ด่านที่สิบ สนามประลองของขั้นที่หนึ่ง ผู้เข้าแข่งขันที่ถูกแบ่งไว้ในด่านที่สองและด่านที่สามจะไม่มีทางเข้าไปที่นั่นเด็ดขาด !
และแล้ว ฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า ผู้เข้าแข่งขันขั้นที่สองและสามไม่สามารถเข้าชิงในด่านที่สิบได้ และนี่เป็นสาเหตุที่การฝ่าด่านก่อนหน้านี้เกิดการแย่งชิงในด่านที่ต่างกันได้
กฎระเบียบแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะแบ่งคนออกเป็นสามขั้น แต่เป็นเพราะผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มมีอายุที่ต่างกัน ทำให้ความสามารถต่างกัน โดยปกติจะต่างกันสามปี จะเกิดความแตกต่างที่ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ ผ่านการประลองฟ้าดินหลายรอบแล้ว จึงเกิดการแบ่งขั้นแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นกฎที่ไม่แน่ชัดสำหรับฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินด้วย
หลายปีผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครท้าทายข้ามขั้น แต่มักมีอัจฉริยะมากมายอยู่ทุกรุ่น
แต่ว่ามักได้เห็นคนท้าทายข้ามขั้นเดียว แต่ยังไม่เคยเห็นผู้เข้าแข่งขันท้าทายข้ามสองขั้น !!!
ความโดดเด่นของชู่มู่ในขั้นสอง ทำให้ผู้คนมากมายจัดให้ชู่มู่อยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งขั้นสองแล้ว ชู่มู่เองได้เข้าไปในแท่นบูชาอสูรเลือดอย่างทรงพลัง ไม่แปลกใจที่เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าจะเป็นของเขา !
จากขั้นสามไปสู่ขั้นสอง แล้วคว้าเกียรติสุดท้ายไว้ได้ นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ที่ทำให้คนทั้งหมดสะเทือนคือ เจ้านี่ยังไม่พอใจ จะมุ่งหน้าไปสู่ด่านที่สอบของขั้นที่หนึ่ง !!!
ด่านที่เก้ากับด่านที่สิบของขั้นที่หนึ่งจัดต่อกัน ตามที่ดวงวิญญาณส่งสารมาให้ ในด่านที่เก้าของขั้นที่หนึ่ง มีคนเกินกว่าครึ่งถูกคัดออกแล้ว ตอนนี้ในด่านที่หนึ่งเหลือผู้แข็งแกร่งสามสิบคนกำลังเข้าชิงเกียรติสุดท้ายในด่านที่สิบ !
และสามสิบคนนี้ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นวัยหนุ่มของทั้งการแข่งขันฟ้าดินนี้ ซือเทียนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองแทบไม่มีสิทธิไปเทียบกับสามสิบคนนี้
อีกทั้ง ในบรรดาสามสิบคนนี้มีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดรุ่นวัยหนุ่มไม่น้อย นอกจากจะเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสิบของตำหนักวิญญาณเจ้าโลก มิฉะนั้น แทบไม่มีใครกล้าสู้กับพวกเขา !
ดังนั้น การที่ชู่มู่เข้าสู่ด่านที่สิบแบบนี้ จึงก่อให้เกิดความสะเทือนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !
“ถ้าบอกว่า มีคนคว้าเกียรติสุดท้ายในด่านที่สองกับเกียรติสุดท้ายในด่านที่หนึ่ง ถ้าอย่างนั้นถือว่าทำลายสถิติรับร้อยปีนี้แล้ว ! หรือว่าคนนี้จะเป็นชู่เฉิง !!!” จ้าวเฉิงเริ่มพึมพำ
“ถ้าไม่ระวัง…อาจ…อาจเป็นไปได้จริง ถ้าบอกว่า มีดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นอยู่ละก็…” ซ่างเหิงบอก
“ดวงวิญญาณระดับราชันทรยศได้ง่ายที่สุดไม่ใช่เหรอ ชู่มู่ไม่มีทางอยู่ในระดับราชันวิญญาณได้ แล้วเขาควบคุมดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นได้อย่างไร ดังนั้น ข้าคิดว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นไม่น่าจะเป็นของเขา ไม่เห็นเหรอว่าผู้คุมดวงวิญญาณรับสารบอกว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นได้หายไปแล้ว” คนของตำหนักวิญญาณเริ่มพูดคุยกัน
“ใช่ ใช่ ชู่เฉิงจะมีดวงวิญญาณระดับราชันได้อย่างไร ถ้ามีจริงละก็ เขาคงเป็นคนแข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นวัยหนุ่มกับรุ่นผู้ใหญ่แล้ว ตำหนักวิญญาณของพวกเราคงมีแค่เจ้าตำหนักที่จัดการเขาได้”
เสียงพูดคุยของเหล่าสมาชิกวัยหนุ่มเข้าหูของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อทันที นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองก็ส่งเสียงหึขึ้น นักวิญญาณเฒ่าเต๋อที่ไม่มีท่าทีของผู้อาวุโสยืนอยู่ท่ามกลางวัยหนุ่มเหล่านี้ พูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กอย่างพวกเจ้าจะไปรู้อะไร ความสามารถของดวงวิญญาณตัวนั้นยังถึงระดับราชันแน่นอน แต่ระดับตระกูลอยู่แค่จักรพรรดิเท่านั้น !”
ถ้าอย่างนั้น ชู่เฉิงได้เพิ่มความแข็งแกร่งจนเป็นดวงวิญญาณระดับราชันตัวหนึ่ง” จ้าวเฉิงถามขึ้นทันที
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อส่ายหัวพูดขึ้นว่า “จะเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับราชันตัวหนึ่ง เป็นเรื่องที่พูดง่ายยิ่ง แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดดวงวิญญาณระดับราชันที่ชู่เฉิงมีตัวนั้น เป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่สมบูรณ์แบบที่สุดของระดับจักรพรรดิ”
“ดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบที่สุดงั้นหรือ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดงั้นหรือ” เหล่าผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณมึนงงอย่างมาก ราวกับไม่เคยได้ยินวิธีพูดแบบนี้
“คนอย่างพวกเจ้า ปกติไม่เรียนให้ดี ตอนนี้กลับไม่รู้สักอย่าง !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเบิกตากว้างแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้ นักวิญญาณเฒ่าเต๋อได้บอกความพิเศษของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดและเรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิสมบูรณ์แบบที่สุดนี้ให้กับเจ้าพวกเด็กตำหนักวิญญาณนี้ฟัง
หลังจากฟังจบ ผู้คนได้เข้าใจทันที ต่างเผยสีหน้าอิจฉาชู่มู่ออกมา !
เป็นถึงเจ้าวิญญาณ กลับมีดวงวิญญาณระดับราชันได้ นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นยากยิ่ง สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว สามารถทำลายระดับจักรพรรดิไปถึงระดับราชันนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว !
เห็นเจ้าพวกเด็กเหล่านี้อิจฉาชู่มู่จนน้ำลายไหลแล้ว นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองได้หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ตำหนักวิญญาณของพวกเรามีวัยหนุ่มผิดธรรมชาติอีกคนแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ ต่อจากนี้วังมารนิรยจะถูกพวกเราควบคุมเอาไว้แล้ว เจ้าเด็กชู่เฉิงนี้เก่งมากจริง ๆ สมแล้วที่เป็นนายท่านตำหนักวิญญาณของพวกเรา…”
“นายท่านตำหนักวิญญาณของพวกเรา”
“นายท่านอะไร”
“นักวิญญาณเฒ่าเต๋อ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าชู่เฉิงคือใคร”
เหล่าวัยหนุ่มพูดมากทันที แม้แต่ถิงหลัน หลีจ่าน ซ่างเหิง จ้าวเฉิงต่างนิ่งอึ้ง เพราะพวกเขาได้ยินชัดเจนว่า นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอกว่า ชู่เฉิงคือนายท่านตำหนักวิญญาณ
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพบว่า ตัวเองอวดดีจนลืมเรื่องตัวตนของชู่มู่ ทำตัวไม่ถูกทันที
“นายท่านไม่นายท่านอะไร ได้ยินอะไรกัน คนแก่อย่างข้าพูดตอนไหน !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อใช้วิธีเหมือนเด็ก หลับต่อว่าเด็กพวกนี้เสียงดัง
“ไปฝึกให้ดี ยังมีโอกาสเข้าร่วมการประลองฟ้าดินก็เตรียมตัวไว้ พวกที่ไม่มีโอกาสแล้ว ตั้งสติหน่อย ต้องรู้ไว้ว่าก่อนอายุสามสิบ พวกเจ้าต้องเพิ่มความสามารถของตัวเองให้ถึงระดับหนึ่ง เจ้าเด็กอย่างพวกเจ้าจะคงที่แล้ว รู้ไหม !”เพื่อปกปิดที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไป นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเริ่มสั่งสอนเจ้าเด็กพวกนี้เสียงดัง
เจ้าเด็กพวกนี้นับว่าเป็นชั้นยอดของตำหนักวิญญาณ มีระดับเจ็ดขึ้นไป แต่เมื่อเทียบกับระดับผู้อาวุโสอย่างนักวิญญาณเฒ่าเต๋อแล้ว เป็นแค่เจ้าเด็กเท่านั้น คำสั่งสอนของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ พวกเขาทำได้แค่พยักหน้าอย่างเดียว
“พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากชู่เฉิง เจ้านี่ฝึกอย่างไม่คิดชีวิต คนแก่ข้าไม่เคยเห็นเขาว่างอย่างพวกเจ้าที่เอาแต่เที่ยวเล่นวัน ๆ แย่งชิงดีเด่น วัน ๆ เอาแต่คิดเรื่องความรัก…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดไม่หยุด
“ครับ ครับ ครับ ชู่เฉิงเป็นตัวอย่างของพวกเรา” สมาชิกตำหนักวิญญาณไม่น้อยได้เห็นการต่อสู้ของชู่มู่กับโอรสน้อยวังมารนิรยกับตาแล้ว ต่อให้ไม่เห็นกับตา ก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ดังนั้น สำหรับการชิงเกียรติของชู่เฉิงนี้ พวกเขานับถืออย่างมาก
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเห็นเจ้าพวกเด็กนี้ไม่สืบเรื่องที่ตัวเองหลุดปากเมื่อกี้แล้ว ถึงผ่อนคลายลงบ้าง
“เฒ่าเต๋อ เมื่อกี้ท่านบอกว่า ถ้าไม่เพิ่มความสามารถให้สูงสุดก่อนอายุสามสิบปี จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นอีก นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ” ถิงหลันถามขึ้น
นักวิญญาณทำท่าทีพร้อมพูด หันหน้าไปทางถิงหลัน เจ้าคนแก่นี้กลับฉีกยิ้มเมตตาออกมา ต่างจากคนที่ต่อว่าเสียงดังเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง “เป็นเช่นนั้นจริง นั่นเป็นความจริงที่โหดร้ายอย่างมาก แต่ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนมักเป็นแบบนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ตำหนักวิญญาณของพวกเราใส่ใจประสบการณ์ฝึกของวัยหนุ่มอย่างมาก”
ถิงหลันพยักหน้าเบา ๆ ไม่ถามอีก เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
…
เมืองอมตะ
ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวได้เดินทางไปในส่วนในของเมืองอมตะเป็นเวลาสามวันแล้ว พูดได้ว่า เข้าใกล้พื้นที่ด่านที่สิบอย่างมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานอาจได้เจอกับผู้แข้งแกร่งขั้นที่หนึ่ง
“ชู่มู่ ตรงนี้ใกล้กับตำแหน่งดาวที่สองที่ผนึกดวงวิญญาณท่านพ่อของเจ้าอย่างมากแล้ว แค่ใช้เวลาอีกสองชั่วโมง จะถึงเขตพื้นที่ที่ดวงวิญญาณของท่านพ่อเจ้าถูกผนึกไว้ แบบนี้จะปล่อยมันออกมาได้” องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังแผนที่ของเมืองอมตะ พูดกับชู่มู่เสียงเบา
เย้หวันเชิงได้ทำสัญลักษณ์จุดดาวที่สองไว้บนแผนที่แล้ว ตอนนี้เกียรติสุดท้ายขั้นสองอยู่ในมือแล้ว ต่อไปน่าจะต้องจัดการดวงวิญญาณท่านพ่อของตัวเอง โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ต้องใช้เวลามาก มิฉะนั้น ชู่มู่ยังคงให้ความสำคัญกับเย้ชิงจือมากกว่า หลังจากนี้ค่อยคิดวิธีช่วยดวงวิญญาณของชู่เทียนหมัง
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งดาวที่สองของดวงวิญญาณชู่เทียนหมัง
ความยากของดาวที่สองจะยากกว่าดาวที่หนึ่ง ปีศาจขาวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน ชู่มู่ต้องให้มั่วเย้ลงมือ
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหลีได้บอกปัญหาเรื่องที่แรงกายของดวงวิญญาณระดับราชันฟื้นกลับได้ไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าชู่มู่ไม่ใส่ใจเลย แต่มั่วเย้ที่อยู่ในภาวะอาวรณ์แบบนี้ ยังทำให้แรงกายฟื้นกลับมาได้บ้าง ยิ่งกว่านั้น ดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดในจุดดาวที่สองเป็นแค่จักรพรรดิชั้นยอด มั่วเย้สามารถเอาชนะมันได้โดยไม่ใช้ทักษะใด ๆ แบบนี้จะประหยัดแรงกายได้มากขึ้น
“องค์หญิง ขั้นที่หนึ่งมีผู้แข็งแกร่งอะไรบ้าง เจ้ารู้ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
ในเมื่อมุ่งหน้าไปด่านที่สิบ จำต้องรู้เรื่องของด่านที่สิบบ้าง อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ก็รู้ดี ด่านที่หนึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใช้ดวงวิญญาณระดับราชันตัวเดียวก็กวาดล้างได้
“อิม” องค์หญิงจิ่งโหลวได้เล่าเรื่องคร่าว ๆ ของด่านที่หนึ่งให้ชู่มู่ฟัง
ความสามารถของฉิงเย้นับว่าเป็นห้าอันดับแรกของด่านที่หนึ่ง ความสามารถของห้าอันดับแรกในด่านที่หนึ่งอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว
ถ้าไม่จัดห้าคนนี้ตามความสามารถ แบ่งเป็นลี่ฮวังองค์กรวิญญาณ พี่ชายแม่เดียวกันต่างพ่อขององค์หญิงจิ่งโหลวสุ่ยเหอฟง บุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสตำหนักวิญญาณฟงหลั่ว และซูซาที่มาจากโลกบางแห่งในตะวันออก
ชู่มู่เคยเห็นลี่ฮวังมาก่อน ในตอนที่ชู่มู่มุ่งหน้าไปยังเมืองพันวายุ ได้เจอกับวัยหนุ่มถือตัวที่ขี่มังกรจำศีลมรกตเยี่ยงทาสคนนั้น
ทุกครั้งที่นึกถึงสายตาเจ็บปวดไร้ความรู้สึกของมังกรจำศีลมรกตตัวนั้น ชู่มู่รู้สึกแย่ผิดปกติ ต่อให้มังกรจำศีลมรกตตัวนั้นดุร้ายอย่างมาก ชู่มู่กลับรู้สึกได้ว่า วิญญาณของมังกรจำศีลมรกตตัวนี้กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากตัวเอง…
พี่ชายขององค์หญิงจิ่งโหลวสุ่ยเหอฟง เนื่องจากมีความสัมพันธ์เป็นแม่เดียวต่างพ่อ มักไม่ถูกกัน แต่ความสามารถของคนนี้แข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยกว่าฉิงเย้ องค์หญิงจิ่งโหลวบอกให้ชู่มู่ระวังตัวให้มาก
ผู้อาวุโสถิงตำหนักวิญญาณ ต่อให้เป็นหนึ่งในสี่ที่นั่ง บุตรบุญธรรมฟงหลั่วมีชื่อเสียงอย่างมาก ความสามารถแข็งแกร่งมากเช่นกัน
ตัวตนของซูซาไม่แน่ชัด ไม่มีใครไปสืบ แค่รู้ว่าความสามารถของเขาน่าตกใจอย่างมาก เป็นม้ามืดแข็งแกร่งที่สุดของขั้นหนึ่ง !