ในช่วงสองสามวันต่อมา วาห์นยังคงช่วยลิลลี่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเธอจะมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการเพิ่มค่าสถานะถึงแม้ว่าเธอจะสามารถต่อสู้โดยไม่มีคนช่วยได้แล้วก็ตาม เธอขาดพละกำลังสำหรับการต่อสู้ระยะยาวและค่าสถานะที่มีก็ไม่ได้ทำให้เธอได้เปรียบมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแต่อย่างใด
แม้จะยังได้รับเอ็กซีเลียจากการต่อสู้ แต่ค่าสถานะของเธอก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นนักเนื่องจากเธอไม่มีสกิลที่กระตุ้นการเติบโต วาห์นอยากจะลองช่วยเธอปลุกศักยภาพที่แท้จริงออกมา ดังนั้นเขาจึงคิดใช้วาลิสที่มีและพาลิลลี่ไปซื้อของในวันถัดไป เขาคิดว่าการหาเสื้อผ้าหรือชุดเกราะที่มีน้ำหนักให้กับเธอจะช่วยพัฒนาค่าสถานะและเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกมากขึ้น
เมื่อได้ยินว่าตนจะได้ไป ‘เดต’ กับวาห์น ลิลลี่ก็ดูเหมือนจะตั้งใจฝึกมากขึ้นอีกเป็นสองเท่า เธอยังคงพยายามหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันเดต เมื่อวาห์นก้าวเท้าออกมาจากห้อง ลิลลี่ก็รอเขาอยู่ที่ระเบียงทางเดินแล้วพร้อมกับ ‘ชุดออกศึก’
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่เห็นลิลลี่รออยู่นอกห้องและประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นการแต่งตัวของเธอ เธอทำผมมาเล็กน้อยซึ่งมันทำให้พวกมันดูเปล่งปลั่ง บริเวณคอของเธอมีสร้อยขนาดเล็กทำจากสัมฤทธิ์ซึ่งดูโดดเด่นมากเมื่อคู่กับชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ที่วาห์นไม่เคยเห็นมาก่อน แถมมันยังให้อารมณ์ของความเป็นเด็กเล็กน้อยซึ่งทำให้รูปลักษณ์ของลิลลี่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
เมื่อเห็นเขามองเสื้อผ้าของเธออย่างงงัน ลิลลี่ก็ยิ้มอย่างได้รับชัยชนะก่อนจะรีบลากเขาออกจากโรงแรม เธอต้องการเริ่มการเดตให้เร็วที่สุดเพื่อที่ทั้งสองจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นหลังจากซื้อของเสร็จ
ขณะที่วาห์นเดินตามหลังเธอ ดวงตาของเขากำลังให้ความสนใจกับหางที่โผล่ออกมาจากริบบิ้นตรงด้านหลังชุดกระโปรงของเธอ เนื่องจากตัวหางมีสีเดียวกับเรือนผมของลิลลี่ มันจึงดูโดดเด่นเมื่อเข้าคู่กับชุดกระโปรงสีขาวล้วน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าหางนั้นติดกับร่างกายในรูปแบบไหนซึ่งเป็นอะไรที่ค้างคาใจเขามาก เขารู้ว่าไม่ควรจะถามมันออกไปในตอนนี้และยังมีโอกาสอีกมากที่จะสอบถามในอนาคต เขาถึงกับเคยคิดว่าจะลองงอกหางของตัวเองในภายหลังด้วยซ้ำ
—
ทั้งสองยังคงเดินต่อไปจนมาถึงแผงลอยที่วาห์นมักจะแวะมาบ่อยๆ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
หลังจากซื้อเครปแล้ว เจ้าของร้านก็ยิ้มออกมาพร้อมกับอวยพรให้ ‘เดต’ ของพวกเขาราบรื่น
วาห์นกลายเป็นลูกค้า ‘ประจำ’ ของร้านนี้และมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของร้านวัยกลางคนเผ่าคนแคระที่มีชื่อว่าไอวานด้วย
วาห์นยิ้มแห้งๆ ขณะที่ลิลลี่เขินอายและแสดงสีหน้ามีความสุขหลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน
ทั้งสองค่อยๆ เดินไปยังหอคอยบาเบลและพอมาถึงแล้ว ลิลลี่ก็เริ่มลากวาห์นไปยังร้านค้ามากมายที่เธอคุ้นเคย วาห์นประหลาดใจกับความรู้ในเรื่องร้านค้าของลิลลี่และเริ่มตื่นเต้นขึ้นเมื่อได้ยินเธออธิบายการทำงานของไอเท็มที่มีประโยชน์หลายอย่าง หลังจากหยุดแวะหลายร้านและซื้อไอเท็มที่ใช้ในดันเจี้ยนเพิ่มเติม ในที่สุดพวกเขาก็มุ่งหน้าสู่เป้าหมายหลักที่ตั้งใจไว้
เมื่อมาถึงชั้นที่ 8 ของหอคอย ทั้งคู่ก็พบกับเหล่าร้านค้าของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย มีอาวุธและชุดเกราะตั้งโชว์อยู่มากมายขณะที่ทั้งสองเดินเข้าไปตรงส่วนด้านในหอคอย
เป้าหมายของพวกเขาคือการซื้อชุดเกราะและอาวุธใหม่ให้กับลิลลี่เพื่อเสริมการเติบโตของเธออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเธอจะพัฒนาด้านความแม่นยำและการวิธีการต่อสู้ด้วยหน้าไม้ไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถจัดการมอนสเตอร์ด้วยมีดสั้นอย่างง่ายดายได้ เนื่องจากขนาดตัวของเธอค่อนข้างเล็กและความยาวของมีดนั้นมีจำกัด การสู้กับมอนสเตอร์ในระยะประชิดนั้นถือว่ามีความเสี่ยงสูง
เนื่องจากวาห์นไม่ถนัดเรื่องขอบชุดเกราะเท่าไหร่ เขาจึงตัดสินใจช่วยลิลลี่เลือกดูอาวุธเป็นอย่างแรก ลิลลี่ยังคงคิดหนักในเรื่องการใส่อุปกรณ์ที่จำกัดการเคลื่อนไหว ดังนั้นเธอจึงรู้สึกโล่งอกที่ได้เก็บมันไว้ทีหลัง ในที่สุดทั้งสองก็พบกับร้านที่ขายของคุณภาพปานกลางซึ่งสามารถระบุได้จากป้าย ‘ระดับ’ ที่แขวนอยู่หน้าร้าน ร้านนี้มีชื่อว่า ‘Blacksteel Works’ (แบล็คสตีลเวิร์ค) ซึ่งแสดงสัญลักษณ์ของเฮเฟสตัสแฟมิเลียไว้อย่างเปิดเผยพร้อมกับตัวอักษร ‘B’ ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง
หลังจากเข้าไปข้างใน ทั้งสองมองดูสินค้าเล็กน้อยก่อนจะไปพบเจ้าของร้าน เขาเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์อายุประมาณ 17-20 ปีพร้อมกับใบหน้าที่ดูจริงใจ เมื่อเห็นทั้งสองที่แต่งตัวแปลกไปจากลูกค้าปกติเดินเข้ามาใกล้ เขาก็กล่าวทักทายด้วยเสียงอันดังที่มีสำเนียงแปลกๆ
“ยินดีต้อนรับนะ! มีอะไรให้ช่วยไหม? ไม่เคยเห็นพวกคุณแถวนี้มาก่อนเลย มองหาอะไรเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่าครับ?” (TL: ผู้เขียนเขียนทำพูดแบบติดสำเนียง)
วาห์นรู้สึกดีกับชายคนนี้เพราะเขามีสีหน้าจริงใจและออร่าก็เป็นสีเหลืองแบบสงบนิ่ง จากประสบการณ์ของวาห์น คนประเภทนี้เข้าหาด้วยง่ายและมีอัธยาศัยดี เขาบอกเจ้าของร้านผู้มีนามว่าอารินเกี่ยวกับไอเท็มทั้งหมดที่เขาตามหาอยู่
“ถ้าเป็นไปได้ พวกเราอยากจะดูอาวุธที่ตรงตามความต้องการของเราก่อนจะไปดูชุดเกราะ สำหรับตอนนี้เรายังไม่ต้องการของสั่งทำพิเศษแต่ถ้าของที่ซื้อไปในรอบนี้ใช้งานได้ดี ในอนาคตเราอาจจะมาสั่งทำไอเท็มที่นี่ค่ะ” ลิลลี่ตัดสินใจพูดเข้าเรื่องเพราะวาห์นดูเหมือนจะสนใจคุยเรื่องสัพเพเหระมากกว่า เธอไม่อยากใช้เวลาอยู่ในร้านนี้นานเกินไปเนื่องจากมันจะกระทบกับเวลาเดต
อารินมองไปยังลิลลี่ที่กำลังทำท่าฮึดฮัดก่อนจะมองวาห์นพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง
“แฟนของคุณนี่ดูใจร้อนไม่เบาเลยนะ” วาห์นยิ้มให้กับคำพูดนั่นและถามเขาว่าจะขอดูอาวุธตอนนี้เลยได้หรือเปล่า จากอีกด้าน ลิลลี่ก็ยิ้มแฉ่งพร้อมทำท่าทางว่านอนสอนง่ายขึ้นเยอะ
—
หลังจากนั้นไม่กี่นาที อารินก็นำอาวุธมากมายออกมาให้ดู มันมีทั้ง ดาบสั้น กระบี่ ดาบยาว หอก หรือแม้แต่คาตานะขนาดใหญ่ซึ่งดึงดูดความสนใจของวาห์นเป็นอย่างมาก เขามักจะจินตนาการว่าตัวเองได้กวัดแกว่งมันในชีวิตก่อนดังนั้นมันจึงทำให้เขาอยากหยิบขึ้นมาดูเล็กน้อย เมื่อถึงตอนเปลี่ยนอาวุธในอนาคต วาห์นตัดสินใจว่าจะใช้คาตานะนอกจากว่าจะได้รับอาวุธที่ดีกว่านั้น
ลิลลี่ทดสอบอาวุธโดยการยกและสัมผัสน้ำหนักของมัน เนื่องจากเธอไม่เคยใช้อาวุธอื่นนอกจากมีดสั้นกับหน้าไม้เลย เธอจึงไม่คุ้นเคยกับอาวุธชนิดอื่นเท่าไหร่ เธอหยิบอาวุธขึ้นมาและดูว่ามีอันไหนที่รู้สึก ‘เข้ามือ’ หรือเปล่า แต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้เนื่องจากเธอยังขาดทั้งความรู้และประสบการณ์
เมื่อเห็นลิลลี่ลังเล อารินก็เริ่มอธิบายรายละเอียดและประโยชน์ของอาวุธต่างๆ เขายังพูดถึงชิ้นที่มีประโยชน์ในการต่อสู้แบบกลุ่มและชิ้นอื่นๆ ที่เหมาะกับการต่อสู้คนเดียว แถมเขายังลงรายละเอียดเรื่องส่วนประกอบ ความทนทาน ระยะในการใช้ และวิธีการบำรุงรักษาด้วย
วาห์นและลิลลี่ได้ฟังข้อมูลที่มีประโยชน์หลายอย่าง แม้ลิลลี่จะไม่ได้สนใจเท่ากับวาห์น แต่เธอก็มีนิสัยชอบจดจำอะไรก็ตามที่มีประโยชน์เพื่อใช้ในอนาคต หนึ่งในสกิลที่เธอพึ่งพาอยู่เสมอเพื่อเอาชีวิตรอดมานานก็คือความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและความรู้นี่แหละ
หลังจากฟังคำอธิบายแล้ว วาห์นก็คิดที่จะซื้ออาวุธทั้งหมดนั่นเพียงเพื่อเก็บไว้ทดสอบในภายหลัง และถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้งานมันจริงๆ แต่การมีอาวุธหลากหลายประเภทที่ไม่ได้มาจากร้านค้าในระบบก็อาจจะเป็นผลดีอยู่บ้าง ในขณะที่วาห์นกำลังตัดสินใจอยู่นั้น ลิลลี่ก็เริ่มถามเกี่ยวกับอาวุธที่มีน้ำหนักมากและสามารถใช้เพื่อเพิ่มค่าความแข็งแกร่งได้
“อาวุธหนักที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งงั้นเหรอ? อืมมมม ผมคิดว่าอาจจะมีของที่คุณต้องการอยู่นะ ถ้าเอาไว้ใช้ฝึกซ้อมก็น่าจะพอได้” อารินเดินเข้าไปในห้องด้านหลังและออกมาพร้อมกับไอเท็มสองชิ้น ชิ้นแรกคือขวานด้ามยาวขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่า 160 ซม. และมีน้ำหนักเกือบ 30 กก. มันทำมาจาก ‘เหล็กดำ’ ซึ่งคล้ายกับความหมายของชื่อร้าน ไอเท็มอีกชิ้นคือค้อนที่มีขนาดใหญ่จนเกือบจะดูตลก มันมีความยาว 125 ซม. โดยขนาดของหัวค้อนก็กินความยาวของอาวุธไปแล้ว 70 ซม. มันมีน้ำหนักมากถึง 90 กก. เลยทีเดียว
ด้วยความอยากรู้ วาห์นจึงลองยกอาวุธทั้งสองขึ้นและพบว่าถึงทั้งสองชิ้นเบากว่าที่เขาคาดไว้ แต่พวกมันก็ดูใช้งานได้ยากมาก ลิลลี่เองก็ลองยกดูและรู้สึกลำบากกว่าวาห์น แต่เนื่องจากสกิล [หน่วยช่วยเหลือ] เธอจึงสามารถยกไอเท็มทั้งสองขึ้นมาได้แม้จะต้องพยายามสักหน่อย
หลังจากถือไอเท็มทั้งสองชิ้นไว้ในมือ ลิลลี่ก็ตัดสินใจซื้อมันทั้งคู่เนื่องจากทั้งสองชิ้นนี้ตรงตามคุณสมบัติของ [หน่วยช่วยเหลือ] ได้เป็นอย่างดี เธอเห็นด้วยกับวาห์นเรื่องความสำคัญในการพัฒนาสกิลหากเธอต้องการแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต อีกอย่างหนึ่งก็คือมันง่ายกว่าการถอดชุดเกราะมาก ดังนั้นเธอจึงสามารถสลับอาวุธเป็นอย่างอื่นได้อย่างง่ายดายตามสถานการณ์
วาห์นตัดสินใจซื้ออาวุธทุกชิ้นและจ่ายเงินไปทั้งหมด 92,000 วาลิส มันเป็นเงินส่วนใหญ่ที่ได้มาในสัปดาห์นี้ แต่ปัญหานี้จะค่อยๆ หมดไปเมื่อเขาเข้าไปยังดันเจี้ยนชั้นที่ลึกกว่าเดิม หลังจากรับเงินมาแล้ว อารินก็คืนเงินกลับมาให้ 12,000 วาลิส ด้วยเหตุผลว่าเป็นส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งแรกของพวกเขาและอีกอย่างก็คือพวกเขาซื้อไอเท็มหลายชิ้นในครั้งเดียว แถมยังบอกอีกว่าเขาพยายามขายค้อนนี้ทิ้งอยู่นานแล้ว และเขาก็ดีใจมากที่วาห์นซื้่อมันไป
เนื่องจากคงจะยุ่งยากที่ต้องมาอธิบายเรื่องเวทคลังเก็บของ วาห์นจึงมอบที่อยู่โรงแรมให้กับอารินและบอกให้เขาไปส่งสินค้าที่นั่นภายในวันนี้ หลังจากนั้น ทั้งสองก็มุ่งหน้าต่อไปยังร้านที่เน้นขายชุดเกราะ
ลิลลี่ดูเหมือนไม่ชอบการซื้ออุปกรณ์ “หนัก” เพราะมันไม่เหมาะกับร่างกายขนาดเล็กของเธอ ที่จริงแล้ว นอกจากอุปกรณ์สั่งทำพิเศษ มันแทบจะไม่มีชุดเกราะที่เหมาะกับร่างกายเธอเลย ดังนั้นทั้งสองจึงต้องยอมแพ้หลังจากซื้อเกราะหุ้มหน้าอกขนาดเล็กพร้อมกับเกราะแขนและขาอย่างละคู่ พวกมันเป็นของที่สะดวกมากเนื่องจากสามารถใส่ทับเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ได้เลย
วาห์นจำได้ว่าเสื้อผ้าที่ลิลลี่ใส่มักจะเก่าและขาดวิ่น เขาจึงตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับเธอ หลังจากประสบการณ์เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาจึงคิดว่ามันน่าจะดีสำหรับเธอเช่นกัน หลังจากได้ยินที่วาห์นบอกว่าจะซื้อเสื้อผ้าต่อ ดวงตาของลิลลี่ก็เร่มเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง
ทั้งคู่เข้าร้านที่ชำนาญด้านการตัดเย็บชุดสวมใส่ของนักผจญภัยโดยเฉพาะ มีหุ่นโชว์อยู่หลายตัวที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าหลากหลายประเภทที่เหมาะกับนักผจญภัยในแบบต่างๆ
ลิลลี่ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงเพื่อลองชุดหลายแบบขณะที่วาห์นนั่งจนเหน็บกินและคอยออกความเห็นให้กับแต่ละชุด ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเลือกกางเกงขาสั้นสีเข้มและเสื้อแขนกุดสีดำแบบโชว์สะดือ แถมยังเลือกถุงน่องยาวสีดำพร้อมกับลองเท้าบูทหนังทรงสูงประมาณครึ่งน่องเพื่อให้เข้ากับชุด สุดท้ายแล้วเธอก็ใส่เสื้อกั๊กสีแดงทันสมัยเพื่อเป็นการปิดท้าย
วาห์นคิดว่าชุดนี้เหมาะกับเธอมาก แต่ก็อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงเลือกเสื้อผ้าที่โชว์หน้าท้องด้วย หลังจากถามออกไป ลิลลี่ก็มีท่าทางเขินอายก่อนจะรีบไปส่งเสื้อผ้าให้กับช่างตัดเย็บเพื่อแก้ไขชุดเล็กน้อย หลังจากกลับมาแล้วเธอก็ถามกลับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“วาห์น นายชอบผู้หญิงที่โชว์หน้าท้องหรือแบบปกปิดร่างกายกว่ากันเหรอ?”
วาห์นครุ่นคิดคำตอบและตระหนักว่าเขาไม่ได้ชอบแบบไหนเป็นพิเศษ เขารู้สึกดีไปกับทุกคนที่สวมใส่ชุดแตกต่างกันและไม่เคยคิดว่าตัวเองชอบแบบไหนเป็นพิเศษ หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็นึกคำตอบออก
“ฉันว่าคนเราสมควรใส่อะไรก็ได้ที่ตัวเองสบายใจ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าผู้หญิงน่ารักโชว์ผิวของเธอออกหน่อยก็จะทำให้ฉันรู้สึกตะลึงไปบ้างเหมือนกัน”
แม้เธอจะไม่พอใจกับส่วนแรกของคำตอบเขาที่ดูเหมือนตอบไปส่งๆ แต่ลิลลี่ก็เริ่มยิ้มกว้างหลังจากได้ยินส่วนที่สอง ถึงเธอมักจะสวมชุดคลุมและผ้าคลุมหัวอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้ชอบใส่เสื้อผ้าที่เทอะทะแบบนั้นมากนัก นั่นเป็นเหตุผลหลักที่เธอไม่อยากใส่ชุดเกราะหนักถ้าเลี่ยงได้
—
ทั้งสองยังคงเดินต่อไปจนกระทั่งถึงช่วงเย็น วาห์นบอกกับลิลลี่หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงว่าเขามีธุระกับเฮเฟสตัสแฟมิเลีย ดังนั้นเขาจึงเดินไปส่งเธอที่โรงแรมและมุ่งหน้าต่อไปยังโรงหลอมของเฮเฟสตัส ลิลลี่ต้องรออยู่โรงแรมเพื่อรับไอเท็มที่สั่งไว้ แต่เธอก็ไม่วายและทำให้วาห์นสัญญาว่าต้องพาเธอไปทานมื้อเย็นในอนาคตเพื่อเป็นการชดเชย
—————