวดอย่างเปิดเผย!

ตื้นเขินจนทำให้คนไม่อาจทนมองตรงๆ ได้เลยทีเดียว!

เฉิงฉือตะลึงงัน

เขาโตมาถึงเพียงนี้เพิ่งจะเจอคนที่พูดจาและประพฤติตัวอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ต่อหน้าเขาเป็นครั้งแรก

ไม่สิ นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นครั้งแรก

ตอนที่เขาเพิ่งจะเริ่มทำมาค้าขายกับผู้อื่น บางครั้งบรรดาพ่อค้าที่มีพื้นเพต่ำต้อยเหล่านั้นก็จะประพฤติตัวเช่นนี้ต่อหน้าเขาเพื่อหมายจะทำการค้าขายได้สำเร็จ แต่คนเหล่านั้นกระทำไปเพื่อเงินทอง และนั่นก็เป็นเพราะไม่เคยได้รับการศึกษาอะไรมาก่อน…แต่นางเป็นบุตรสาวของโจวเจิ้น โตมาในซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิงตั้งแต่เล็ก…ต่อให้นางไม่พอใจตน อยากจะเอาคืนเขาสักครั้งหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องกระทำอย่าง ‘เถรตรง’ เช่นนี้ก็ได้กระมัง

มีวิธีการอ้อมค้อมอื่นตั้งมากมาย นางไม่ได้ใช้สมองขบคิดบ้างเลยหรือ

เขาเป็นคนกันเอง นางกระทำตัวเช่นนี้อย่างมากที่สุดก็ถูกเขาหัวเราะหยันทีหนึ่ง แต่หากว่ามีคนนอกอยู่ด้วย เช่นนี้ไม่ใช่ว่าชื่อเสียงของนางจะป่นปี้ไปตลอดชีวิตหรอกหรือ

เฉิงฉือไร้ปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ มองโจวเสาจิ่นอย่างตะลึงงัน กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับลอบหัวเราะ “เฮอะๆ” อยู่ในใจ

เฉิงฉือเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง แม้แต่เรื่องทำการค้าก็ยังดำเนินการอย่างพ่อค้าผู้มีความรู้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่เคยมีใครกระทำตัวหยาบคายอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าเขาเช่นนี้กระมัง!

เขาต้องรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจมากเป็นแน่

แต่ที่นางต้องการก็คือทำให้ท่านน้าฉือตระหนกตกใจเช่นนี้นี่แหละ

ดูว่าต่อไปเขายังจะกล้ากลั่นแกล้งนางอีกหรือไม่!

โจวเสาจิ่นเข้าไปในห้องอย่างสาสมใจ เดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กำลังแต่งตัวอยู่พลางเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า” แล้วกล่าวว่า “ท่านน้าฉือมาแล้วเจ้าค่ะ ข้านำกล่องขนมไปรับรองเขาแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “เจ้ามักเอาใส่ใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่เสมอ มีเจ้าปรนนิบัติท่านน้าฉือของเจ้า ข้าก็รู้สึกวางใจ” จากนั้นสายตาก็ร่วงลงบนตัวของนาง เอ่ยถามว่า “ไฉนวันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามถึงเพียงนี้ จะลงจากเรือไปเดินเที่ยวซื้อของหรือ”

“ไม่ไปเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรู้สึกเริงร่าจนเก็บอาการลิงโลดที่อยู่ในใจเอาไว้ไม่อยู่ หน้าตายิ้มแย้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้งมน นางเดินไปข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วรับหวีจากมือเจินจูมาช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวหวีผม พลางกล่าว “เมื่อวานข้าถามท่านน้าฉือแล้ว ท่านน้าฉือบอกว่าต้องรีบรุดไปเจิ้นเจียงเพื่อเยี่ยมพบใต้เท้าเสิ่นผู้มีประสบการณ์ด้านการขุดลอกแม่น้ำท่านหนึ่ง จึงไม่หยุดจอดที่ท่าเรือฉางโจวแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางไปเจิ้นเจียงเลยเจ้าค่ะ” แล้วกล่าวอีกว่า “หลังจากที่ท่านมอบหวีสับให้ข้าเมื่อวานแล้ว ข้าจึงมีหวีสับเพิ่มเข้ามา ข้าจึงเลือกเล่มที่ข้าชื่นชอบที่สุดมาประดับศีรษะเล่มหนึ่ง ตั้งใจมาให้ท่านเชยชมโดยเฉพาะเลยเจ้าค่ะ” ขณะที่นางกล่าว ก็เอียงศีรษะลงเล็กน้อย ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเห็นหวีสับที่ประดับอยู่บนศีรษะของนางได้อย่างชัดเจน “ดูดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ดูดีมากๆ!” คนมีอายุมักจะชื่นชอบสีสันสดใส ยิ่งกว่านั้นโจวเสาจิ่นที่แต่งตัวเช่นนี้ ก็ดูงามพริ้มเพรายิ่งกว่าบุปผาชาติใดๆ สำหรับฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นั่งอยู่บนเรือมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงดูงดงามมากเป็นพิเศษ “เจ้าควรแต่งตัวให้สวยงามเช่นนี้บ้างถึงจะถูก พี่สาวเจิงของเจ้าแต่งหน้าแต่งตัวได้เก่งยิ่งนัก แม้สีเรียบๆ นางก็สวมใส่ออกมาให้ดูฉูดฉาดขึ้นได้หลายส่วน ส่วนสีฉูดฉาดนางก็สวมใส่ออกมาให้ดูเรียบร้อยขึ้นได้หลายส่วนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลายผ้าที่มาจากซูโจวหรือลายผ้าที่มาจากหยางโจว ข้ามองดูแล้วรู้สึกว่าแทบไม่ต่างกัน แต่นางกลับมองเพียงแวบเดียวก็แยกที่มาของผ้าได้ ทั้งยังเล่าถึงที่มาและวิธีการผลิตได้อีกด้วย ข้าก็ไม่รู้ว่านางใช้เวลาและกำลังไปศึกษาเรื่องพวกนี้มากถึงเพียงนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม เจ้าอย่าได้กล่าวว่า คนงามเพราะดวงหน้าสามส่วนและการแต่งตัวเจ็ดส่วนเลย ในบรรดาพี่น้องทั้งหลายนางมีหน้าตางดงามที่สุด ไม่ว่าเวลาใดก็ไม่เกิดเรื่องผิดพลาด ไม่รู้ว่าหญิงสาวในเมืองจินหลิงมากมายเพียงใดที่ฝึกแต่งตัวเลียนแบบนาง แม้แต่ทุกวันนี้ มีหญิงสาวในปีนั้นที่กลับมาบ้านเดิมแล้วพบข้า ยังถามถึงข่าวคราวของพี่สาวเจิงของเจ้าอยู่เลย น่าเสียดายที่เจ้ายังเด็กอยู่ ตอนที่นางออกเรือนไปเจ้ายังจำความอะไรไม่ได้ ไม่เช่นนั้นขอให้นางช่วยสอนเจ้าสักหน่อย รับรองว่าเจ้าจะต้องดูงดงามยิ่งกว่าตอนนี้เป็นแน่”

เช่นนี้ก็ดียิ่งแล้ว

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

ชาติก่อน ชื่อเสียงของฮูหยินเฉิงจากซอยจิ่วหรูดังกระฉ่อนประดุจฟ้าร้องก้องหู แม้แต่นางที่หลบอยู่ที่บ้านสวนต้าซิ่งก็ยังได้ยิน

หากจะแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง เฉิงเจิงคงจะเป็นสตรีที่ประสบความสำเร็จและทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาได้ยิ่งกว่าพี่สาวของนางเสียอีก

นอกจากนางจะเป็นผู้นำกระแสในด้านต่างๆ ของจิงเฉิงแล้ว ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของบรรดาชนชั้นผู้ใหญ่ในวังอีกด้วย กู้ซวี่สามีของนางเป็นลูกหลานของตระกูลกู้ที่ไห่หนิง หลังจากที่ตระกูลเฉิงเกิดเรื่องขึ้น พี่สาวยังเคยทอดถอนใจกล่าวว่าเฉิงเจิงถึงจะสมเป็นหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ที่แท้จริง ผู้ที่แต่งงานด้วยก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเก่าแก่อย่างแท้จริงเช่นกัน กล่าวคือ ไม่เพียงเฉิงเจิงจะไม่รู้สึกต่ำต้อยกว่าผู้อื่นหรือวางตัวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตระกูลกู้เองก็ไม่ได้ทำตัวเย็นชาเมินเฉยเฉิงเจิงหรือบุตรชายสองคนที่นางให้กำเนิดเหตุเพราะตระกูลเฉิงถูกโค่นล้ม เฉิงเจิงถึงกับคิดจะขอร้องให้คนชั้นสูงในวังช่วยโน้มน้าวการตัดสินใจขององค์ฮ่องเต้ เพียงแต่ตระกูลเฉิงพลาดพลั้งเร็วเกินไป ทางราชวังเพิ่งจะเห็นชอบให้เฉิงเจิงเข้าวัง แต่ประกาศที่ตระกูลเฉิงถูกตัดสินประหารชีวิตกลับแพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ในจิงเฉิงเสียแล้ว

ดังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมา ตอนที่นางยังจำความอะไรไม่ได้เฉิงเจิงก็แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยพบเฉิงเจิงอีกเลย แต่ตอนที่เฉิงเจิงไปต่อสู้เรียกร้องเพื่อตระกูลเฉิงอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนั้น ความประทับใจที่นางมีต่อเฉิงเจิงจึงฝังแน่นขึ้นมาในทันที แม้ว่านางจะจำลักษณะหน้าตาของเฉิงเจิงไม่ได้แล้ว แต่นางกลับจำดวงตาเปล่งปลั่งดุจดั่งอัญมณีคู่นั้นได้ดี ขณะที่กวาดสายตามองก็เปล่งประกายแวววาว

นางไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดที่มีดวงตาเช่นนี้มาก่อน

มั่นใจและสง่าผ่าเผย ราวกับลำแสงของดวงตะวัน

อย่างไรก็ตาม หากว่านางจำไม่ผิดล่ะก็ คลับคล้ายคลับคลาว่าเฉิงเจิงอายุมากกว่าท่านน้าฉือสามปี ส่วนกู้ซวี่สามีของเฉิงเจิงอายุมากกว่าท่านน้าฉือหกปี…

เป็นคนที่หลานสาวและหลานเขยมีอายุมากกว่าตนผู้หนึ่ง!

ที่สำคัญที่สุดคือ กู้ซวี่ยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นมาก

ชาติก่อน ตอนที่เขาเป็นมหาบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินก็เคยตีมือของหวงไท่ซุน[1] ขณะที่ไปสอนหนังสือที่สำนักราชครู สุดท้ายนอกจากจะไม่เป็นไรแล้ว ยังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูเล็กของสำนักราชครูอีกด้วย ภายหลังที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขายังได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นราชครูในสำนักราชครูอีกด้วย

แต่จิ้นซื่อล้วนให้ความสำคัญกับลำดับความอาวุโส ไม่รู้ว่ากู้ซวี่สอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อเมื่อใด หากว่าสอบผ่านก่อนท่านน้าฉือล่ะก็ เช่นนั้นก็น่าสนุกเสียแล้ว!

โจวเสาจิ่นนึกถึงฉากนั้นแล้วก็รู้สึกน่าสนใจ

นางช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวหวีผมเสร็จแล้ว ก็คืนหวีให้เจินจู เจินจูเริ่มช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวมวยผม สาวรับใช้สองสามคนกำลังหารือว่าจะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดอะไรอยู่นานพักหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายยังนั่งรอนางอยู่ข้างนอก พวกนางคงยังจะพูดคุยกันอีกนานเป็นแน่

ดังนั้นตอนที่โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมาจากห้อง เฉิงฉือได้คืนสีหน้ากลับไปเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว

เขายิ้มพลางทำความเคารพมารดา ปรายตามองโจวเสาจิ่นทีหนึ่ง แล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เรือจะหยุดจอดที่ฉางโจวหนึ่งวัน ท่านอยากจะไปที่ไหนหรือไม่ขอรับ ข้าจะให้ฉินจื่อผิงติดตามท่านไป”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอายุมากแล้ว แม้เรือสำเภาจะแล่นได้นิ่งมาก แต่สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนบกมานานก็ยังรู้สึกกระเทือนได้อย่างรุนแรง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ปรารถนาจะหยุดที่ฉางโจววันหนึ่งเช่นกัน แต่พอได้ยินถ้อยคำของโจวเสาจิ่นเมื่อวานแล้ว นางก็คิดว่าด้วยเห็นแก่อารมณ์และร่างกายของนางแล้วบุตรชายจึงตัดสินใจหยุดจอดที่ฉางโจววันหนึ่ง บวกกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ไม่ได้ขอร้องเอาไว้เป็นพิเศษอีก นางจึงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าคิดว่าพวกเราไม่ต้องหยุดจอดที่ฉางโจวเพิ่มหรอก จะว่าไปแล้วฉางโจวก็เป็นเพียงเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ค่อนข้างเลื่องชื่อก็มีเพียงหวีสับ ตอนที่พวกเราอยู่ที่หังโจวก็ซื้อมาหลายเล่มแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้ออีก แทนที่จะหยุดจอดที่ฉางโจววันหนึ่ง ไม่สู้พำนักอยู่ที่เจิ้นเจียงเพิ่มสักสองสามวันยังจะดีเสียกว่า ฮูหยินเกาที่เจิ้งเจียงกับข้าพูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก ส่วนฮูหยินเฉินก็เป็นคนรุ่นลูกหลานของข้าอีกเช่นกัน คราวก่อนยามที่ข้าเดินทางผ่านเจิ้นเจียงพวกนางสองคนปฏิบัติต่อข้าด้วยอัธยาศัยดีนอบน้อมยิ่ง ขากลับคราวนี้อย่างไรก็ต้องอยู่กับพวกนางสักสองสามวันให้ได้ พวกเราออกเดินทางให้เร็วขึ้นสักหน่อยก็แล้วกัน!”

นี่ย่อมต้องเป็นความคิดของเด็กน้อยผู้นั้นอีกแน่นอน

มารดาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง เหตุใดถึงฟังคำของนางได้นะ

เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นยืนข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างนอบน้อม ก้มหน้าหลุบตาลง ไม่รู้ว่าเฉลียวฉลาดรู้ความและน่ารักงดงามมากเพียงใด

เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปาก กระหวัดนึกถึงเมื่อครู่ที่นางโอ้อวดต่อหน้าเขา…เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ร้านสาขาใหญ่ของฉางโจวมักจะผลิตหวีสับที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษเหล่านั้น ซึ่งจะไม่วางขายที่สาขาย่อย เมื่อคืนข้าคิดไปคิดมาแล้วก็ตัดสินใจว่าจะหยุดจอดที่เมืองฉางโจวเพิ่มอีกหนึ่งวัน ท่านแม่ ท่านไม่อยากไปเดินเที่ยวจริงๆ หรือขอรับ หวีสับของเมืองฉางโจวสมคำร่ำลือยิ่ง ปกติแล้วหวีชั้นดีจริงๆ เหล่านั้นล้วนวางขายที่ร้านสาขาใหญ่หรือไม่ก็ทำเป็นของประดับล้ำค่าภายในร้านเท่านั้นขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ตัดสินใจไปแล้ว กล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นของประดับล้ำค่าภายในร้านผู้อื่น พวกเราก็อย่าไปแย่งของที่ผู้อื่นหวงแหนเลย เรื่องนี้ตกลงตามนี้ดีแล้ว พวกเราออกเดินทางไปเจิ้นเจียงให้เร็วขึ้นเถิด”

เฉิงฉือยิ้มพลางขานรับว่า “ขอรับ” แล้วเหลือบมองโจวเสาจิ่นอีกครั้ง

โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

ตั้งแต่เด็กนางชอบสะสมของกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างเช่นหวีสับ ปิ่นปักผมลูกปัด ขนนกกระเต็นจำพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของล่ำค่ามีชื่อเสียงหรือน่าสนใจก็ได้

หากรู้เช่นนี้แต่แรกนางจะไม่ไปทำตัวโอ้อวดต่อหน้าท่านน้าฉือเช่นนั้น

ท่านน้าฉือยังบอกว่าตัดสินใจเมื่อคืนนี้เอง…

นางเข้าใจท่านน้าฉือผิดไปอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ตอนที่นางออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรือก็แล่นออกจากท่าแล้ว

โจวเสาจิ่นวิ่งไปถามจี๋อิ๋ง “เจ้ารู้เรื่องที่ว่าเดิมทีท่านน้าฉืออยากจะหยุดจอดที่ฉางโจววันหนึ่งหรือไม่”

“รู้!” จี๋อิ๋งกำลังเล่นกับของกระจุ๋มกระจิ๋มที่นางซื้อมาจากเมืองหังโจวพวกนั้นอยู่ พอได้ยินแล้วก็กระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “เมื่อคืนนายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งแอบไปรับประทานมัดตับต้มลี่หยางที่ท่าเรือ ข้าได้ยินฉินจื่อผิงกล่าวว่า ภัตตาคารร้านนั้นทำมัดตับต้มลี่หยางได้มีรสชาติดั้งเดิมมาก อร่อยเป็นอย่างยิ่ง ร้านของพวกเขายังมีสุรารสเข้มข้นชนิดหนึ่ง เป็นสุราที่ร้านพวกเขาหมักเอง รสชาติดียิ่งเช่นกัน วันนี้ข้ายังวางแผนว่าจะลากเจ้าไปด้วยกันอย่างเงียบๆ แต่ใครจะรู้ว่านายท่านสี่กลับเปลี่ยนแผนอีกแล้ว ข้าไม่ได้ว่าท่านน้าฉือของเจ้านะ แต่ไฉนเขาถึงเหมือนสตรีผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรพอบอกเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย…”

โจวเสาจิ่นแทบอยากจะกระทืบเท้า

เหตุใดตนถึงได้โง่งมถึงเพียงนี้นะ

ต่อให้เอือมระอาท่านน้าฉือเพียงใด ก็รออีกสักสองวันไม่ได้หรืออย่างไร

อย่างไรเสียท่านน้าฉือก็อยู่บนเรือวิ่งหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว

นางจะรีบเอาคืนเขาเช่นนี้ไปเพื่ออันใด

จี๋อิ๋งสะกิดนาง เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ข้าว่าท่านน้าฉือของเจ้า เจ้าก็เลยไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ไฉนเจ้าถึงได้ดูเหมือนมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็ง ดูห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาอย่างนั้นไปได้”

“ยิ่งกว่าเป็นมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็งเสียอีก!” โจวเสาจิ่นบ่นพึมพำ “ข้าเป็นมะเขือยาวที่ถูกลูกเห็บซัดกระหน่ำต่างหาก”

จี๋อิ๋งอุทานว่า “ไอ้โหยว” แล้วเย้าเหย่นางว่า “เจ้าเคยเห็นลูกเห็บด้วย! ดูไม่ออกเลยจริงๆ ข้ายังคิดว่าหากเจ้าเห็นหิมะที่ตกรดบนหัวรองเท้าแล้วคงจะร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นยินดีเสียอีก!”

เหตุใดจี๋อิ๋งกับท่านน้าฉือถึงได้เหมือนกันยิ่งนัก ล้วนชอบหยอกล้อนางอยู่เรื่อย!

เห็นๆ อยู่ว่าที่ผ่านมาตนล้วนอยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบมาโดยตลอด!

โจวเสาจิ่นกลับห้องโดยสารไปอย่างละอาย นอนบนเตียงพลางถอนหายใจ

ฝานหลิวซื่อเอ่ยถามนางอย่างเป็นกังวลว่า “คุณหนูรอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”

นางปัดมือ บอกเป็นนัยให้ฝานหลิวซื่อไม่ต้องสนใจ

เรือแล่นออกจากท่าเรือไปแล้ว ยังจะแล่นย้อนกลับไปได้หรือ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้หรือ

ไม่รู้ว่าหากนางไปกล่าวขอโทษท่านน้าฉือตอนนี้ ท่านน้าฉือจะยอมยกโทษให้นางหรือไม่

………………………………………………………………….

[1] หวงไท่ซุน คือ พระราชนัดดาผู้เป็นรัชทายาท

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท