วาห์นตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมาและดูบันทึกของระบบแบบคร่าวๆ เขาเห็นว่าค่าความชื่นชอบของมิลานไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ของโคลอี้กลับเพิ่มขึ้นสูงขึ้นภายในชั่วข้ามคืน เมื่อเห็นคำอธิบายประหลาดว่า ‘ปราถนาที่จะลูบไล้’ วาห์นก็รีบปิดบันทึกทันที
เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อล้างหน้าโดยใช้น้ำจาก ‘คนโทน้ำแห่งการเติมเต็ม’ หลังจากนั้นก็บำรุงรักษาอุปกรณ์สวมใส่ของตนที่ทำทุกวันก่อนจะลงไปข้างล่าง
เมื่อพร้อมที่จะออกจากโรงแรม เขาพบว่ามีพนักงานใหม่ที่เคาน์เตอร์ เธอเป็นมนุษย์เพศหญิง อายุประมาณ 17-18 ปีที่มีผมยาวสีดำและผูกเปียยาวที่พาดเลยไหล่อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีม่วงของเธอดูงัวเงียเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เธอดูอ่อนโยน เมื่อเห็นเขาเดินออกมา เธอก็เผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนและโบกมือให้
วาห์นหันมายิ้มตอบพร้อมกับพยักหน้าขณะที่เดินออกจากโรงแรม วันนี้เป็นวันสำคัญ ดังนั้นเขาจึงอยากเริ่มต้นมันให้เร็วขึ้นหน่อย หากเธอคนนั้นเป็นพนักงานประจำของโรงแรม เขาคงจะมีโอกาสพูดคุยกับเธออีกในอนาคต
เขาหันและเดินตรงไปยังหอคอยขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมือง วันนี้เป็นวันที่เขาวางแผนเดินทางเข้าสู่ดันเจี้ยนเป็นครั้งแรก ในขณะที่เดินไปตามถนน เขาอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย
ระหว่างทาง มีหลายคนที่มองมาทางเขาอย่างสงสัย แต่เขาจะไม่มาสนใจกับมันในตอนนี้ เขาเกือบจะใช้แต้ม OP ที่เก็บไว้มาซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้ว แต่เนื่องจากอยากรู้ว่าตัวเองจะลุยดันเจี้ยนไปได้ไกลแค่ไหนโดยใช้อุปกรณ์สวมใส่ที่มีอยู่เดิม เขาจึงไม่ได้ใช้แต้ม หากทุกอย่างยากยิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาจะเปลี่ยนอุปกรณ์ก่อนลองใหม่อีกครั้ง
เนื่องจากความเร็วในการเดินที่เพิ่มขึ้น เขาจึงไปถึงหอคอยในเวลาไม่เกิน 20 นาที ก่อนจะเข้าไปข้างใน เขามองขึ้นไปดูทิวทัศน์ของหอคอยจากบนพื้น
เขาจำได้จากมังงะว่าหอคอยนี้ถูกสร้างโดยเหล่าทวยเทพเพื่อใช้ผนึกดันเจี้ยนที่อยู่ด้านล่าง มันน่าจะสูงประมาณ 50 ชั้นจากที่ที่เขายืนอยู่ซึ่งดูสูงราวกับจะทะลุขึ้นไปบนสวรรค์ เขาพอจะมองเห็นยอดหอคอย แต่มันก็ดูพร่าเลือนมากราวกับจะจางหายเข้าไปในชั้นบรรยากาศที่อยู่ด้านบน เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะไปถึงยอด…
วาห์นเข้ามาที่ชั้นแรกของหอคอยบาเบลและประหลาดใจกับจำนวนนักผจญภัยมากมาย เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดจะเข้าสู่ดันเจี้ยนตั้งแต่เช้าตรู่ เขาได้เห็นถึงความกระตือรือร้นและความคึกคักก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้กับบันไดที่ทอดยาวลงไปในผืนดิน
เมื่อเข้าไปในช่องที่ยังว่าง วาห์นก็พบกับเอลฟ์คนแรกนับแต่ที่มาถึงโลกใบนี้ เขาเป็นเอล์ฟหนุ่มที่มีความสูงประมาณ 178 เซนติเมตร พร้อมกับผมสีทองและดวงตาสีเขียว เขามีใบหน้าที่ละเมียดละไมซึ่งมันทำให้การระบุเพศของเขาครุมเครือเล็กน้อย แต่ด้วยท่าทางและน้ำเสียงในการตอบคำถามของเขาก็บ่งบอกมันได้ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ชาย แม้ผมของเขาจะสั้นแต่มันถูกหวีไปด้านหลังทำให้เขาดูคล้ายกับเจ้าชายบวกกับการแสดงออกทางสายตาที่บ่งบอกถึงความฉลาดและน่าเกรงขาม
เอลฟ์หนุ่มสังเกตเห็นเด็กมนุษย์ที่กำลังเข้ามาใกล้ ‘นิโคลัส กริมส์’ ก็โบกมือเรียกเขา เขามีความจำในเรื่องหน้าตาได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้เขาได้เป็นคนเฝ้าอยู่ด้านนอกดันเจี้ยนเสมอ ดังนั้นเขาจึงเดาได้ว่าเด็กคนนี้คงเป็นนักผจญภัยหรือพวกนักสำรวจดันเจี้ยนอิสระมือใหม่แน่นอน
แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกกังวลมากนัก แต่ก็รู้ดีว่าทางกิลด์จะเสียชื่อเมื่อมีนักผจญภัยมาเสียชีวิตอยู่ในดันเจี้ยน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผมเดาว่าคุณคงต้องการข้อมูลของดันเจี้ยนก่อนเข้าไปใช่ไหม?”
วาห์นพยักหน้าขณะสำรวจออร่าสีเขียวประหลาดที่เอลฟ์หนุ่มปล่อยออกมา
“เยี่ยมเลย คุณสามารถแลกแผนที่ของดันเจี้ยน 4 ชั้นแรกได้ในราคา 100 วาลิส แม้ว่าโครงสร้างในชั้นที่มากกว่านั้นจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สี่ชั้นบนสุดมักจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แถมพวกเรายังทำแผนที่ใหม่ทุกสัปดาห์ด้วย สำหรับผู้ที่มาครั้งแรก แผนที่นี้เป็นหนึ่งในไอเท็มที่ทางเราขอแนะนำให้ซื้อเก็บไว้ นอกจากนี้เรายังมีหนังสืออีกหลายเล่มซึ่งครอบคลุมถึงสถานที่เกิดและจุดอ่อนของมอนสเตอร์หลากชนิดอีกด้วย
วาห์นรับฟังในขณะที่เอลฟ์หนุ่มพยายามเสนอขายไอเท็มมากมายให้กับเขา หลังจากเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับโคโบลด์และดันเจี้ยนลิซาร์ด เอลฟ์หนุ่มคนนั้นก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับภัยอันตรายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในดันเจี้ยน วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับคำอธิบายจำนวนมากที่ชายคนนั้นพูดให้ฟัง และยังให้พี่สาวบันทึกเสียงไว้เผื่อเขาจะได้ศึกษามันในภายหลัง สุดท้ายแล้ว ชายคนนั้นก็ให้วาห์นกรอกข้อมูลของเขาเช่นที่อยู่ และเวลาที่คาดว่าจะอยู่ภายในดันเจี้ยน ชายคนนั้นบอกว่าถ้าเขาไม่ออกจากดันเจี้ยนภายในเวลาที่ระบุ พวกเขาจะรออีก 72 ชั่วโมงก่อนจะแจ้งให้กับผู้ที่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อทราบเกี่ยวกับการหายตัวไปของเขา หลังจากที่ทุกอย่างถูกบอกจนจบ ในที่สุดวาห์นก็ได้เข้าสู่ดันเจี้ยน
ชั้นแรกเป็นทางเดินที่ค่อนข้างกว้างพร้อมกับผนังที่มีสีฟ้าใสและพื้นสีเขียวเข้มแบบแปลกๆ วาห์นไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เดินไปตามทางเดิน แต่ทุกคนดูเหมือนกำลังเกาะกลุ่มของตนเองเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามที่จะไปรบกวนคนอื่น แม้เขาหวังจะได้พบมอนสเตอร์ทันที่ที่เข้าสู่ดันเจี้ยน แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะเกิดออกมาแบบนานๆ ครั้งและถูกคนอื่นกำจัดอย่างรวดเร็ว
เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขาและคนกลุ่มอื่น วาห์นเดินเข้าไปในทางแยกที่เชื่อมกับทางเดินหลัก ตอนนี้เขาพยายามที่จะพิกัดแผนที่ให้ได้มากที่สุดโดยใช้ระบบพิกัดแผนที่แบบอัตโนมัติ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในสายตาของเขาถูกอัพเดทอย่างละเอียดภายในแผนที่ย่อที่ปรากฏอยู่ในขอบการมองเห็นของเขา
เขาพยายามที่จะไม่สนใจแผนที่มากเกินไปนักเพราะมันไม่ได้ทำให้เขาเคลื่อนที่เร็วขึ้นแถมยังทำให้เสียสมาธิอีกด้วย เขารู้ว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากตอนพยายามหาทางออกในอนาคตและตรวจดูมันเป็นช่วงๆ อย่างพึงพอใจ
15 นาทีผ่านไปกับการลงดันเจี้ยนครั้งแรก ในที่สุดวาห์นก็พบกับมอนสเตอร์ ห่างไป 8 เมตรข้างหน้าจากตำแหน่งปัจจุบันของเขา ดูเหมือนว่าผนังจะเปิดออกและ ‘พ่น’ บางอย่างออกมาเป็นรูปทรงที่เขาจำได้ทันที เมื่อสิ่งมีชีวิตที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น วาห์นก็สวมใส่คันธนูและสังหารก็อบลินด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว
วาห์นเข้าไปใกล้บริเวณที่ก็อบลินสลายหายไปและก้มลงเพื่อเก็บคริสตัลที่มันทิ้งเอาไว้
(“บางทีเราคงต้องเข้าไปในดันเจี้ยนให้ลึกกว่านี้ถ้าอยากทดสอบตัวเอง พวกก็อบลินกลุ่มเล็กๆ คงทำอะไรเราไม่ได้แล้วล่ะ”)
(*วาห์น! ระวัง!*)
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพี่สาวในหัว วาห์นก็กระโดดไปข้างหน้าและม้วนตัวไปตามพื้น เขาเด้งตัวขึ้นมาและเห็นสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งจะพยายามลอบโจมตีเขา สิ่งที่กำลังยืนในตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ก็คือก็อบลินตัวที่สองที่กำลังกวัดแกว่งไม้กระบองขนาดเล็ก วาห์นพบว่าด้านหลังของมันยังมีก็อบลินอีกสองตัวที่เพิ่งถูกพ่นออกมาจากผนัง
ก็อบลินที่อยู่ใกล้สุดพุ่งเข้าใส่เขาและวาห์นต้องเพิ่มระยะห่างอีกครั้งเพื่อเล็งธนู มันต่างจากก็อบลินที่อยู่บนพื้นโลกข้างนอก เจ้าก็อบลินตัวนี้ดูเหมือนจะเร็วกว่ามากในขณะที่มันสามารถลดระยะห่างระหว่างวาห์นที่กำลังถอยอยู่ได้
มันเหวี่ยงกระบองเข้ามาทำให้เขาต้องรับมันด้วยคันธนูของตนก่อนจะเตะเจ้าก็อบลินออกไปในระหว่างที่สู้กันอยู่
ก่อนที่ก็อบลินจะทรงตัวได้ วาห์นก็ปล่อยลูกศรออกไปทำให้ร่างกายของมันกลายเป็นผุยผง วาห์นไม่ยอมให้จังหวะเสียไป เขายังคงเพิ่มระยะห่างต่อไปและยิงลูกศรอีก 2 ดอกไปที่ก็อบลินตัวอื่นๆ ที่พยายามเข้าใกล้และโจมตีเขา พวกมันทั้งสองตัวกลายเป็นผุยผงในขณะที่วาห์นถอนหายใจที่กลั้นไว้ออกมา เขามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจดูว่ายังมีก็อบลินตัวอื่นที่พยายามลอบโจมตีเขาอีกหรือไม่
ที่นี่ไม่เหมือนกับในป่าที่เขาสามารถใช้ภูมิประเทศเพื่อลอบสังหารก็อบลินได้ ในพื้นที่โล่งแบบนี้มอนสเตอร์สามารถเกิดได้อย่างอิสระจนเขาต้องระวังตัวตลอดเวลา ตอนที่ดันเจี้ยนปลดปล่อยมอนสเตอร์ออกมานั้นมันแทบจะไม่มีเสียงเลย และวาห์นก็เกือบจะโดนเล่นงานเนื่องจากความประมาทของตนเอง
(“เกือบต้องกลืนคำพูดตัวเองที่บอกว่าก็อบลินทำอะไรเราไม่ได้แล้วสิ… แต่การที่ก็อบลินสามารถเกิดในระยะใกล้กับตัวเราได้จะทำให้ธนูได้ผลน้อยลง ดูท่าเราจะพึ่งการโจมตีระยะไกลมากไปแล้ว ที่จริงมันก็ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ลงดันเจี้ยนคนเดียวเท่าไหร่เลย”)
เขาสลับใส่ธนูเข้าไปในช่องที่สองและสวมใส่มีดสั้นที่ได้รับตอนมาถึงโลกใบนี้เป็นครั้งแรกแทน เขาไม่ได้ใช้มีดสั้นตั้งแต่หลบหนีจากพวกก็อบลินเฝ้าระวัง เนื่องจากมันมีค่าพลังโจมตีที่ต่ำซึ่งไม่สามารถพึ่งพาได้หากเขาต้องการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่า
(“พี่สาว ช่วยคัดรายชื่อและซื้อมีดสั้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าอันนี้ประมาณ 2 เท่า… ไม่สิ เดี๋ยวนะ! แทนที่จะใช้มีดสั้น เอาเป็นใช้ดาบแทนดีกว่า มันมีระยะโจมตีที่มากกว่าและดูเท่กว่ามีดสั้นเยอะเลย”)
(*ยืนยัน ทำการซื้อ ‘ดาบอาคมทามาฮากาเนะ’ ในราคา 2,000 OP*)
มาถึงตอนนี้ วาห์นมีแต้มสะสมทั้งหมด 51,790 OP ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการใช้แต้มไปแค่สองพัน สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาก็คือดาบสีดำขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ความยาวรวมของมันคือ 130 เซนติเมตร โดยใบดาบจะมีความยาวเป็นสามในสี่ส่วนจากความยาวทั้งหมด เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาก็ประหลาดใจกับน้ำหนักที่เบามากเมื่อเทียบกับขนาดของดาบ
เมื่อมองไปรอบๆ วาห์นก็ยืนขึ้นโดยหันหลังให้กับผนังเพื่อที่จะได้มองเห็นอะไรก็ตามที่อาจเข้ามาใกล้ จากนั้น เขาก็เลือกที่จะตรวจสอบดาบเล่มใหม่อย่างรวดเร็ว
‘ดาบอาคมทามาฮากาเนะ’
ระดับ:(A), มีคุณสมบัติเวทมนตร์
ช่อง: 2
พลังโจมตี: 510+50
พลังโจมตีเวท: 180
ดาบที่ถูกตีขึ้นใหม่ในจำนวนที่นับไม่ถ้วนโดยช่างตีเหล็กหนุ่มผู้มาจาก ‘แดนตะวันออกอันไกลโพ้น’ โดยเขาหวังจะเป็นช่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน เมื่อเขาเสียชีวิตลง สหายของเขาก็ได้เสริมอาคมให้กับดาบโดยใช้เทคนิคโบราณโดยหวังที่จะทำให้ความฝันของสหายรักกลายเป็นจริง
วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับค่าพลังโจมตีของดาบ แต่มันก็ดูสมเหตุสมผลกับขนาดของมัน เขาฝึกกวัดแกว่งมันสองสามครั้ง และแม้จะมันจะให้ความรู้สึกที่ ‘เบา’ แต่แขนของเขาก็เริ่มล้าหลังผ่านไปไม่นาน
(“เราต้องเน้นไปที่การฟันแบบครั้งเดียวจบไม่งั้นคงจะหมดแรงก่อนแน่ แต่เราก็ถือโอกาสใช้ดาบเล่นนี้ในการฝึกฝนเพิ่มเติมได้ด้วย”)
ในการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนจะไปต่อ วาห์นเริ่มส่งพลัง ‘ต้นกำเนิด’ เข้าไปในตัวดาบพร้อมกับมองค่าสถานะของมัน ดูเหมือนว่ามันจะทนรับพลังงานได้มากกว่าคันธนูและลูกศร แต่เขาก็พบว่าตอนที่อักษรรูนเริ่มเรืองแสง ตัวดาบเองก็เบาขึ้นเช่นกัน อีกอย่างหนึ่งก็คือ ค่าพลังโจมตีของดาบยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่ค่าพลังโจมตีเวทดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
วาห์นยังคงส่งพลังเวทเข้าไปในตัวดาบจนกระทั่งอักษรรูนทั้งหมดส่องแสง ดาบเริ่มส่งเสียงบางอย่างในทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งมัน มันเบาราวกับว่าเขากำลังถือขนนกอยู่ในมือ แต่สิ่งที่เจ๋งที่สุดก็คือแสงที่ลอยตามการกวัดแกว่งดาบ เขาพบว่าค่าพลังโจมตีเวทตอนนี้มีมากถึง 1800 ซึ่งเป็น 10 เท่าของค่าเริ่มต้น ด้วยความสงสัยในประสิทธิภาพของมัน เขาตัดสินใจโจมตีไปที่ผนังใกล้เคียง
ในช่วงที่ดาบปะทะกับผนัง วาห์นก็รู้สึกประหลาดใจ มันกลับไม่มีแรงต้านตามที่เขาคาดไว้ และดูเหมือนว่าตัวดาบจะตัดผ่านเข้าไปในผนังหนาของดันเจี้ยนได้อย่างไม่ยากเย็น ดูเหมือนว่าพลังเวทจะไม่ได้ลดเพียงแค่น้ำหนักของตัวดาบเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมความคมของมันไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ แม้จะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเคยใช้ดาบ ตราบใดที่เขาสามารถโจมตีถูกเป้าหมาย เขาก็จะสามารถสังหารมันได้
วาห์นประหลาดใจกับไอเท็มที่มีราคา 2,000 แต้มชิ้นนี้ เขาตัดสินใจที่จะสะสมแต้มให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในอนาคต เขาจะยังคงซื้อไอเท็มที่ใช้แล้วหมดไป และเปลี่ยนอุปกรณ์สวมใส่ในตอนที่เขาต้องการ แต่เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือการซื้อไอเท็มที่มีราคา 100,000 ไม่สิ 1,000,000 OP ต่างหาก!
//เริ่มต้นภารกิจ//
[ภารกิจ: การกำเนิดของผู้เป็นตำนาน]
ระดับ: SS
วีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงตามอาวุธที่เขาใช้ แม้แต่สไควร์ผู้ต่ำต้อยก็สามารถกลายเป็นตำนานได้เมื่อกวัดแกว่งดาบที่ถูกตีขึ้นโดยฝีมือของทวยเทพ
เงื่อนไข: แลกเปลี่ยนแต้ม 1,000,000 OP กับระบบเพื่อรับอาวุธแบบสุ่มหนึ่งชิ้น
รางวัล: ‘ปลดล็อคระบบกาชา’ หมุนกาชาพรีเมี่ยม 10+1 ครั้ง, ค่ากรรม 1000 แต้ม
เงื่อนไขความล้มเหลว: เสียชีวิต, ระยะเวลาผ่านไป 12 เดือน เหลืออีก [364 วัน 23 ชั่วโมง 58 นาที], ใช้จ่ายแต้มเกิน 100,000 OP [4,997/100,000]
ผลจากความล้มเหลว: ไอเท็มทั้งหมดที่อยู่ภายในช่องเก็บของจะถูกทำลาย ไม่สามารถใช้ระบบร้านค้าได้ 12 เดือน ไอเท็มสวมใส่จะถูกสาปเป็นเวลา 1 เดือน [ไอเท็มที่ถูกสาปจะไม่สามารถถอดออกได้]
วาห์นยิ้มเล็กน้อย หาก ‘เดอะพาธ’ อยากท้าทายความเชื่อมั่นของเขา เขาก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด เขาหันไปทางส่วนลึกของดันเจี้ยนและเดินต่อไปข้างหน้า…