วาห์นออกจากดันเจี้ยนและเตรียมมุ่งหน้าไปที่กิลด์ ขณะที่เขากำลังจะออกจากหอคอยบาเบล เขารู้สึกได้ถึงแรงจับอันทรงพลังที่ไหล่ของตน เมื่อหันหัวกลับไป เขาก็เห็นนิโคลัสที่ก้มหน้าก้มตาจนมองไม่เห็นดวงตาของเขา วาห์นสังเกตเห็นออร่าสีแดงเพลินถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของนิโคลัส…
ขณะที่เขาเพิ่มแรงบีบที่ไหล่ของวาห์นมากกว่าเดิม นิโคลัสก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “วาห์น เมสัน ผมเชื่อว่าติดเรื่องที่จะสั่งสอนคุณไว้อยู่นะ”
วาห์นเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนบนใบหน้าของนิโคลัสได้อย่างชัดเจน ในขณะที่เขาค่อยๆ เพิ่มแรงกดขึ้นอีก วาห์นนึกถึงความเย็นยะเยือกที่รู้สึกได้ตอนเข้าสู่ดันเจี้ยนก่อนที่จะก้มหน้าลง “ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมน่าจะระวังให้มากกว่านี้”
เมื่อได้ยินคำขอโทษและได้เห็นสีหน้าของวาห์น นิโคลัสก็ผ่อนแรงที่มือลงบางส่วน เขาถอนหายใจพร้อมกับสำรวจเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเขาเล็กน้อย
ต่างจากเมื่อวันก่อนหน้านี้ คราวนี้วาห์นกลับมาโดยไร้บาดแผล แม้แต่เสื้อผ้าของเขาที่อาจดูไร้รสนิยมไปหน่อยก็ไม่มีรอยเลือดแม้แต่นิดเดียวแม้วาห์นจะใช้เวลาอยู่ภายในดันเจี้ยนค่อนข้างนานก็ตาม
“ดูจากสภาพของคุณแล้วคงจะเข้าใจในบทเรียนที่ผมสอนแล้วสินะ แต่ในอนาคตก็อย่าประมาทอีกและห้ามมองข้ามเรื่องการเตรียมตัวอย่างเด็ดขาด และอย่าลืมว่าทางกิลด์มีข้อมูลและหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับดันเจี้ยน ห้ามดูถูกความสำคัญของความรู้ เพราะมันอาจช่วยเหลือคุณในสถานการณ์ที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ชนิดใหม่
เขาตบไหล่ของวาห์นที่จับเอาไว้เมื่อครู่ นิโคลัสเริ่มหันหลังกลับก่อนจะสังเกตถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างได้ เขามองไปทางวาห์นเป็นครั้งที่สองก่อนจะเข้าใจว่าความรู้สึกแปลกๆ นี้คืออะไร ไม่ว่าเขาจะมองตรงไหนก็ไม่เห็นเลยว่าวาห์นเก็บอาวุธของตนไว้ตรงไหนเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขามองไม่เห็นแม้แต่ถุงที่ใช้ใส่คริสตัลหรือไอเท็มดรอปด้วยซ้ำ…
“อาวุธของคุณกับของที่ดรอปมาจากดันเจี้ยนอยู่ที่ไหนเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณแค่ทำทีเป็นเข้าดันเจี้ยนแต่กลับใช้เวลาทั้งวันเล่นอยู่รอบๆ…”
ขณะที่วาห์นเตรียมตัวเดินจากไป เขาก็เกือบจะสะดุดเนื่องจากได้ยินคำถามนั้นเข้า เขาพยายามหาข้อแก้ตัวทั้งหลายในใจแต่ก็คิดไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว เขาถอนหายใจและหันไปทางนิโคลัสเพื่อพิจารณาทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับนิโคลัส
แม้จะแค่ทำตามหน้าที่ แต่นิโคลัสก็มอบคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับดันเจี้ยนให้กับเขา แถมเขายังเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยเหลือตอนที่วาห์นหมดสติตรงทางเข้าดันเจี้ยน เขาถึงขนาดมาเยี่ยมวาห์นที่ห้องพยาบาลและพยายามสั่งสอนเขาอีกครั้งหลังเฟื้นขึ้นมา…
วาห์นมองออร่าที่ออกมาจากตัวนิโคลัสอย่างละเอียด ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้
‘ดูค่าความชื่นชอบ: นิโคลัส กริมม์ {[ค่าความชื่อชอบ: 51[เป็นกลาง], ค่าความสนใจ:60[เป็นห่วง]}
เมื่อเห็นค่าต่างๆ วาห์นจึงตัดสินใจที่จะบอกเขาเรื่อง ‘เวทคลังเก็บของ’ เพื่อขจัดความสงสัยของนิโคลัส เขายื่นมือออกไปตรงที่ที่คนอื่นมองเห็นได้ยากและนำคริสตัลออกมาจากช่องเก็บของ
เมื่อเห็นไอเท็มปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา นิโคลัสก็ประหลาดใจมาก เขารีบมองไปรอบๆ ก่อนจะลากวาห์นไปที่ที่ลับตาคนกว่านี้ หลังจากดูแล้วว่าไม่มีใครสนใจการสนทนาของพวกเขา นิโคลัสก็มองตรงไปที่วาห์นและส่งสายตาดุดันให้
“นั่นคือเวทคลังเก็บของใช่ไหม?” เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของวาห์นโดยตรงขณะที่พยายามจับโกหก
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา วาห์นก็รู้สึกกดดันเล็กน้อย “ใช่ครับ เป็นสกิลพิเศษที่ผมมีมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในป่ากับคุณปู่…”
แม้เขาจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในคำพูดของวาห์น แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก นิโคลัสรู้ว่าการบังคับให้ใครบางคนบอกความลับของตนนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามไปมากกว่านี้และมองไปที่วาห์นก่อนจะเตือนเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“วาห์น เมสัน เธอน่าจะรู้ใช่ไหมว่าเวทคลังเก็บของเป็นสกิลที่หายากมากๆ?”
วาห์นพยักหน้า
“ดีมาก ถ้างั้นเธอก็น่าจะรู้ว่ามันอันตรายมากแค่ไหนหากมีคนรู้ว่าเธอมีสกิลแบบนั้น หากใครก็ตามที่มีเจตนาร้ายรู้ถึงความสามารถของเธอ พวกนั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกใช้เธอและแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง”
วาห์นพยักหน้าอีกครั้ง เขาคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนปรึกษากับพี่สาวตอนก่อนหน้านี้แล้ว
เขารู้ว่าก่อนที่ตนจะแข็งแกร่งกว่านี้ จะเป็นการดีที่สุดหากเก็บเรื่องช่องเก็บของและ ‘เวทคลังเก็บของ’ ไว้เป็นความลับ
“หลังจากนี้ไป เมื่อเธอเข้าหรือออกจากดันเจี้ยน เธอควรจะพกอาวุธหรือเสบียงไว้ที่ตัวบ้าง แม้จะไม่ถูกสงสัยในครั้งแรก แต่การเดินไปเดินมาโดยไม่พกอาวุธยังไงสักวันต้องมีคนสงสัยแน่”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น วาห์นก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า เขาเริ่มคุ้นชินกับความสะดวกในการใช้ระบบสวมใส่อุปกรณ์ เขาจึงมักจะเก็บอุปกรณ์ของตนเอาไว้ข้างในและนำออกมาเมื่อต้องการใช้เท่านั้น เขามองไปรอบๆ และเห็นนักผจญภัยทุกคนกำลังถืออาวุธของตนอย่างเปิดเผยและรับรู้ได้ถึงความโง่เขลาของตนที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
วาห์นแอบนำมีดสั้นและธนูออกมาจากช่องเก็บของและสะพายมันไว้บนไหล่ นอกจากนี้เขายังนำที่ใส่ลูกศรออกมาและติดมันไว้ตรงบริเวณเข็มขัดของตน โชคยังดีที่ตอนเขาซื้อลูกศรมานั้น พวกมันจะมาแบบชุดละ 30 ดอกพร้อมกับมีที่ใส่ลูกศรมาด้วยเสมอ
เมื่อเห็นไอเท็มปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นิโคลัสก็อดเหงื่อตกไม่ได้พร้อมกับดวงตาที่เริ่มกระตุกมากขึ้นทุกที เขาพยายามใช้ร่างกายตัวเองบังสายตาของใครก็ตามที่อาจมองมาทางนี้ หลังจากที่เห็นวาห์นที่ติดตั้งอุปกรณ์เสร็จแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาดังๆ และรู้สึกอยากตะโกนใส่เด็กทึ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา…
“ดีขึ้นมาหน่อย แต่อย่าลืมซื้อกระเป๋าหรือย่ามเพื่อเก็บของในอนาคตด้วยล่ะ เธอไม่ต้องใส่อะไรไว้ข้างในเลยก็ได้ แต่อาจจะดีกว่าถ้าใส่ไว้บ้างเพื่อป้องกันพวกสายตาดี” เมื่อนิโคลัสเดินกลับออกมาจากเด็กหนุ่มที่พยักหน้าให้ เขารู้สึกอยากกลับไปบ้านและนอนสักตื่นมากเลย
หลังจากที่พูดคุยกับนิโคลัสเสร็จ วาห์นก็ตัดสินใจออกจากหอคอยบาเบล ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว และเขาอยากจะทำการแลกเปลี่ยนกับทางกิลด์ก่อนจะรีบไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ แม้จะได้ไปทานที่ร้านนั้นเพียงครั้งเดียว แต่เขาก็พบว่าเนื้อย่างและเนื้อตากแห้งในช่องเก็บของนั้นกลายเป็นของจืดชืดไปซะแล้ว เขาอยากจะลองอาหารทุกอย่างที่ไม่เคยทานมาก่อน ถ้ามันอร่อยได้สักครึ่งหนึ่งของสปาเก็ตตี้ เขาอาจจะยอมให้โคลอี้ผู้มีเรือนผมสีดำ ‘ลูบไล้’ เพื่อให้ได้อาหารมากขึ้น…
วาห์นคิดไปก็ตัวสั่นไปขณะเดินเข้าไปในตรอกใกล้เคียงเพื่อหลบจากสายตาคนอื่น เขามองไปที่ร้านค้าในหัวของตนเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะซื้อกระเป๋าหนังแบบติดกับเข็มขัดได้ออกมา
เขาย้ายตำแหน่งของที่ใส่ลูกศรพร้อมเก็บคันธนูและลูกศรกลับเข้าไปในช่องเก็บของตามเดิม วาห์นนำดาบออกมาและใส่มันเข้าไปในฝักที่เขาทิ้งมันเอาไว้ในช่องเก็บของตั้งแต่ซื้อมา เขารู้สึกว่าการเดินไปไหนมาไหนพร้อมดาบนั้นดูเท่กว่าการแบกธนูมาก…
เมื่อรู้สึกพอใจกับการแต่งตัวแล้ว เขาก็เดินไปที่กิลด์ต่อ
แม้จะรีบแต่เขาก็ตัดสินว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะเพิ่มคุณภาพให้กับแผนที่ เขาจึงมองตึกราบ้านช่องและร้านค้าแผงลอยตามทางและทำการพิกัดทุกอย่างในใจ
หากจำเป็น ในอนาคตเขาจะหาตำแหน่งสถานที่เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดวาห์นก็มาถึงกิลด์ ที่จริงมันเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เล็กน้อย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นจากตอนที่เขาอยู่ในดันเจี้ยน
เขาเดินผ่านทางเข้าขนาดใหญ่ของกิลด์และมองไปรอบๆ วาห์นหวังว่าจะได้พบกับฟาวน่าหรือมิลลี่ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้อยู่เวรในเวลานี้
เนื่องจากไม่รู้จักคนอื่นเลย เขาจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและนำไอเท็มครึ่งหนึ่งที่ได้จากดันเจี้ยนออกมาจากช่องเก็บของ เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่มีใครเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เลยไม่รู้สึกกังวลเท่าไหร่
เขาเดินไปยังบูธที่ใช้แลกเปลี่ยนไอเท็มและรอคิวเป็นเวลา 10 นาทีก่อนจะได้พบกับใบหน้าของคนที่เขาไม่คาดคิด
พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาสูงประมาณ 158 ซม. และเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ที่มีนามว่า ‘เอน่า ทูเล่’ เขาจำเธอจากการมองในครั้งแรกไม่ได้เนื่องจากเธอยังดูเด็กมาก แต่ดวงตาสีเขียวมรกตและผมสีน้ำตาลบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเธอคือเอน่าแน่นอน ตอนนี้เธอยังไม่ได้สวมแว่นตาและวาห์นก็รู้สึกว่ามันทำให้เธอดูน่ารักไปอีกแบบ
เมื่อสังเกตเห็นถึงการจ้องแบบทึ่งๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า เอน่าก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะพูดขึ้น “ยินดีต้อนรับสู่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนของกิลด์ค่ะ ฉันเอน่า และฉันจะช่วยเหลือคุณในการแลกเปลี่ยนคริสตัลหรือไอเท็มที่คุณมีให้เป็นวาลิส และยังสามารถช่วยบันทึกไอเท็มภารกิจที่คุณรับทำก่อนหน้านี้ได้ด้วยนะ”
เมื่อได้ยินเธอกล่าว วาห์นก็กันหน้าออกพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย เขาอยากจะเลิกนิสัยที่ชอบจ้องคนอื่นแบบตรงๆ สักที แต่มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นเหล่าตัวละครที่เขาเคยเห็นจากในมังงะจากชีวิตที่แล้วแบบตัวจริงเสียงจริง!
“ผมขอโทษที่จ้องแบบนั้นนะครับ คุณเอน่า หน้าตาคุณดูคุ้นมาก ผมเลยเสียสมาธิไปเล็กน้อยตอนที่เห็นคุณครั้งแรก ขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้คุณไม่พอใจ”
ได้ยินการพูดอันแสนสุภาพและการก้มหัวของเขา เอน่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม “ไม่เป็นไร วาห์น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ฉันไม่ถือหรอก”
วาห์นเงยหน้าขึ้นและเห็นออร่าที่อ่อนโยนเหมือนกับแสงอาทิตย์และมีสีม่วงลึกลับอยู่ตรงส่วนปลายๆ เขารีบนำคริสตัลจากมอนสเตอร์ออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะเรียงพวกมันไว้บนโต๊ะ
แม้จะเป็นการมองแบบผ่านๆ แต่เอน่าก็เห็นถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่ม เธอเริ่มสงสัยว่าบางทีใบหน้าของเธออาจทำให้เขานึกถึงคนที่ใกล้ชิดกับเขาจริงๆ ดูจากสีหน้า คิดว่าคงเป็นคนที่เขาชอบและสนใจอยู่ก็เป็นได้ ขณะที่กำลังคิดเรื่องพวกนี้ เธอเริ่มมองไปยังไอเท็มที่เขาจัดเรียงตามขนาดอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะ
แม้ว่าตอนแรกมันจะมีเพียงคริสตัลขนาดเล็ก แต่เอน่าก็เริ่มจะเหงื่อตกในขณะที่เขายังคงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ตรงเอวของเขาเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้เธอจึงเริ่มนับและพบว่าเขาได้วางมันลงไปกว่า 50 ก้อนแล้ว และดูเหมือนว่าจะยังไม่หมดแค่นี้ด้วย
“วาห์น ทำไมเธอถึงเก็บคริสตัลเอาไว้นานขนาดนี้ล่ะ?” ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามออกไปอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมองเธอด้วยใบหน้าสับสน เธอเริ่มรู้สึกกังวลแปลกๆ ในท้องของเธอ (“อย่าบอกนะว่า…”)
“ผมก็ได้พวกมันทั้งหมดมาในวันนี้นี่แหละ ไม่ได้ดองมันไว้หลายวันหรืออะไรแบบนั้นหรอกครับ” วาห์นไม่เข้าใจว่าทำไมเอน่าถึงถามแบบนั้น
สัญชาตญาณของเธอนั้นถูกต้องแล้ว เด็กชายที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ ผู้ที่ดูเหมือนจะค่อนข้างขาดสามัญสำนึก นั้นมีความสามารถมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้
“ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าเธอเลเวลเท่าไหร่และสังกัดอยู่กับแฟมิเลียไหนเหรอ?” เอน่าพบว่ามันแปลกที่เธอไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับเด็กหนุ่มประหลาดคนนี้มาก่อนเลย
วาห์นพยักหน้าหงึกๆ ขณะตอบคำถาม “ได้สิครับ… ผมเลเวล 1 และยังไม่ได้เข้าร่วมกับแฟมิเลียเนื่องจากผมเพิ่งมาถึงเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง”
เอน่าเกือบจะล้มหลังจากได้ยินที่เขาพูด เลเวล 1 เหรอ? ยังไม่เข้าร่วมแฟมิเลียเหรอ? เด็กหนุ่มที่ได้รับไอเท็มมามากยิ่งกว่านักผจญภัยกลุ่มเล็กๆ ที่เข้าดันเจี้ยนเป็นเวลาหลายวันนั้นเป็นแค่นักสำรวจดันเจี้ยนอิสระเองเหรอ? เธอมองวาห์นด้วยสายตาสงสัยก่อนที่จะถามคำถามที่ค้างอยู่ในใจ
“เธอเก็บมาได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งวัน… ทำไมเธอถึงยังไม่ได้เข้าร่วมแฟมิเลียอีกล่ะ? แน่นอนว่าคนที่แข็งแกร่งอย่างเธอแม้จะเป็นเลเวล 1 ก็คงเข้าร่วมแฟมิเลียที่มีระดับ A หรือ B ได้สบายๆ การเป็นนักสำรวจอิสระจะชะลอการเติบโตของเธอลงนะ” เธอจ้องมองดาบขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของเขาและจินตนาการว่าเขาใช้มันตัดผ่านฝูงมอนสเตอร์แต่สุดท้ายก็ถูกล้อมและเสียชีวิตจากการเข้าดันเจี้ยนตามลำพัง
วาห์นวางคริสตัลเสร็จพร้อมกับที่เขากำลังครุ่นคิดหาคำตอบ แม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าทำไมตนถึงยังไม่เข้าร่วมแฟมิเลีย เขารู้สึกว่ามันเป็นการผสมผสานกันของความพยายามที่จะปกปิดความลับและการที่เขาไม่รู้จักชื่อแฟมิเลียส่วนใหญ่ในรายชื่อเลย ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าการเข้าร่วมแฟมิเลียอาจเป็นการจำกัดการกระทำของเขา และยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาต้องการจะทำอะไรตอนอยู่บนโลกใบนี้กันแน่
แม้เขาจะบอกว่าอยากจะเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาก็เริ่มถูกดึงความสนใจไปกับหลายๆ เรื่องที่เขาพบเจอ มีทั้งผู้คนที่น่าสนใจและสถานที่ที่เขาอยากไปเยี่ยมชมมากมาย และหลังจากได้ทานอาหารที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ เขาก็รู้สึกหลงใหลและอยากไปลองชิมอาหารแบบต่างๆ ทั้งหมดที่อยู่ภายในเมือง
โดยสรุปแล้ว เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วอะไรคือ ‘การใช้ชีวิตอิสระและมีความสุข’ เหมือนกับที่แม่ของตนต้องการ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับชีวิตที่แล้ว การอาศัยอยู่ในป่าก็ยังมีความเป็นอิสระมากกว่า เพียงแค่หาวาลิสให้พอสำหรับค่าอาหารที่ดีมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขา ‘มีความสุข’ แล้ว หรืออย่างน้อยมันก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘มีความสุข’ เท่าที่เขาพอเข้าใจ
เอน่าเห็นอารมณ์มากมายผุดขึ้นมาบนสีหน้าของเด็กหนุ่มหลังจากที่ถูกเธอถาม เธอเริ่มรู้สึกผิดที่นำความสงสัยของเธอเข้ามาสู่ชีวิตของเขาจากการถามคำถามธรรมดาเพียงไม่กี่ข้อ เมื่อนึกถึงคำพูดของเขา เธอก็ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องคิดมากขนาดนี้ มันอาจเป็นเพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาในอดีตซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจมาเมืองนี้ในตอนแรก ดูจากรูปร่างมอมแมม เขาน่าจะมีอายุน้อยกว่าเธอไม่กี่ปีและแถมยังต้องใช้ชีวิตเสี่ยงภัยอยู่ภายในดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียว เธอเริ่มรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่เธอเพิ่งจะได้พบและต้องการพูดบางอย่างที่ช่วยให้เขาสบายใจขึ้น
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอคิดมากหรอกนะวาห์น แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง แม้ว่าเธอจะยังดูเด็กมาก แต่เธอก็สามารถเข้าดันเจี้ยนและกลับออกมาพร้อมการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ฉันมั่นใจว่าเธอจะแข็งแกร่งขึ้นอีกมากในอนาคตและยังสามารถตามหาคำตอบที่เธอกำลังหาอยู่จนพบได้อย่างแน่นอน!”
วาห์นฟังที่เธอพูดขณะที่น้ำเสียงของเธอเริ่มกลายเป็นให้กำลังใจเขาในตอนท้ายๆ เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอและเห็นได้ถึงความกังวลและความคาดหวังในอนาคตของเขา และเข้าใจว่าเธอกำลังพยายามให้กำลังใจ (“ใช่แล้ว ตราบใดที่เราแข็งแกร่ง เราก็สามารถทำทุกสิ่งได้ตามที่ต้องการ… ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน และถึงจะไปเข้าร่วมแฟมิเลียแต่ก็ไม่ได้หมายความมันต้องเป็นแฟมิเลียสุดท้ายของเราซะหน่อย เราต้องเติบโตตามจังหวะของตัวเองและแม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารดีๆ ได้อีกแล้วนี่ ที่จริงแล้วการเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งก็ต้องมีอะไรเจ๋งๆ ให้ทานมากขึ้นสิ!”)
วาห์นเริ่มตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นจากสิ่งที่เขาค้นพบ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เขาเก็บมาคิด เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา เขายิ้มออกมาเมื่อนึกถึงฉากหนึ่งในมังงะ
เขากัมหัวไปทางเด็กสาวที่เพิ่งจะมอบคำแนะนำให้กับเขา “ขอบคุณครับ คุณเอน่า ผมรักคุณ~!” วาห์นตะโกนออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในกิลด์หันไปมองทางเขาในขณะที่เด็กสาวที่ถูกเขาตะโกนบอกไป บัดนี้หน้าแดงเป็นลูกตำลึงจนถึงใบหูแล้ว
—————