Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 8

ตอนที่ 8

(*สำหรับเหตุผลที่ตัวละครอาจยังไม่อยู่ในโอราริโอ้ในตอนนี้ก็เพราะว่าเธออยู่ในช่วงเวลาสามปีก่อนที่เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักจะเริ่มต้นขึ้นยังไงล่ะ!*)

วาห์นยังคงทบทวนคำพูดซ้ำไปซ้ำมาในใจเพราะยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พี่สาวบอก

“พี่สาว ทำไมถึงเป็น 3 ปีก่อนหน้าล่ะ? ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นความผิดของผมที่ไม่ได้เจาะจงเวลา แต่ตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี? ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้นอกจากสิ่งที่ผมอ่านเจอในมังงะเลย!” เขาโวยวาย

(*ใจเย็นก่อนสิ วาห์น ‘เดอะพาธ’ คำนวณแล้วว่าความแข็งแกร่งของเธอในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะอยู่ร่วมกับผู้คนบนโลกใบนี้ได้ ต่อให้เป็นแค่โจรทั่วไปก็สามารถเอาเปรียบเธอหรือแม้แต่ฆ่าเธอก็ยังได้ อย่างดีที่สุดเธอก็อาจจะต้องกลายเป็นลูกน้องหรือผู้ติดตามของนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงไม่ดี หากไม่เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าร่วมและใช้ชีวิตภายในแฟมิเลีย ตอนนี้เธอมีเวลาฝึกฝนสามปีก่อนถึงเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักเพื่อให้เธอมีตัวเลือกและอำนาจในการตัดสินใจที่เยอะกว่าเดิม

วาห์นหายใจลึกๆ หลายครั้งพร้อมกับครุ่นคิดเกี่ยวกับสิงที่พี่สาวบอก เขาเข้าใจได้จากการมองดูค่าสถานะของตัวเองยังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของ ‘เรคคอร์ด’ นี้ ตอนนี้เขายังทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้มากเพราะเขายังไม่เคยฝึกฝนหรือได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระในชีวิตที่แล้วมาก่อนเลย และเนื่องจากเขาไม่ได้ขอพรในเรื่องของพละกำลังต่างๆ จากเทพีคริสช่า เขาจึงต้องพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวของตัวเอง

หลังจากที่คิดเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกซาบซึ้งใน ‘เดอะพาธ’ เพราะดูเหมือนว่ามันจะทำการเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดให้แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ดีนัก นอกจากนี้มันยังสร้างสหายที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้เมื่อยามที่เขารู้สึกโดดเดี่ยว

“เข้าใจแล้วครับพี่สาว ‘เดอะพาธ’ ทำถูกแล้วที่มอบโอกาสในการเติบโตนี้ให้ผม ต่อให้เป็นผมเองก็คงไม่อยากรับตัวถ่วงเข้าแฟมิเลียหรืออย่างน้อยก็ต้องหลังจากที่ผมแข็งแกร่งกว่านี้…”

เขาเริ่มมองไปรอบๆ ด้านอีกครั้ง มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นต้นไม้จริงๆ นับประสาอะไรกับการที่ต้องมาอยู่ในป่า หลังจากชั่งน้ำหนักของตัวเลือกที่มีแล้ว เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าทางไหนถึงจะดีที่สุด

“พี่สาวคิดว่าผมควรจะไปที่ไหนดีล่ะ ผมไม่มีแผนที่ แถมยังไม่เคยอยู่ในป่ามาก่อนด้วย ผมไม่รู้ว่าพืชชนิดไหนกินได้ แม้แต่สัตว์ป่าในโลกนี้ก็ไม่รู้จักสักชนิด”

(*‘เดอะพาธ’ มีระบบสร้างแผนที่พื้นฐานรวมไปถึงระบบเข็มทิศ แม้ว่ามันจะสร้างแผนที่จากสิ่งที่อยู่ในระยะสายตาของเธอเท่านั้น แต่มันก็ยังช่วยรวบรวม วิเคราะห์ และแยกแยะแผนที่ภายในระบบของ ‘เดอะพาธ’ ให้ด้วย ตอนนี้ฉันขอแนะนำให้เธอไปทางเหนือ อย่าลืมนะว่าเมื่อเธอเข้าสู่โลกนี้เป็นครั้งแรก ‘เดอะพาธ’ ก็ได้สร้างแผนที่ภายในระยะ 50 กิโลเมตรรอบตัวเธอไว้ให้แล้ว (TL: ได้บันทึกแผนที่ตอนตกลงมาจากฟ้า)

ที่ประมาณ 2 กิโลเมตรทางเหนือ เธอน่าจะได้พบกับแนวหินและแหล่งน้ำซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะพบกับถ้ำ มันจะเป็นสถานที่ที่มีประโยชน์กับเธอในตอนนี้เป็นอย่างมาก เธอสามารถเปิดแผนที่ได้โดยการใช้คำสั่ง ‘เปิด/ปิด แผนที่’ หรือ ‘เปิด/ปิด แผนที่ย่อ’*)

หลังจากฟังคำอธิบาย วาห์นก็ลองใช้คำสั่งทั้งสอง เขาเห็นว่า ‘เปิด/ปิด แผนที่’ จะแสดงพื้นที่รอบตัวเขาเป็นภาพขนาดใหญ่จากมุมสูง เขายังเห็นไกลไปถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ทางส่วนตะวันตกของเมืองโอราริโอ้ ทว่าไม่มีข้อมูลของสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพราะเขายังไม่ได้สำรวจด้านใน เมื่อมองไปที่ทางเหนือซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก เขาก็พบจุดที่เป็น ‘แนวหิน’ ตามที่พี่สาวบอกไว้ เมื่อมองพื้นที่รอบๆ ที่มีแต่ต้นไม้ขึ้นกันอย่างหนาแน่น เขาจึงเห็นด้วยกับตัวเลือกนี้ เขาปิดแผนที่ด้วยการใช้คำสั่งในใจ และจากลองใช้ ‘เปิดแผนที่ย่อ’ ภายในการมองเห็นของเขา เขาเห็นแผนที่โปร่งใสภายในวงกลมขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแผนที่ก่อนหน้านี้ แถมมันยังแสดงเส้นการมองเห็นของเขาเป็นรูปกรวยที่ขยายออกจากลูกศรที่้อยู่ตรงกลางแผนที่ (TL: เหมือนแผนที่ในเกมทั่วไป) เขาสังเกตเห็นว่า วัตถุที่เขามองจะถูกบันทึกลงบนแผนที่ย่อ ทำให้เขามองเห็นตำแหน่งของวัตถุชิ้นนั้นแม้จะไม่ได้มองมันอยู่ก็ตาม

“ระบบนี้ต่อไปต้องมีประโยชน์มากแน่นอน ตราบใดที่มีแผนที่นี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนเราก็สามารถกลับออกมาได้โดยไม่หลงทาง แต่แบบนี้พอเข้าดันเจี้ยนแล้วมันออกจะโกงไปหรือเปล่านะ?” แม้ว่าเขาจะไม่กังวลเรื่องการใช้ข้อได้เปรียบทั้งหมดที่ได้รับจาก ‘เดอะพาธ’ แต่วาห์นก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจของเขาเล็กน้อย

(*เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกวาห์น ดันเจี้ยนทั้งหลายในโลกใบนี้นั้นคล้ายกับสิ่งมีชีวิต พวกมันสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางหรือแก้ไขโครงสร้างของตัวเองได้เมื่อเวลาผ่านไป แม้เธอจะได้เปรียบอย่างมากที่สามารถสร้างแผนที่ทั่วไปได้ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ทำให้เธอเหนือกว่าคนอื่นไปมากหรอกนะ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถวาดแผนที่เมื่ออยู่ในดันเจี้ยนได้ เพียงแต่จะใช้เวลามากกว่าเมื่อเทียบกับระบบของ ‘เดอะพาธ’*)

วาห์นเริ่มเข้าใจในสิ่้งที่พี่สาวบอก นอกจากนี้เขายังเข้าใจว่าการมุ่งสมาธิไปยังแผนที่จะทำให้เขาละเลยสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวของไปแทน แม้ว่าเขาจะสามารถย้ายตัวแผนที่ไปยังจุดอื่นๆ ได้ แต่มันก็เป็นการรบกวนการมองเห็นอยู่ดี

เขาเริ่มเดินตรงไปทางทิศเหนือ ในระหว่างทาง เขามองไปรอบตัวอย่างตั้งใจเพื่อพยายามสร้างแผนที่จากทุกอย่างที่เขาเห็น เขาจะใช้คำสั่ง ‘เปิด/ปิดแผนที่’ เป็นระยะๆ เพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่ เขายังสามารถซูมไปยังพื้นที่ที่เขาเคยสำรวจไปแล้วได้ แถมยังมีรายละเอียดทั้งหมดที่เขาบันทึกมาอยู่ในแผนที่ย่อด้วย

แม้พื้นที่ของแนวหินจะห่างไปเพียงแค่ 2 กิโลเมตร แต่วาห์นกับพบว่าการเดินทางผ่านป่ารกทึบนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เสื้อผ้าของเขาเกี่ยวกับพืชและไม้พุ่มเตี้ยต่างๆ จนขาดและยังเป็นผื่นขึ้นรอบบริเวณที่เกิดรอยขีดข่วนไปทั่วทั้งแขนและใบหน้า ในที่สุดเขาก็มาถึงเป้าหมายโดยใช้เวลาไปสองชั่วโมง ขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มจะมืดลง บนแผนที่ย่อของเขานั้น เส้นที่แสดงถึงระยะการมองเห็นก็เริ่มหดแคบลง ทำให้การบันทึกแผนที่ในขณะเดินทางผ่านแนวหินกลายเป็นงานยากทันที

หลังจากใช้เวลาค้นหาอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดวาห์นก็ค้นพบถ้ำขนาดใกล้แอ่งน้ำขนาดเล็ก ขณะที่เขาเข้าใกล้เพื่อทำการสำรวจ เขาก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากพุ่มไม้ด้านซ้าย มันทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ ในขณะที่ความหนาวเหน็บเคลื่อนผ่านกระดูกสันหลัง

เมื่อหันไปทางต้นกำเนิดของเสียง เขาก็ตัวแข็งทื่อไปเลย ห่างจากเขาไป 10 เมตร ได้มีสิ่งมีชีวิตสีเขียวที่ดูผอมแห้งยืนอยู่ ดูเหมือนครึ่งส่วนบนของร่างกายมันถูกปกคลุมไว้ด้วยหนังสัตว์ ในขณะที่ส่วนล่างเป็นผ้าขนสัตว์หนาๆ มันความสูงประมาณ 1 เมตรและมีรูปร่างคล้ายเด็ก วาห์นเห็นดวงตาสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยความดุร้ายจนทำให้หัวใจของเขาสั่นเทิ้ม

‘มอนสเตอร์’ตัวนี้ ซึ่งวาห์นจำได้ว่ามันคือก็อบลิน ได้มองตรงเข้าไปในดวงตาทั้งสองของเขา มันดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่เขามี มันจึงค่อยๆ เริ่มเดินตรงไปหาวาห์น พร้อมกับโบกมีดสั้นที่ทำจากหินและประดับฟันปลาไปมา

10 เมตร… 9 เมตร… 8 เมตร… ขณะที่ก็อบลินยังคงเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ วาห์นก็ได้แต่ยืนอย่างแน่นิ่ง ไม่สามารถรวบรวมความคิดได้ว่าจะสู้หรือหนีดี เนื่องจากเขาใช้เวลาอยู่ในห้องทดลองมาทั้งชีวิต เขาจึงไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้มาก่อน แม้ว่าดวงตาของนักวิจัยบางคนจะมองเขาเหมือนกับที่เจ้าก็อบลินมอง แต่มันก็ยังไม่ดูโหดร้ายขนาดนี้ วาห์นรู้ว่าก็อบลินตัวนี้ต้องการฆ่าเขาอย่างแน่นอน

7 เมตร… 6 เมตร… หลังจากที่มันเดินมาครึ่งทาง ทันใดนั้นพี่สาวก็ได้ร้องออกมาภายในใจของเขา

(*วาห์น รีบสวมอาวุธเร็วเข้า! ก็อบลินตัวนั้นมีค่าความว่องไวที่มากกว่าเธอ ดังนั้นทางรอดเดียวก็คือต้องสู้! เธอต้องโจมตีมันก่อนที่จะสายเกินไป!*)

เสียงอุทานอย่างกระทันหันของพี่สาวทำให้วาห์นจึงได้สติกลับมา ในขณะที่เขากำลังสวมใส่อาวุธ ก็อบลินดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาและมันก็พุ่งเข้าใส่เขาทันทีพร้อมเล็งมีดเล็กๆ ไปที่ลำคอของเขา

วาห์นดึงคอกลับไปด้านหลังให้เร็วที่สุดที่ทำได้ พร้อมกับยกแขนขึ้นมาเพื่อป้องกันใบหน้า

ก็อบลินยังคงพุ่งเข้ามาพร้อมกับแทงมีดของมันไปที่แขนซ้ายของวาห์นและชักมันกลับ เลือดและเนื้อสดๆ ของเขาที่ถูกฉีกกระชากออกมาติดอยู่ที่ฟันปลาของมีด

เนื่องจากการปะทะอย่างฉับพลัน วาห์นจึงเสียการทรงตัวในขณะที่ความเจ็บปวดที่แขนซ้ายถูกส่งไปยังสมองเหมือนเป็นการเตือนภัยไปในตัว

(*วาห์น เธอจะต้องลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ถ้าเธอไม่สวมอาวุธ เธอจะไม่สามารถตอบโต้มันกลับไปได้!*)

วาห์นตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาในขณะที่ก็อบลินเริ่มเตรียมที่จะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง มันย่อตัวลงและเล็งไปที่ลำตัวของวาห์นก่อนจะกระโดดพุ่งออกไปพร้อมจิตสังหาร

เมื่อจับการเคลื่อนไหวของก็อบลินได้ จิตใจของวาห์นก็เริ่มสงบลง ดูเหมือนมันจะเป็นผลให้ความเจ็บปวดที่มาจากแขนซ้ายลดน้อยลง เขาพยายามสวมใส่อาวุธทั้งสองของเขาในใจ นั่นทำให้มีดปรากฏขึ้นในมือขวาของเขาขณะที่มือซ้ายยังคงว่างเปล่าอยู่

จากการใช้ความรู้สึกสงบที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ วาห์นจึงขยับตัวและพยายามใช้แขนซ้ายซึ่งตอนนี้ไม่สามารถใช้ได้เพื่อรับการโจมตีที่ใกล้เข้ามา

เป็นอีกครั้งที่มีดของเจ้าก็อบลินแทงเข้าไปและกระชากเนื้อสดๆ ของเขาอีกครั้ง มันยกเท้าขึ้นพยายามเตะที่ลำตัวของวาห์นเพื่อสร้างแรงในการดึงมีดของมันออกมาจากแขน

วาห์นฉวยโอกาสก่อนที่ก็อบลินจะตั้งตัวติด เขาทิ้งน้ำหนักทั้งหมดของตนเองไปยังสิ่งมีชีวิตตัวนี้

มันประหลาดใจจากการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม เจ้าก็อบลินจึงพยายามถอยออกไปและสร้างระยะห่างระหว่างมันกับมนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มันเปิดช่องว่างนั้นเอง มันได้เห็นเงาของมีดสั้นที่กำลังเล็งตรงไปที่ขมับของมันจากทางด้านซ้าย เนื่องจากผลของการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ เจ้าก็อบลินจึงไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ทันและทำได้เพียงมองการโจมตีแบบถึงตายที่ใกล้เข้ามา

เมื่อโจมตีได้สำเร็จ วาห์นก็ล้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรงไปบนร่างไร้ลมหายใจของก็อบลิน

ทันทีที่เขาสัมผัสกับพื้นดิน เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากแขนซ้ายและตอนนี้เขาไม่อาจขยับตัวได้เลย เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่กำลังไหลออกมาจากด้านซ้ายของร่างกาย เตือนให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่คุ้นเคยนับพันครั้งจากชีวิตที่แล้ว ความรู้สึกสงบภายในใจของเขาเริ่มส่งผลมากขึ้น วาห์นรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่ก่อนหน้านี้เต้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการพุ่งพล่านของอะดรีนานาลีน ตอนนี้มันกลับเป็นเริ่มช้าลง

ขณะที่เขานอนอยู่บนพื้นเหนือศพที่เขาสังหารเป็นครั้งแรก เขาก็เริ่มที่จะหายใจแรงขึ้น เขารู้ว่าก็อบลินเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดบนโลกใบนี้ และถ้าหากเขาสังเวยแขนซ้ายไปแล้วแต่กลับปิดฉากมันไม่ได้อีก เขาก็คงต้องจบชีวิตลงที่ตรงนั้นและพบกับจุดจบของการเดินทางของเขาก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ด้วยซ้ำ เขาเริ่มคร่ำครวญถึงความไร้พลังของตนเอง ในขณะที่ความปราถนาอันแรงกล้าว่าต้องแข็งแกร่งกว่านี้เริ่มฝังรากลึกเข้าไปในจิตใจของเขา

เมื่อรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ในร่างกายได้ วาห์นก็ยืนขึ้นด้วยท่าทางโงนเงน เขาเริ่มเดินโซเซไปที่ทางเข้าถ้ำพร้อมกับภาวนาให้ภายในเป็นสถานที่พักแรมที่ปลอดภัยตลอดคืนนี้ เขาเดินผ่านทางเข้าและตรงเข้าไปอีกราวๆ 20 เมตร ก่อนที่ทางจะขยายใหญ่กว่าเดิม วาห์นสังเกตเห็นว่าตัวถ้ำนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 เมตรและผนังก็เต็มไปด้วยคริสตัลขนาดเล็กที่เปล่งแสงอ่อนๆ ทำให้ในนี้ไม่ดูมืดจนเกินไป วาห์นไปที่คริสตัลที่ใหญ่ที่สุดและพยายามใช้แสงของมันเพื่อตรวจสอบบาดแผล

ทันใดนั้นเอง การทำงานของสมองก็แทบหยุดลงในทันที ในขณะที่เขามองไปยังเลือดที่กำลังไหลออกมาจากบาดแผลบนแขน วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีผีเสื้ออยู่ภายในท้องที่กำลังพยายามหาทางออกมา เลือดที่ไหลออกมาจากแขนนั้นเป็นสีแดงเข้ม… แตกต่างไปจากเลือดสีทองซีดที่ตามหลอกหลอนเขาจากในชีวิตที่แล้ว

หลังจากที่ตรวจสอบบาดแผล เขาจึงได้เห็นทั้งเนื้อสดๆ แกว่งไปมา เส้นเลือดและเส้นเอ็นมากมายต่างถูกตัดขาด ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมจึงไม่สามารถขยับแขนได้

“โชคยังดีที่เป็นมีดขนาดเล็กและกระดูกไม่ได้โดนไปด้วย…”

(*ใช่แล้ว แต่เธอก็ต้องรีบล้างบาดแผลและหยุดเลือดนะ มีดของก็อบลินตัวนั้นไม่สะอาดแน่นอน และบาดแผลที่เกิดจากมีดนั่น หากปล่อยแผลทิ้งไว้โดยไม่รักษามันก็อาจจะเปื่อยเน่า ผลสุดท้ายก็คือความตาย!*)

วาห์นทำตามคำแนะนำของพี่สาวในขณะที่เขากำลังล้างบาดแผลด้วยคนโทน้ำแห่งการเติมเต็ม นอกจากนี้เขายังดื่มน้ำไปหลายอึกเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองหมดสติจากการขาดน้ำ ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์อย่างมากในเรื่องของการขาดเลือด วาห์นจึงรู้ขั้นตอนสำคัญหลายอย่างที่ใช้ในการรักษาแผล ปกติแล้วจะมีคนมาจัดการบาดแผลให้เขา ทำให้เขาเมินเฉยกับบาดแผลที่ได้รับมาในตอนแรก

หลังจากทำความสะอาดและปิดบาดแผลด้วยการใช้ชิ้นส่วนที่ตัดมาจากเสื้อคลุม วาห์นก็พบกับส่วนของพื้นถ้ำที่เรียบและพอจะลงไปนอนพักได้ เขาพบว่าคริสตัลภายในถ้ำนั้นไม่เพียงแค่ปล่อยแสง แต่ยังแผ่ความร้อนออกมาได้ในระดับหนึ่งซึ่งทำให้ภายในถ้ำอบอุ่น

ขณะที่เขานอนลงและมองไปยังเพดานของถ้ำ เขาเริ่มจินตนาการว่าคริสตัลแต่ละชิ้นนั้นเป็น ‘เรคคอร์ด’ มากมายที่อยู่ใน ‘เดอะพาธ’ จินตนาการของเขาก็เริ่มไปไกลกว่าเดิม ฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้น พบเจอเพื่อนพ้องและศัตรูมากมาย สุดท้ายก็ได้พบกับแม่ของตัวเอง…

ในขณะที่เขาค่อยๆ หมดสติ ความคิดสุดท้ายที่แวบเข้ามาก็คืออยากจะพูดออกมาดังๆ ว่า

“เราไปต่อไม่ไหวแล้วล่ะ… เอื้อก”

(*RIP*)

-อวสาน-

(TL: อะล้อเล่น~ ข้างล่างคือคำพูดจริงๆ นะครับ)

“เราถึงบ้านแล้ว…” เขากระซิบเบาๆ ก่อนที่ความง่วงจะพรากเขาไปสู่ดินแดนแห่งความฝัน
—————

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท