Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 66

ตอนที่ 66

วาห์นยังคงอุ้มนาซ่าไว้ขณะที่มุ่งหน้าออกจากดันเจี้ยน

มีหลายครั้งที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นและพยายามเข้ามาโจมตี แต่เขาก็ใช้ [จิตแห่งราชัน] ร่วมกับ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อทำร้ายดวงตาของพวกมันและเปิดทางเพื่อไปต่อ

มอนสเตอร์ที่พบได้บ่อยที่สุดในชั้นนี้คือฟร็อกชูตเตอร์ และการทำลายดวงตาก็ทำให้พวกมันหมดพิษสงไปเลยในขณะที่วาห์นวิ่งผ่านแบบสบายๆ

หลังจากวิ่งมาเกือบถึงบันได วาห์นก็เห็นว่าลิลลี่ยังคงเฝ้ารอเขาอยู่

เมื่อเธอเห็นเขาใกล้เข้ามาก็รู้สึกตื่นเต้นจนกระทั่งสายตาเลื่อนไปพบหญิงสาวในอ้อมแขนของวาห์น

ลิลลี่ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเธอรู้ว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายและเป็นคนที่วาห์นช่วยเอาไว้

สำหรับตอนนี้ เธอจะไปดูต้นทางรอบๆ เพื่อคอยระวังมอนสเตอร์ที่อาจออกมาขวางทางพวกเขา

ทางเชื่อมตรงบันไดนั้นโดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นเขตปลอดภัย ดังนั้นวาห์นจึงให้นาซ่านอนพักบนเสื่อที่ลิลลี่ปูไว้ให้

หลังวางเธอลงแล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเธอขาดวิ่นไปหมดจึงนำผ้าห่มออกมาห่มทับให้

อากาศในดันเจี้ยนนั้นหนาวเย็นเกือบตลอดและมันคงจะเป็นตลกร้ายหากเธอเกิดเป็นหวัดหลังจากเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น

พอลิลลี่เห็นว่าวาห์นประคบประหงมผู้หญิงคนนี้มากจนออกนอกหน้า เธอจึงตัดสินใจทำหน้าที่แทนเขาและเข้ามาดูแลแทน

เธอบอกวาห์นว่าสำหรับผู้หญิงนั้น ให้ผู้หญิงด้วยกันดูแลจะดีกว่า

สำหรับตอนนี้ เธอบอกให้เขาพักผ่อนจนกว่านาซ่าจะตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองแล้วพวกเขาจึงค่อยเดินทางออกจากดันเจี้ยน

วาห์นพยักหน้าและลงไปนั่งพิงผนัง

เขาเฝ้าดูในขณะที่ลิลลี่เริ่มตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาซ่า แต่พอลิลลี่เห็นสายตาของเขาก็นำผ้าออกมากั้นอีกชั้น

วาห์นได้ยินเสียงผ้าขยับไปมาและคิดว่าลิลลี่คงกำลังนำทักษะปฐมพยาบาลออกมาใช้

วาห์นรู้อยู่แก่ใจว่านาซ่าหายดีแล้วแต่ก็ยอมให้ลิลลี่ทำตามใจตัวเอง

ลิลลี่ถอดเสื้อผ้าของเชียนโธรปสาวออกและเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด

เธอสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็หาบาดแผลไม่เจอเลย

นี่หมายความว่าวาห์นคงใช้เทคนิคเดียวกับที่เขาใช้ช่วยเธอเมื่อตอนครั้งแรกที่เจอกัน

เนื่องจากเขาสามารถรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้โดยไม่ต้องใช้สกิลนั้น นั่นก็หมายความว่าหญิงสาวได้รับบาดเจ็บสาหัสมากและเขาต้องประสบกับความเจ็บปวดมากมายเพื่อช่วยชีวิตเธอ

ลิลลี่ถอนหายใจและเริ่มตรวจสอบร่างของหญิงสาวที่นอกเหนือไปจากเรื่องการปฐมพยาบาล

เธอพบว่าหญิงสาวคนนี้น่ารักและมีรูปร่างดีมาก

จากการที่วาห์นช่วยชีวิตเธอไว้ มีโอกาสสูงมากที่เธอจะกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต

ดูๆ ไปแล้วผู้หญิงคนนี้มีทั้งหูสุนัขที่ตกเล็กน้อยกับหางนุ่มฟู

เมื่อพิจารณาถึงความชอบของส่วนตัววาห์นแล้ว ลิลลี่ก็อดกังวลถึงอนาคตไม่ได้

เธอถอนหายใจลึกกว่าเดิมก่อนจะขอให้วาห์นส่งเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้

เนื่องจากเสื้อผ้าของลิลลี่นั้นมีขนาดเล็กเกินไป เธอจึงต้องให้หญิงสาวสวมเสื้อของวาห์นแทน

ลิลลี่กัดฟันให้กับ ‘ความโชคดี’ ของหญิงสาวและแทบอยากจะสวมมันไว้เอง

หลังจากดูว่าเธอแต่งตัวมิดชิดแล้ว ลิลลี่ก็นำผ้าที่กั้นไว้ออกและเดินไปนั่งลงบนตักของวาห์น

วาห์นรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะเขาเริ่มคุ้นเคยกับการกระทำของเธอแล้วจึงปล่อยให้เธอทำตามใจชอบไปก่อน

เขารู้ว่าเธอคงจะงอนและรู้สึกหึงหวงหญิงสาวที่เขาเพิ่งไปช่วยมา

แม้เขาอยากจะแก้นิสัยนี้ของเธอมากแต่พอเห็นท่าทางของสาวร่างเล็กตรงหน้าบวกกับการที่เธอรอเขาอย่างอดทน เขาจึงตัดสินใจให้รางวัลแทนด้วยการเล่นกับหูแมวของเธอ

ลิลลี่คาดเดาการกระทำของวาห์นไว้อยู่แล้วและหายงอนทันที

เธอเอนกายไปพิงหน้าอกของเขาและครางเบาๆ ให้กับรางวัลที่ได้รับ

เวลาแบบนี้เป็นช่วงที่เธอมีความสุขที่สุด ราวกับเป็นการเติมพลังงานให้เธอรีบแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ

หลังได้อยู่กับวาห์นมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เธอก็เริ่มตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้มองข้ามไป

แม้ว่าเธอจะสร้างกำแพงล้อมรอบหัวใจและหลีกเลี่ยงผู้คน แต่ดูเหมือนวาห์นจะไม่สนใจการมีอยู่ของผู้คนเลยด้วยซ้ำ

หากไม่ถูกเข้าหาก่อน วาห์นก็แทบจะไม่สื่อสารกับใครก่อนเลยจนกว่าจะได้ ‘ประเมิน’ คนๆ นั้นแล้ว

ใช่แล้ว การ ‘ประเมิน’ เป็นคำที่สึบากิใช้เมื่อเธอกับลิลลี่คุยเรื่องวาห์น

สึบากิสังเกตเห็นว่าวาห์นชอบเฝ้าสังเกตคนที่เขารู้จักและพยายามตอบสนองตามข้อมูลที่เขาได้มา

การกระทำของเขานั้นเป็นอะไรที่ผิดธรรมชาติ และแม้บางครั้งเขาจะแสดงออกมาให้เห็นว่าเข้าใจหลายๆ เรื่องแต่นิสัยนี้ก็ยังมีแฝงอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย

นี่คือเหตุผลที่เธอเชิญเวล์ฟมาในคืนนั้นเพราะเธอต้องการดูว่าวาห์นจะจัดการกับ ‘ผู้ชาย’ ที่มีอายุพอๆ กับตัวเองยังไง

ในช่วงที่วาห์นไม่อยู่ด้วย สึบากิจะคุยกับลิลลี่อยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับสุขภาพจิตของวาห์นและเรื่องสำคัญอื่นๆ

เธอเล่าเรื่องที่ตัวเธอเองและเฮเฟสตัสสงสัยให้ฟังและอยากให้ลิลลี่เข้าใจว่าวาห์นกำลังประสบกับอะไรอยู่

เนื่องจากวาห์นปฏิบัติต่อลิลลี่อย่างคนที่เขาต้องการปกป้อง สึบากิจึงกำชับให้ลิลลี่ควบคุมตัวเองจนกว่าวาห์นจะสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมปกติได้

เพื่อพิสูจน์ความรุนแรงของปัญหา เธอลากลิลลี่ไปในออนเซ็นหลังจากที่วาห์นเพิ่งเข้าไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเพศตรงข้ามเท่าไหร่นัก

ลิลลี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของวาห์นและความเฉยเมยต่อสภาพเปลือยเปล่าของตัวเอง

แม้ตอนนั้นจะ ‘เสียสมาธิ’ ไปหน่อย แต่เธอก็เข้าใจได้ทันทีหลังถูกสึบากิมาจับถอดเสื้อผ้าในตอนหลัง

ลิลลี่รู้สึกเศร้าเสียใจได้รู้ความจริงและคิดว่าตัวเองทำผิดต่อวาห์นไว้มาก แต่สึบากิกลับไม่สนใจและเริ่มหยอกล้อเธอเล่นแทน

หลังจากทรมานลิลลี่ต่ออีกสองสามนาที ในที่สุดสึบากิก็ปล่อยเธอก่อนจะอธิบายต่อ

สึบากิกลับสนับสนุนให้ลิลลี่ทำให้วาห์นมาเอาอกเอาใจเธอ แต่เงื่อนไขก็คือจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเธอพยายามอย่างหนักหรือทำอะไรบางอย่างสำเร็จเท่านั้น

เพราะวาห์นต้องการปกป้องลิลลี่และช่วยให้เธอแข็งแกร่งขึ้น เขาจะมองว่าการให้ ‘รางวัล’ นี้เป็นเรื่องเหมาะสมและค่อยๆ พัฒนาการรับรู้ถึงความรู้สึกคนอื่นไปเรื่อยๆ

ลิลลี่เองก็เห็นด้วยกับวิธีนี้และเริ่มพยายามอย่างหนักในวันถัดมา

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ลิลลี่ก็ถอนหายใจข้างในก่อนที่จะแยกตัวจากวาห์น

เธอรู้ว่าหากปล่อยไว้นานเกินไปมันจะกลายเป็นผลเสียแทน

วาห์นไม่ได้รั้งเธอให้นั่งต่อ เขาเพียงแค่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้เธอก่อนจะหันกลับไปดูนาซ่า

ลิลลี่มานั่งถัดจากเขาและรอให้เจ้าหญิงนิทราตื่นขึ้นมา

ในขณะที่พวกเขานั่งรอ วาห์นก็ถามถึงกลุ่มนักผจญภัยห้าคน

ลิลลี่ยืนยันข้อสงสัยของเขาและเล่าเรื่องตอนที่พวกเขามาถามสั้นๆ ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้

เพราะเธอไม่หันมาสนใจแม้แต่น้อย พวกเขาก็เลยมุ่งหน้าต่อไป

เอลฟ์ในปาร์ตี้ดูเหมือนจะไม่พอใจที่โดนเธอเมิน แต่ชายที่ชื่อโบอัซก็เข้ามาตีหัวเสียก่อนจะลากเขาออกไป

พอได้ยินว่าเอล์ฟงี่เง่านั่นยังคงหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว วาห์นก็เริ่มสงสัยจริงๆ แล้วว่าสติของเอลฟ์คนนั้นยังดีอยู่หรือเปล่า

เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘มีคนที่หยิ่งผยองถึงขนาดที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในหลุมก็ยังอุตส่าห์ไปขุดให้มันลึกกว่าเดิมอยู่บนโลกนี้จริงๆ ด้วยเหรอ?’

เขาส่ายหัวและสาบานในใจว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้เฮเฟสตัสทราบทันทีที่พวกเขาออกไปจากที่นี่

ถึงวาห์นจะไม่อยากให้ทั้งแฟมิเลียโดนหางเลขไปด้วย แต่เขาก็ยังอยากได้ความยุติธรรมจากเรื่องที่เกิดขึ้น

อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา นาซ่าก็ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน

เธอมองไปรอบๆ ขณะตรวจสอบเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคยบนร่างของเธอ

เธอมองเห็นวาห์น เด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอไว้และกำลังยิ้มให้อย่างอ่อนโยนขณะมองมาที่เธอ

ข้างๆ เขานั้น นาซ่ายังเห็นสาวมนุษย์แมวตัวเล็กที่มีสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของนาซ่าขณะที่เธอเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจนรู้สึกเขินเล็กน้อยและก้มหัวต่ำลง

เมื่อเห็นเสื้อสะอาดสะอ้านบนตัวของเธอ เธอก็อดถามออกมาไม่ได้

“นายเป็นคนเปลี่ยนชุดให้ฉันเหรอ? เสื้อตัวนี้ของนายใช่ไหม?”

มนุษย์แมวร่างเล็กกลับเป็นคนตอบให้แทน

“วาห์นไม่ได้เปลี่ยนให้เธอหรอก นั่นฝีมือฉันเอง

ฉันลิลลี่ เป็นคู่หูของวาห์น แล้วก็อีกอย่างนะ เสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นชุดสำรองของวาห์นเพราะเสื้อผ้าของฉันเล็กเกินไป เราก็เลยต้องทำแบบนั้นน่ะ”

เมื่อได้ยินว่าเสื้อผ้าชุดนี้เป็นของเด็กหนุ่ม นาซ่าซึ่งยังคงก้มหน้าอยู่เธอก็สั่นจมูกเล็กน้อย

ในฐานะที่เป็นเชียนโธรป ความรู้สึกในการดมกลิ่นของเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมากและเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นของ ‘ผู้ชาย’ จากเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน

การกระทำของเธอไม่อาจรอดพ้นสายตาของลิลลี่ไปได้

เธอจึงเริ่มคร่ำครวญอย่างหึงหวงและอยากพูดอะไรมากกว่านี้ แต่วาห์นกลับขัดจังหวะเธอด้วยการยืนขึ้นเสียก่อน

“เราควรจะออกไปจากดันเจี้ยนกันได้แล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากและฉันมั่นใจว่าแฟมีเลียของเราคงกำลังรออยู่

เธอน่าจะเดินเองได้ แต่ถ้ายังรู้สึกไม่สบายอยู่ จะให้ฉันอุ้มขึ้นไปส่งก็ได้นะ”

ตอนนี้ก็เกือบห้าทุ่มแล้วซึ่งเลยเวลาเคอร์ฟิวไปเกือบชั่วโมง

วาห์นรู้ว่าคงมีปัญหาตามมามากมายแน่หากพวกเขาเลื่อนเวลาเดินทางออกไปอีก แถมยังเริ่มสัมผัสได้ถึงความอึดอัดเล็กน้อยจาก ‘เพลิงนิรันดร์’ ที่ติดกับหัวใจของเขา

สองสาวพยักหน้ารับและช่วยกันทำความสะอาดที่พักแรมชั่วคราว

สภาพของนาซ่าดีขึ้นมากหลังจากได้ร้องไห้และนอนพักผ่อน

แม้ว่าเธอจะยังต้องใช้เวลาเพื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่วาห์นก็หวังว่าสักวันเธอจะสามารถก้าวผ่านมันไปและหันมามองอนาคตแทน

หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มการเดินทางกลับขึ้นสู่พื้นผิว

หลังจากมาถึงชั้นแรกของหอคอยบาเบล ทั้งสามก็ถูกห้อมล้อมไปกลุ่มคนจำนวนมากทันที

วาห์นมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายในฝูงชนรวมไปถึงสึบากิและมิอาค

เฮเฟสตัสไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยแต่วาห์นมารู้ในภายหลังว่าตอนนั้นเธอกำลังอาละวาดอยู่ที่ไทคีแฟมิเลียและเรียกร้องให้เทพไทคีอธิบายมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เอล์ฟที่ชื่อเรย์นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวถูกตำหนิอย่างรุนแรงและถูกบังคับให้กล่าวคำสาบานว่าจะต้องชำระค่าเสียหายให้กับวาห์นเป็นจำนวนเงิน 30,000,000 วาลิส

เขาคงต้องพยายามหาเงินมาชำระหนี้เป็นเวลาหลายปีเว้นแต่ว่าวาห์นจะยอมยกโทษให้

สึบากิมีสีหน้าบึ้งตึงมาตลอดแต่ก็เริ่มยิ้มออกมาเมื่อเห็นวาห์นและลิลลี่

“ฉันดีใจมากที่เห็นพวกเธอไม่เป็นไร ทำได้ดีมากเลย!”

สึบากิสวมกอดพวกเขาทั้งสองอยู่นานหลายวินาทีซึ่งทำให้ทั้งวาห์นและลิลลี่รู้สึกอบอุ่นมาก

จริงๆ แล้วพวกเขาคิดว่าเธอคงจะโมโหมากที่ไม่ได้กลับมาก่อนเวลาเคอร์ฟิว

นาซ่าได้รับการต้อนรับจากคนอีกกลุ่มและกำลังสวมกอดกันขณะที่สมาชิกหลายคนถึงกับร้องไห้ออกมา

น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ตั้งแต่ตอนลืมตาตื่นขึ้นเริ่มไหลออกมาอีกครั้งหลังได้พบพวกพ้อง

มิอาคปลอบโยนเธอจากด้านข้างและฟังเธอเล่าเหตุการณ์ด้วยสีหน้าโกรธเคืองปนเศร้าหมอง

วันนี้แฟมิเลียของพวกเขาสูญเสียอย่างหนักและหากวาห์นไม่ได้ช่วยนาซ่าเอาไว้ พวกเขาอาจไม่มีวันรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง

เทพมิอาคปล่อยให้เด็กคนอื่นๆ เข้ามาดูแลนาซ่าและเดินเข้ามาหา ‘ทีมกู้ภัย’ ของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย

เขาต้องการพบกับวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตเด็กที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่ง

เมื่อสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างสึบากิ มิอาคก็ต้องรู้สึกแปลกใจ

เด็กหนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่าที่เขาคาดไว้มากและแฝงไปด้วยออร่าอันทรงพลังที่หลับใหลอยู่ภายในร่างของเขา

เขายังมองเห็นเงาแห่งความยิ่งใหญ่ที่กำลังหยั่งรากลึกลงไปในดวงวิญญาณของวาห์นอย่างช้าๆ

วาห์นเองก็สังเกตเห็นเทพมิอาคที่กำลังเดินเข้ามาหา

ในขณะที่มิอาคกำลังประเมินเขาอยู่ วาห์นเองก็ทำเช่นเดียวกัน

เขาสังเกตเห็นว่าเทพองค์นี้มีใบหน้าที่หล่อเหลามากพร้อมกับมีผมยาวสีน้ำเงินสละสลวยและดวงตาสีฟ้าที่เข้าคู่กัน

ออร่าที่มาจากร่างของเขานั้นหนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ

มันเป็นส่วนผสมของสีเหลืองและสีม่วงเข้มที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายของเขาอย่างชัดเจน

จากประสบการณ์ของวาห์น สีนี้แสดงให้เห็นว่ามิอาคน่าจะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นและไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา

ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่สึบากิจะพูดขึ้นมาดังๆ

“เฮ้ เทพมิอาค! ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นหนี้เด็กๆ ของเราครั้งใหญ่เลยนะ อย่าลืมให้ส่วนลดกับพวกเขาในอนาคตด้วยล่ะ!”

สึบากิเริ่มหัวเราะขณะตบหลังวาห์น

(TL: นอกจากเทพของแฟมิเลียตัวเองแล้ว คนส่วนใหญ่จะไม่ใช้ ‘ท่าน’ เพื่อเรียกเทพองค์อื่น ผู้แต่งเขียนไว้ประมาณนี้แต่ผู้แปลอาจจะนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ทุกจุด ต้องขอดูตามความเหมาะสมของสำนวนอีกทีก่อนนะครับ )

มิอาคพยักหน้าให้กับสึบากิก่อนจะโค้งให้วาห์นเล็กน้อย

“ขอบใจมากนะ วาห์น แฟมิเลียของฉันเป็นหนี้บุญคุณเธออย่างใหญ่หลวงเลย ถ้าเธอต้องการอะไร โปรดเรียกใช้เราได้ทันที

ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เราให้ได้ ฉัน เทพมิอาค ขอสาบานว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของเธอในครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำประกาศจากเทพของตน สมาชิกทุกคนของมิอาคแฟมิเลียก็โค้งคำนับให้กับวาห์นเช่นกัน

ตราบใดที่มันไม่ขัดกับหลักการของพวกเขา ทุกคนในที่นี้จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตอบแทนเรื่องนี้ในอนาคต

วาห์นพยักหน้าและโค้งคำนับให้ขณะที่สึบากิหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างๆ เขา

ในขณะที่เขาโค้งคำนับอยู่ เธอก็ยังคงตบหลังต่อไปด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นจนลิลลี่มองอย่างเหงื่อตก

เธอดีใจกับวาห์นมากแต่พอเห็นสึบากิเป็นแบบนี้แล้วก็ทำเอาเธอรู้สึกล้าขึ้นมาเลย

คืนนี้อาจยังไม่จบง่ายๆ จนกว่าทุกคนจะเมากันไปข้างแน่ๆ

(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘หล่อทั้งหน้า หล่อทั้งสายตา ’, ‘การตอบแทนจากมิอาค’, ‘สัญญาลูกผู้ชาย’)

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท