Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 35

ตอนที่ 35

วาห์นเริ่มเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง สมองของเขาเริ่มทำงานหนักขึ้นขณะที่พยายามนึกเรื่องที่ดูน่าเชื่อถือ

“คุณปู่เสียไปเมื่อหลายเดือนก่อน ท่านเป็นนักล่าที่ป่าตะวันตกแล้วนั่นก็เป็นที่ที่ท่านเลี้ยงดูผม ตอนผมยังเด็ก ปู่มักจะเล่าเรื่องในวัยหนุ่มและการผจญภัยให้ผมฟัง ผมมานี่หลังจากที่ปู่เสียเพื่อเจริญรอยตามเส้นทางของท่าน”

ก่อนที่เขาจะได้เล่าต่อ เฮเฟสตัสก็เริ่มถามเขาอีกครั้ง

“เห? แล้วปู่เธอได้ไปผจญภัยที่ไหนบ้างล่ะ? เรื่องเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว? แล้วเธอเคยใช้ดาบเล่มนี้หลังจากที่ปู่ทิ้งมันไว้ให้เธอเท่านั้นเองเหรอ?” เธอยังคงถามเชิงกดดันเพื่อหาช่องโหว่ในเรื่องที่เขาเล่า

วาห์นเริ่มรู้สึกปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด และ [จิตแห่งราชัน] ของเขาก็เริ่มทำงานอย่างไม่รู้ตัว เฮเฟสตัสสัมผัสถึงมันได้และเผยรอยยิ้มราวกับเธอได้รับชัยชนะไปแล้ว

“เรื่องพวกนี้น่าจะตอบได้ไม่ยากนะวาห์น นอกเสียจากว่า เธอวางแผนที่จะโกหกและไม่ได้เตรียมตัวมาดีกว่านี้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น วาห์นก็มองเข้าไปในดวงตาของเธอ

“คุณเฮเฟสตัส ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตัวเองอยากจะปกป้อง ผมคิดว่าคุณอยากถามเรื่องดาบซะอีก ไม่ใช่เรื่องครอบครัวหรือพื้นเพของผม ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เราตกลงกันไว้แต่แรกนะ”

เขาตัดสินใจที่จะเล่นไม้แข็งเพื่อปกป้องตนเองจากการเผยข้อมูลมากเกินไป [จิตแห่งราชัน] ดูเหมือนต้องการจะสนับสนุนเขาพร้อมกับที่มันเริ่มปลดปล่อยแรงกดดันอ่อนๆ เข้าใส่ร่างกายและจิตใจของเฮเฟสตัส

เธอหรี่ตาลงและมองเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง บางทีเธออาจจะทำเกินเหตุจากถามคำถามส่วนตัวมากเกินไป เธอไม่สามารถตอบโต้อะไรได้หากเขาจะโกรธที่เธอพยายามขุดคุ้ยความลับ เธอถอนหายใจเพื่อผ่อนคลายสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“ฉันผิดเองแหละ ฉันไม่ควรถามเรื่องอดีตของเธอ แต่ฉันก็ยังอยากรู้ว่าเธอเคยใช้ดาบเล่มนี้นานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ที่ได้รับมันมา นี่น่าจะเป็นคำถามที่พอจะตอบได้นะ”

วาห์นรู้สึกดีขึ้นและเริ่มลด [จิตแห่งราชัน] ลงเล็กน้อย เขาครุ่นคิดเรื่องคำถามข้อนี้ก่อนตัดสินว่ามันไม่ได้ออกนอกเรื่องจากที่พวกเขาตกลงกันไว้มากนัก

“ใช่ครับ ผมใช้ดาบเล่มนี้ภายในดันเจี้ยนมาสองสามวันแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฮเฟสตัสรู้สึกว่าความอยากรู้ของตนก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เธอพิจารณาว่าแร่เหล็กที่เป็นส่วนประกอบของดาบนั้นถูกตีซ้ำกว่า 100 ครั้งโดยใช้เทคนิคพิเศษหลากหลายแบบ แม้ว่าดาบจะถูกสลักอาคมเสริมพลังโจมตี แต่เธอก็คาดเดาได้ว่ามันช่วยเสริมแค่ความคมของใบมีดแต่ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องความทนทานเลย เนื่องจากวัตถุดิบมีคุณภาพต่ำ จึงไม่มีทางที่มันจะคงสภาพของใบมีดจากการใช้งานหลายครั้งได้ แต่ทว่าดาบที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นมีสภาพที่ดูใหม่เอี่ยม… ราวกับว่ามันเพิ่งถูกตีขึ้นและขัดเงาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“เธอลงดันเจี้ยนไปถึงชั้นที่เท่าไหร่เหรอ? แล้วเลเวลของเธอล่ะ? เพราะเธอใช้บัตรผ่านชั่วคราว ฉันเดาว่าเธอคงเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนอิสระใช่ไหม?”

วาห์นสังเกตว่าเธอเริ่มออกนอกประเด็นอีกแล้ว แต่เพราะเธอไม่ได้ถามเกี่ยวกับอดีตของเขาตรงๆ เขาจึงเลือกที่จะตอบมัน เขาไม่อยากทำให้เธออารมณ์เสียโดยเลี่ยงตอบคำถามที่คนส่วนใหญ่สามารถตอบได้ “ผมลงไปถึงชั้นที่ 7 ตามลำพัง และเลเวลของผมคือ 1 เพราะผมไม่เคยเข้าร่วมแฟมิเลียไหนมาก่อนเลย”

คิ้วของเฮเฟสตัสขมวดเข้าหากันหลังจากได้ยินคำตอบ ‘เขายังเป็นแค่เลเวล 1 แต่ไปถึงดันเจี้ยนชั้นที่ 7 เพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ?’ นี่เป็นการยืนยันเรื่องที่เธอสงสัยว่าเด็กหนุ่มกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง และเธอกำลังคิดจะทำให้เขาเผยมันออกมาก่อนที่ตนเองจะวางแผนขั้นต่อไป

“วาห์น ฉันพอเข้าใจถึงส่วนประกอบของดาบเล่มนี้แล้ว และรู้ว่ามันถูกสร้างมาจากวัตถุดิบที่ไม่ค่อยมีความคงทนเท่าไหร่ เธอสามารถรักษาใบดาบให้อยู่ในสภาพดีแบบนี้ได้ยังไงถ้าหากสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง? ใบดาบควรจะเสื่อมสภาพหลังจากสังหารมอนสเตอร์มากมายขนาดนั้น และของเหลวที่อยู่ในร่างกายของพวกมันน่าจะทำให้ใบดาบทื่อลงหลังจากใช้งานอย่างต่อเนื่อง ฉันบอกได้เลยว่ามีการลงอาคมเสริมพลังโจมตีให้กับดาบ แต่มันไม่สามารถอธิบายเรื่องสภาพของดาบในตอนนี้ได้”

แทนที่จะมองตรงมาทางเขา เธอเริ่มสำรวจอักษรรูนที่อยู่บนใบดาบอย่างใกล้ชิดพร้อมกับแกล้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เขาจะพูด

วาห์นไม่คิดว่าคำถามนั้นมีอะไรผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงบอกเธอเรื่องการใช้หินลับคมในการดูแลรักษาดาบ

เฮเฟสตัสอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ‘เขาดูแลรักษาดาบด้วยตัวเองโดยใช้แค่หินลับคมเนี่ยนะ?’

ในฐานะช่างตีเหล็กมืออาชีพ เธอเคยใช้หินลับคมนับร้อยนับพันในการทำงานของเธอ และไม่มีหินอันไหนเลยที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนดาบที่เธอถืออยู่ได้

“ขอฉันดูหินลับคมที่เธอใช้หน่อยได้ไหม? ฉันสงสัยเหลือเกินว่าวัตถุดิบแบบไหนที่สามารถทำให้ตัวดาบเงางามได้ขนาดนี้”

โดยไม่ได้คิดอะไรมาก วาห์นตัดสินใจส่งหนึ่งในหินลับคมให้ เท่าที่เขารู้มา มันไม่มีความแตกต่างระหว่างหินลับคมที่เขาใช้กับหินลับคมทั่วไป

เมื่อเขาส่งหินแบนๆ ให้กับเฮเฟสตัส ดวงตาของทั้งสองก็เบิกกว้างเมื่อหินกระเด็นออกจากมือของเธอด้วยตัวมันเอง

พวกเขาทั้งคู่มองไปยังหินที่ตกลงสู่พื้นด้วยสีหน้างงๆ เฮเฟสตัสมองอย่างเหลือเชื่อไปทางวาห์นเพื่อขอคำอธิบายขณะที่พี่สาวเริ่มพูดขึ้นในหัวของเขา

(*วาห์น เธอไม่สามารถมอบไอเท็มที่ได้รับผ่านระบบให้กับคนอื่นโดยปราศจากการทำงานของระบบ ‘ของขวัญ’ ได้นะ โดยเฉพาะในกรณีของไอเท็มที่ได้รับมาจากเรคคอร์ดอื่นด้วยแล้วยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย*)

วาห์นลองคิดดูแล้วก็คงเป็นแบบที่ว่าจริงๆ และก้มลงไปเก็บหินจากพื้น เขาหันกลับมายิ้มแห้งๆ ให้กับเฮเฟสตัสผู้ที่ยังคงจ้องมองการเคลื่อนไหวของเขา

“ขอโทษด้วยครับ คุณเฮเฟสตัส ดูเหมือนว่าคนอื่นจะใช้หินอันนี้ไม่ได้”

เฮเฟสตัสอยากรู้ความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดนั้นมาก เมื่อเธอแตะต้องตัวหินไม่ได้ เธอจึงขอตรวจสอบหินในขณะที่เขาถือมันอยู่แทน

วาห์นพยักหน้าพร้อมกับยื่นมือที่ถือหินออกมา

เฮเฟสตัสใช้สายตาของเธอในการดูหินที่อยู่ในมือของวาห์นอย่างใกล้ชิดเท่าที่เธอจะทำได้แต่ก็ไม่สามารถเห็นความพิเศษของมันได้เลย ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากโนวาคูไลท์และแร่ธาตุหนาแน่นประเภทอื่นๆ และเธอสัมผัสถึงการเสริมอาคมหรือคำสาปที่ป้องกันไม่ให้คนอื่นถือมันไม่ได้เลย

เพื่อเป็นการทดสอบ เธอลองใช้เครื่องมือสัมผัสกับหินแทน แต่ดูเหมือนว่าจะมีแรงโต้กลับมาเล็กน้อยเพื่อผลักเครื่องมือออกไป เธอยิ่งสับสนหนักกว่าเดิมและเริ่มอยากรู้ที่มาที่ไปของหินก้อนนี้มากขึ้นทุกที

“วาห์น เธอได้หินลับคมนี่มาจากไหนเหรอ? มันดูเหมือนกับหินทั่วไป แต่กลับมีพลังลึกลับที่แม้แต่ ‘นัยน์ตาเทพ’ ของฉันเองก็ไม่สามารถตรวจจับได้”

วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนทำพลาดเข้าให้แล้ว สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหินลับคมทั่วไปกลับกลายเป็นดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นจากเทพธิดาที่อยู่เบื้องหน้ามากกว่าเดิม แถมเขายังไม่มีคำอธิบายดีๆ ให้เธอด้วย

ในขณะที่เขากำลังคิด เฮเฟสตัสก็ยื่นมือไปยังหนึ่งในอาวุธที่ถูกตั้งแสดงไว้ใกล้กับโต๊ะของเธอ เธอใช้ผ้าประหลาดถูไปยังพื้นผิวของใบดาบ เพื่อลดความแวววาวของมัน

เธอหันไปหาวาห์นและส่งดาบให้กับเขา

“ฉันอยากเห็นทักษะการลับอาวุธของเธอ ช่วยแสดงวิธีใช้หินลับคมให้ฉันดูหน่อยสิ เพราะฉันไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ ฉันเลยอยากจะเห็นว่ามันจะส่งผลต่อไอเท็มคุณภาพสูงยังไง”

เนื่องจากวาห์นไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ยังไง เขาจึงตัดสินว่าเป็นการดีที่สุดที่จะเดินหน้าต่อแทนการถอยกลับ การถอยตอนนี้คงเป็นอะไรที่น่าสมเพชเอามากๆ แถมเขายังไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับเทพธิดาที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 3 ภายในเมืองอีกด้วย เขารับดาบมาและเริ่้มใช้หินลับคมในแบบที่เขาเคยทำมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้

เฮเฟสตัสจ้องมองอย่างใกล้ชิด และอย่างแรกที่เธอเห็นคือเขาไม่รู้วิธีใช้หินลับคมที่ถูกต้อง เธอเริ่มสงสัยว่าเขาอาจโกหกเธอมาตลอด แต่เมื่อหินลับคมสัมผัสกับตัวดาบ ความกังวลของเธอก็มลายหายไป ในช่วงเวลาที่หินลับคมสัมผัสกับใบดาบที่ไร้ประกาย มันก็เริ่มส่องสว่างด้วยแสงสีขาวบางๆ ซึ่งมีเพียงแต่เทพเท่านั้นที่จะมองเห็นมันได้ การลับคมแต่ละครั้งค่อยๆ เพิ่มความสว่างออกมาจนถึงการลับครั้งที่สามซึ่งมันทำให้ประกายแสงของดาบส่องสว่างเจิดจ้าก่อนที่จะคืนสู่สภาพใหม่เอี่ยม แม้แต่รอยบากตรงดาบที่เธอเคยทำเอาไว้ก็หายวับไปกับตา

เธอรับดาบที่เขาส่งคืนให้และเริ่มตรวจสอบมันด้วยทุกวิธีที่เป็นไปได้ คมดาบอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ! ถึงขนาดที่สภาพก่อนหน้านี้ยังเทียบไม่ติดเลย เนื่องจากดาบเล่มนี้ยังไม่ได้ถูกลับคมอย่างเหมาะสมเพราะเป็นแค่อุปกรณ์ที่จัดแสดงไว้เท่านั้น ตอนนี้ใบดาบส่องประกายแหลมคมราวกับจะตัดได้แม้กระทั่งสายตาของผู้ที่จ้องมองมัน

เพื่อเป็นการทดสอบ เธอลองใช้ผลงานจัดแสดงอีกชิ้นมาทดสอบความคมกับดาบที่เพิ่งถูกลับ ดาบเล่มแรกนั้นตัดเข้าไปในดาบเล่มที่สองได้อย่างง่ายดายแม้ว่าวัตถุดิบและกรรมวิธีในการสร้างจะคล้ายกันมากก็ตาม…

เธอมองหินที่อยู่บนมือของวาห์นด้วยความสนใจแต่กลับพบว่ามันกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว

“หินนั่นทำไมกลายเป็นแบบนั้นล่ะ?” เธอไม่เข้าใจว่าหินลับคมจู่ๆ จะกลายเป็นฝุ่นผงทั้งๆ ที่มันเพิ่งถูกใช้ไป

วาห์นยักไหล่และตอบกลับด้วยสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว “มันไอเท็มที่ใช้ได้ครั้งเดียวครับ”

เธอบอกได้เลยว่าเขาพูดความจริงและเริ่มรู้สึกเสียดายอุปกรณ์ระดับเทพนี่เข้าให้แล้ว แม้ว่าหินลับคมจะใช้งานได้เพียงครั้งเดียว แต่มันอาจเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับทุกแฟมิเลียที่เข้าไปสำรวจภายในดันเจี้ยน หากมันสามารถฟื้นฟูสภาวะเสียหายของอาวุธให้อยู่ในสภาพดีที่สุดได้ มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อในการสำรวจระยะยาว

“วาห์น เธอพอจะบอกได้ไหมว่าเธอเจอหินนี่ที่ไหน? มันสามารถช่วยชีวิตคนได้มากมายภายในดันเจี้ยนถ้านักผจญภัยไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายของอาวุธจากการใช้งานหนักเกินไป”

วาห์นส่ายหัวของตนและเลือกที่จะพูดความจริง

“ผมไม่สามารถบอกได้ว่านำมันมาจากไหน เนื่องจากมันเป็นความลับที่สำคัญมากและผมก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับใครได้เลย…”

//เริ่มต้นภารกิจเสริม//

[ภารกิจ: โน้มน้าวให้เฮเฟสตัสเผยดวงตาที่ซ่อนอยู่]

ระดับ:(G)

รางวัล: ได้รับสกิล: [ช่างตีเหล็ก], 1x พรจากเฮเฟสตัส

เงื่อนไขความล้มเหลว: เสียชีวิต, ระยะเวลาผ่านไป 30 วินาที เหลืออีก [0 นาที 19 วินาที]

ผลจากความล้มเหลว: แต้มกรรม -100

วาห์นประหลาดใจกับการแจ้งเตือนที่ปรากฏขึ้นในระหว่างการสนทนา และเริ่มตกใจหลังจากเห็นเงื่อนไขความล้มเหลว เขาเหลือเวลาอีกไม่ถึง 20 วินาทีเนี่ยนะ!?

เนื่องจากเขาไม่สามารถคิดอะไรดีๆ ออกภายในเวลาอันสั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะพูดประโยคเดิมซ้ำ

“ผมไม่สามารถบอกได้ว่านำมันมาจากไหน เนื่องจากมันเป็นความลับที่สำคัญมาก แต่ผมสามารถใช้มันเพื่อสนับสนุนเฮเฟสตัสแฟมิเลียได้ถ้า…”

แม้ว่าเธอจะผิดหวังที่เขาไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหินลับคม แต่เธอก็เริ่มอยากรู้เมื่อเห็นท่าทางลังเลของเขาขณะที่ค่อยพูดๆ ใหม่อีกครั้ง

“ถ้าอะไรเหรอ วาห์น?” เธอถาม

“ผมจะใช้หินลับคมเพื่อสนับสนุนแฟมิเลียของคุณถ้าคุณยอมถอดที่ปิดตานั่นออก เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่สำคัญมาก มันคงจะเป็นการยุติธรรมหากคุณยอมเผยความลับของตัวคุณเองเช่นกัน…”

เมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของวาห์น ความอยากรู้ทั้งหมดของเธอก็หายไปสิ้นเชิง ตอนนี้ความโศกเศร้าและความผิดหวังฉายอยู่บนใบหน้าของเธอแทน

วาห์นเกือบจะหลุดคำขอโทษออกไปแทบทันที เขายังคงพยายามคิดถึงวิธีโน้มน้าวให้เธอถอดที่ปิดตาออก และยิ่งตื่นตระหนกเมื่อระยะเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว

เฮเฟสตัสถอนหายใจแต่ก็สังเกตได้ว่าวาห์นเริ่มตัวเกร็งตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ เธอคิดว่าเขาแค่รู้สึกสนใจเฉยๆ และไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอขุ่นเคือง

เขาเองก็พูดถูก เธอพยายามหลายต่อหลายครั้งเพื่อขุดคุ้ยความลับของเขาออกมาโดยไม่มีอะไรมาเปลี่ยนเลย หากเขาต้องการเห็นดวงตาของเธอเป็นการแลกเปลี่ยนกับหินลับคมวิเศษพวกนั้น มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่แฟมิเลียของเธอจะได้รับ

“ก็ได้วาห์น… แต่เธอควรรู้เอาไว้นะว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่ปิดตานี่ไม่ใช่สิ่งน่าสนใจหรือน่าพิศวงอะไรเลย ที่จริงแล้ว มันอาจทำให้เธอรังเกียจด้วยซ้ำ… เธอยังยืนยันที่จะดูมันอีกไหม?”

เธอมองเข้าไปในดวงตาขณะที่เขาเริ่มใจเย็นลง เธอสามารถเห็นดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจนขณะที่เขามองกลับและทำให้เธอเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

“ขอร้องล่ะ ผมอยากจะเห็นจริงๆ ครับ”

วาห์นรู้ว่าเธอมักจะโดนดูถูกจากเหล่าทวยเทพที่อยู่บนสวรรค์ และนั่นเป็นสาเหตุที่เธอกลายมาเป็นเพื่อนกับเฮสเทีย เฮสเทียเป็นเทพธิดาเพียงองค์เดียวที่เห็นดวงตาของเธอและไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือแสดงความรังเกียจ แม้ว่าเขาไม่เคยคิดถามเรื่องนี้ก่อนภารกิจจะเริ่ม แต่เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เหล่าทวยเทพรังเกียจพวกเดียวกันได้มากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นถึงช่างตีเหล็กที่มากไปด้วยความสำเร็จ

เฮเฟสตัสเห็นว่าเขายังยืนกรานเหมือนเดิม ดังนั้นเธอจึงถอดที่ปิดตาออก หลังจากลังเลชั่วครู่ เธอก็ค่อยๆ มองดูเด็กหนุ่มเพื่อประเมินท่าทีของเขา แม้เธอจะพยายามทำเป็นไม่กังวล แต่นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เธอหวาดหวั่นมาโดยตลอด ทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจแบบไม่รู้ตัวทุกครั้งที่มีคนเห็นมัน เธอมองตรงไปที่เขาพร้อมกับคาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้ารังเกียจหรือดูถูกที่ทุกคนยกเว้นแต่เพื่อนรักของเธอมักแสดงออกมา… แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น

เขายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขณะที่มองตรงไปยังดวงตาที่เสียโฉมของเธอ ไม่มีความรังเกียจหรือการแกล้งทำใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแค่ความสนใจ ความโล่งอก และแม้แต่… ความกังวลเหรอ?

ขณะที่ความคิดทั้งหลายหมุนวนอยู่ในหัวของเธอ วาห์นก็ยังคงมองดูดวงตาข้างนั้นต่อไป

ส่วนที่เป็นตาขาวนั้นมีสีดำสนิท และกำลังล้อมรอบนัยน์ตาสีแดงเข้มที่ส่องประกายอยู่ตรงกลาง ดวงตาของเธอคล้ายกับตาของปีศาจ แถมผิวตรงส่วนที่อยู่รอบดวงตานั้นยังดูผิดจากคนทั่วไป มันดูเหมือนผิวหนังที่แห้งจนเป็นรอยย่นสีแดงคล้ายกับรอยเลือดรอบๆ ดวงตาของเธอ

วาห์นโล่งอกหลังจากที่เห็นมันแล้วเพราะมันไม่ได้แย่เหมือนกับที่เขาเคยได้ยินจากในเนื้อเรื่อง เขากลับคิดว่ามันออกจะดูเท่ดี… แต่เขาก็พอมองออกจากสีหน้าของเฮเฟสตัสว่ามันคือต้นเหตุที่สร้างความเจ็บปวดมากมายให้กับเธอ เขาเริ่มคิดหาวิธีรักษาและเริ่มสอบถามพี่สาวทันที

เฮเฟสตัสยังคงมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม และพบว่าเขาสามารถมองดูเธอแบบตรงๆ ได้นานโดยสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอยิ่งสนใจเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่าเดิม เพราะเขาเป็นคนที่สองในรอบหลายล้านปีที่มีปฏิกิริยาแบบนี้ เธอรู้สึกเกือบจะร้องไห้ออกมาขณะที่ยังคงเพลิดเพลินไปกับความอ่อนโยนในสายตาของเขา

“เจ้าหนู เธอไม่กลัวตาของฉันเลยเหรอ? ทั้งๆ ที่มันดูน่ารังเกียจแบบนี้เนี่ยนะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของวาห์นเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่เธอถอดที่ปิดตาออก ดูเหมือนว่าเขาจะสับสนกับคำถามของเธอ

“เป็นคำถามที่งี่เง่าจริงๆ ถึงดวงตาของคุณจะแตกต่างไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณ ทำไมผมถึงต้องกลัวด้วยทั้งที่เราทั้งคู่ก็พูดคุยกันมาตั้งนานแล้วแล้ว?”

นั่นเป็นสิ่งที่วาห์นคิดจริงๆ เนื่องจากเขามักเคารพสิ่งที่เฮเฟสตัสทำในอนิเมะอยู่เสมอ เธอมักจะใจดีกับคนที่เธอห่วงใย เธอถึงขนาดสร้างมีดสั้นราคา 200,000,000 วาลิสให้กับเบลล์เพราะเฮสเทียขอร้อง เธอไม่สมควรถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดจากคนรอบข้างเพราะแท้จริงแล้วเธอเป็นหญิงสาวใจดีและอ่อนโยนคนหนึ่งเลยทีเดียว

เฮเฟสตัสถึงกับหน้าถอดสี เธอสัมผัสไม่ได้ถึงน้ำเสียงโกหกในคำพูดของเขาและบอกได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่ที่เห็นดวงตาของเธอ แต่กลับรู้สึกแย่ที่เธอคิดว่าเขาจะรู้สึกขยะแขยงเมื่อได้เห็นมัน เธอตัดสินใจว่าจะประเมินเด็กหนุ่มคนนี้ใหม่และเริ่มตรวจสอบรูปลักษณ์ของเขา

เธอพบว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่หล่อเหลาแม้จะยังดูเด็กไปบ้าง… ภายในเวลาไม่กี่ปี เขาจะต้องเติบโตกลายเป็นนักผจญภัยที่มีความสามารถ แถมตอนนี้เขายังไม่มีแฟมิเลียด้วย นอกจากนี้ยังมีออร่าพิเศษที่เขาใช้ซึ่งหมายความว่า “คุณปู่” ของเขาต้องไม่ใช่นักผจญภัยทั่วไปที่ผันตัวไปเป็นนักล่าแน่นอน…

และแล้วเธอก็นึกบางอย่างออกพร้อมกับมองไปทางวาห์นด้วยดวงตาที่ส่องประกาย “วาห์น เธออยากจะเข้าร่วมแฟมิเลียของฉันไหม?”
—————

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท