Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 69

ตอนที่ 69

นาซ่าเริ่มอาศัยอยู่ที่บ้านของสึบากิตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

เธอได้ห้องที่อยู่ใกล้กับลิลลี่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางปีกตะวันออก ห้องของสึบากินั้นตั้งอยู่ไกลสุดจากห้องโถงและเชื่อมต่อกับทางเดินเพื่อไปยังปีกตะวันตกและห้องอาบน้ำ

ในคืนแรกที่นาซ่ามาอยู่ด้วย สึบากิก็จัดการให้ทั้งเธอและลิลลี่อาบน้ำร่วมกันเพื่อที่พวกเธอจะได้พูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัว

หลังจากนั้น นาซ่าก็เริ่มเปลี่ยนนิสัยและแสดงท่าทางเชิงรุกในการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกคนมากขึ้น

แม้จะยังเขินอายตอนอยู่ใกล้วาห์น แต่เธอก็มักจะพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องยาและส่วนผสมต่างๆ

เธอประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าวาห์น ‘เรียนรู้’ ได้รวดเร็วขนาดไหนและถึงกับตกใจเมื่อเขาสามารถดัดแปลงกระบวนการทำยาหลังจากได้ฟังไปแค่ครั้งเดียว

ตอนที่ลิลลี่และวาห์นไม่ได้ฝึกฝนหรือเข้าไปในดันเจี้ยน นาซ่าก็มักจะไปหาวาห์นเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำอยู่เสมอ

เธอถึงขั้นที่ไปขอให้สึบากิยอมให้เธอสร้างห้องทำงานของตัวเองขึ้นมาและเริ่มผลิตโพชั่นที่ประยุกต์จาก ‘ทฤษฎี’ ที่วาห์นแนะนำ

ก่อนหน้านี้ นาซ่าไม่มีปัญหากับการสร้างโพชั่นระดับต่ำแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสร้างโพชั่นระดับกลาง

ทว่าตอนนี้อัตราความเสร็จในการสร้างของเธอกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การแนะนำของวาห์น แถมเธอยังเริ่มสงสัยว่าวาห์นเคยมีประสบการณ์ในการผสมวัตถุดิบมาก่อน

แต่หลังจากได้เห็นเขาพยายามผสมโพชั่น เธอก็โยนความคิดนั้นออกไปนอกหน้าต่างทันที

มันต่างจากการตีเหล็กที่วาห์นสามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยการสนับสนุนของ [จิตแห่งราชัน] และ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์]

ความพยายามในการผสมโพชั่นของวาห์นนั้นดูจะไม่ค่อยราบรื่นนัก

แม้ว่าเขาจะมีความรู้ทางทฤษฎีมากพอที่จะทำยาออกมาได้ แต่ก็พบกับปัญหาตอนที่ต้องใส่พลังของตัวเองเข้าไปสารละลาย

ความพยายามของเขาส่วนใหญ่จะจบลงด้วยทำให้ขวดบรรจุยาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลังจากที่เริ่มกระบวนการ

นาซ่าไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย

ขณะที่เธอเฝ้าสังเกตการฝึกฝนของเขา นาซ่าก็ดูออกว่าวาห์นชำนาญเรื่องควบคุมมานาของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ สารละลายมักจะระเบิดขึ้นทุกครั้งที่เขาใส่พลังเข้าไป

มันเป็นเหมือนกับว่าส่วนผสมจะทำปฏิกิริยาจนเกิดการระเบิดทันทีที่เขาใส่ ‘มานา’ เข้าไปในสารละลาย

เธอตั้งใจว่าจะหาสาเหตุให้พบเนื่องจากมันเป็นเรื่องน่าเสียดายหากใครบางคนมีพรสวรรค์อยู่มากแต่กลับไม่อาจทำได้แม้กระทั่งโพชั่นพื้นฐาน

ขณะที่นาซ่ากำลังยุ่งกับการพยายามไขความลับว่าวาห์นสามารถทำให้ขวดแตกได้อย่างไร

ในชั้นที่ 30 ของหอคอยบาเบล เหล่าทวยเทพหลายองค์จากแฟมิเลียต่างๆ ในเมืองก็เริ่มมารวมตัวกัน

เนื่องจากนี่เป็นวันแรกของการประชุมในทุกๆ 3 เดือนที่เรียกกันว่า ‘เดนาตัส’

ในการประชุมนี้ เหล่าเทพจะทำการตัดสินใจในเรื่องที่ส่งผลต่อโอราริโอ้และอาจเป็นการชี้เป็นชี้ตายให้กับชีวิตของนักผจญภัยและประชาชนอันนับไม่ถ้วน

ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยเทพที่ดูงดงามและหล่อเหลามากมายที่สวมใส่ชุดทางการ

พวกเขาต่างสนทนาด้วยเสียงอันดังขณะที่พูดชมเชยและโอ้อวดเหล่า ‘เด็ก’ ที่ตนเองโปรดปราน

บางคนถึงกับวางเดิมพันและพูดคุยเกี่ยวกับ ‘มอนสเตอร์ฟีเรีย’ ที่กำลังจะมาถึงก่อนการประชุม ‘เดนาตัส’ ครั้งหน้า

ภายในฝูงชน มีร่างอันอ่อนช้อยและน่าเย้ายวนที่ทำให้หัวของเหล่าเทพและเทพธิดาต่างต้องหันไปมอง

มีเทพธิดามากมายที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ ในขณะเดียวกันเทพส่วนหนึ่งก็ไม่อาจละสายตาจากร่างนั่นได้เลย

ร่างๆ นั้น ราวกับไม่สนใจสายตาของฝูงชนที่มองมาและเดินไปยังที่ๆ เทพธิดาผู้มีเรือนผมสีแดงกำลังยืนอยู่

“อ้าว เฮเฟสตัส หายากนะเนี่ยที่เห็นเธอมาตั้งแต่วันแรก”

ร่างนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับท่าทางเย้ายวนเล็กน้อยซึ่งทำให้เฮเฟสตัสหน้าตาบูดบึ้งก่อนจะหยิบไวน์แก้วใหม่จากโต๊ะข้างๆ

“เฟรย่า ให้ฉันช่วยอะไรเทพธิดาแห่งแฟมิเลียอันดับสองดีล่ะ”

เฟรย่าหัวเราะคิกคักพร้อมกับบังริมฝีปากของตนด้วยมือที่สวมถุงมือไหมไว้

“น่าผิดหวังจริงๆ นั่นแหละ น่าเสียดายที่ความรักในคนมีพรสวรรค์กลับมากีดกันไม่ให้ฉันเคลื่อนไหวหรือขยายแฟมิเลียออกไปได้อย่างอิสระ พอพูดถึงเรื่องคนมีพรสวรรค์ ฉันได้ยินมาว่าแฟมิเลียของเธอได้ ‘เด็ก’ ที่มีแววมานี่?”

พอได้ยินเฟรย่าพูดถึงวาห์น เฮเฟสตัสก็ขมวดคิ้วและยกไวน์ขึ้นมาจิบ

“ก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”

เฮเฟสตัสรู้ว่าเฟรย่าเป็นเทพธิดาแบบไหนและจะไม่มีทางยอมให้เธอได้เข้ามายุ่งกับคนที่ตนตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้อง

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเฟรย่าเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย แต่หากไม่มีใครตั้งใจมองดีๆ ก็ยากที่จะสังเกตเห็น

“เย็นชาจังเลย คนมีพรสวรรค์นั้นเปรียบเสมือนสมบัติของทุกคน เธอคงจะไม่เก็บมันไว้คนเดียวหรอกนะ ทำไมเธอถึงไม่ยอมให้เขาเติบโตอย่างอิสระและตัดสินใจด้วยตัวเองล่ะ?”

เมื่อเห็นว่าเฮเฟสตัสแสดงความเป็นศัตรูขนาดไหน ความสนใจของเธอที่มีต่อเด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เฮเฟสตัสเห็นแววตาของเฟรย่าจึงเดินเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงไม่กี่นิ้ว

“ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ เฟรย่า หากเธอพยายามเข้ามายุ่งกับเด็กคนนั้น ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เธอชดใช้อย่างหนัก เด็กคนนั้นไม่สมควรต้องมาทรมานจาก ‘ความรัก’ ของเธอ”

เฮเฟสตัสจ้องตรงเข้าในดวงตาของเฟรย่าขณะที่ค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ

มันไม่มีความหมายแฝงใดๆ ทั้งสิ้นและหากเฟรย่าอยากลองดี เธอก็จะได้รู้ว่าอำนาจของแฟมิเลียที่มั่งคั่งที่สุดมันมีมากมายขนาดไหน

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟรย่าเริ่มจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย

คิ้วได้รูปของเธอผิดรูปไปบ้างเนื่องจากการถูกโจมตีและจากความโกรธที่ได้รับมา

“ดูท่าเธอจะใส่ใจกับเด็กเพียงคนเดียวมากไปหน่อยนะ เฮเฟสตัส เธอจะให้เขาเติบโตขึ้นได้ยังไงหากเธอปกป้องเขาราวกับไข่ในหิน?”

เฟรย่าไม่เข้าใจว่าทำไมเฮเฟสตัสผู้ที่ปกติจะเยือกเย็นและไม่สุงสิงกับใครถึงกังวลเรื่องเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ขนาดนี้

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟรย่า ‘ทาบทาม’ เด็กที่มีพรสวรรค์จากเฮเฟสตัสแฟมิเลียโดยที่เธอไม่เคยว่าอะไรสักคำ

ทันใดนั้น ความคิดแสนตลกก็แวบผ่านเข้าในจิตใจของเธอ

“นี่เธอ… เธอตกหลุมรักเด็กนั่นแล้วใช่ไหม?”

คิ้วขมวดบนใบหน้าของเฟรย่าหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความสามารถถึงขนาดปลุกความต้องการที่จะปกป้องจากคนอย่างเฮเฟสตัสได้ บางทีการเปิดสงครามเพื่อแย่งชิงตัวเขามาอาจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าก็ได้นะ

เฮเฟสตัสเห็นว่าคำขู่ของเธอไม่ได้ผลและเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาในใจเล็กน้อยแล้ว

แต่เมื่อเห็นเฟรย่ากำลังทำหน้า ‘ครุ่นคิด’ ความกังวลทั้งหมดของเธอก็หายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยโทสะล้วนๆ

“หลังจากนี้แฟมิเลียของเธอเชิญไปหาอุปกรณ์สวมใส่ที่อื่นก็แล้วกัน ฉันจะไม่ยอมให้ช่างตีเหล็กของฉันตีอุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวให้กับผู้ติดตามของเทพต่ำช้า ฉันจะให้พวกเขาแต่ละคนสาบานโดยให้ทางกิลด์เป็นพยาน หากมีมีดแม้แต่เล่มเดียวตกอยู่ในมือของเด็กๆ จากแฟมิเลียเธอ ฉันจะถอนฟาลน่าที่อยู่ในตัวช่างคนนั้นออกและเรียกร้องค่าชดใช้จากเธอ”

เฟรย่าถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำขู่นั่น

แม้ว่าเธอจะสามารถทำสัญญากับกับช่างตีเหล็กคนอื่นภายในเมืองได้ก็ตาม แต่จำนวนของช่างพวกนั้นรวมกันก็คงไม่อาจดูแลคนทั้งแฟมิเลียของเธอได้หมด

หากปราศจากผู้เชี่ยวชาญของทางเฮเฟสตัสแฟมิเลีย เฟรย่าก็ต้องมาปวดหัวกับเรื่องหาวิธีดูแล ‘เด็กๆ’ ของเธอไปนานเลยทีเดียว

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเฮเฟสตัส เฟรย่าก็เห็นว่าเธอเอาจริงแน่

ดูเหมือนว่าการเข้าไปยุ่งกับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่เฮเฟสตัสโปรดปราน ก็คล้ายกับการไปเล่นกับไฟ…

“ก็ได้ เธอต้องการอะไร? ฉันมั่นใจว่าเธอคงมีเงื่อนไขอยู่ในใจแล้วใช่ไหม?”

เฟรย่ากัดฟันขณะที่พูดออกมา บางคนที่เฝ้ามองจากด้านข้างเริ่มเหงื่อตกหลังจากมองเห็นสีหน้า ‘มืดมน’ ของเธอ

หาได้ยากมากที่จะมีคนไปหาเรื่องเฟรย่าตรงๆ

“เธอจะต้องสาบานต่อหน้าโอรานอสว่าต่อไปเธอจะอยู่ให้ห่างจากวาห์น ฉันจะไม่สนใจหากเขาเข้าหาเธอด้วยตัวเอง แต่หากฉันพบว่าเขาตกหลุมพรางที่เป็นแผนของเธอ ฉันจะให้เธอยุบแฟมิเลียต่ำๆ ของเธอซะ”

เฮเฟสตัสบอกเงื่อนไขของตนอย่างชัดถ้อยชัดคำขณะที่ไม่เหลือช่องให้เจรจากันเลย

เฟรย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าหากฉันบังเอิญเดินชนกับเขาบนถนน ฉันก็ต้องยุบแฟมิเลียทิ้งในทันทีเลยเหรอ? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า ‘เขาเข้าหาฉันเอง’ มันหมายความว่ายังไงกัน?”

เฮเฟสตัสอธิบายด้วยน้ำเสียงใจร้อน

“ฉันต่างไปจากเธอ เพราะฉันไม่เคยเป่าหูเด็กเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ถ้าสุดท้ายแล้ววาห์นออกจากแฟมิเลียของฉันหรือตั้งใจติดต่อกับเธอด้วยตัวเอง ก็ฉันจะไม่ห้ามเขา แต่กลับกัน ถ้าหากว่าเขามาหาเธอหลังจากได้พูดคุยกับเด็กของเธอหรือเป็นหนึ่งในแผนการของเธอ ฉันคงต้องเรียกร้องให้เธอตอบเรื่องนี้ต่อหน้าโอรานอส แล้วก็ขอให้รู้ไว้เลย ว่าฉันจะบอกให้วาห์นเข้าใจว่าที่จริงแล้วเธอเป็นเทพธิดาแบบไหนกันแน่”

ขณะที่ฟังเฮเฟสตัสพูด เฟรย่าก็ยิ่งขมวดคิ้วขึ้นเรื่อยๆ

เธอไม่ชอบเรื่องที่ทำให้เธอไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ และการที่เนื้ออันแสนโอชะหลุดจากมือของเธอไปนั้นเป็นอะไรที่รู้สึกแย่เอามากๆ

“ฉันตกลงที่จะให้คำสัตย์สาบาน รวมไปถึงประโยคที่ว่าฉันห้ามวางแผนล่อลวงเด็กของเธอด้วย แต่ว่านะ ฉันเองก็อยากให้เธอสาบานเหมือนกันว่าจะไม่ใส่ร้ายฉันก่อนที่ฉันและเด็กคนนั้นจะได้พบกัน ฉันจะไม่เข้าใกล้วาห์นที่แสนสำคัญของเธอ แต่ถ้าเกิดเขามาหาฉันเพราะโชคชะตาเล่นตลก มันก็คงจะไม่ยุติธรรมหากเธอนำเรื่องโกหกไปปั่นหัวเขาเสียก่อน”

เฮเฟสตัสไม่ค่อยแฮปปี้กับข้อตกลงนี้เท่าไหร่แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สิ่งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะปกป้องอนาคตของวาห์นจากเงื้อมมือของเฟรย่า

เธอคงทำได้เพียงเชื่อในตัววาห์นว่าจะมีความสามารถพอที่จะมองทะลุหน้ากากของเฟรย่าเมื่อเวลานั้นมาถึง

หลังจากนึกถึงการระวังตัวและความช่างสังเกตของวาห์นแล้ว เฮเฟสตัสก็พยักหน้า

“ก็ได้ เราตกลงกันได้แล้ว หลังจากเดนาตัสจบลง พวกเราแต่ละคนจะต้องให้คำสัตย์สาบาน”

เฟรย่าพยักหน้าก่อนจะคว้าแก้วไวน์ที่อยู่ใกล้ๆ และดื่มรวดเดียวหมด

หลังจากจ้องมองเฮเฟสตัสเล็กน้อย เธอก็หันไปทางอื่นขณะกลับมาสวมใส่รอยยิ้มและท่าทางที่ดูสง่างามเหมือนเช่นเคย

เธอกำลังมองหาเป้าหมายอื่นก่อนจะทิ้งเฮเฟสตัสผู้เป็นที่มาของความไม่พอใจไว้เบื้องหลัง

เฮเฟสตัสมองเฟรย่าเลื้อยจากไปก่อนจะดื่มไวน์รวดเดียวหมดเช่นกัน

ตอนนี้เป้าหมายแรกของเธอสำเร็จไปด้วยดี ต่อไปก็ต้องใส่ใจเรื่องการหาฉายาที่ดีให้กับวาห์น

เธอเริ่มมองหาเทพคนอื่นเพื่อดึงมาอยู่ฝั่งเธอแล้วก็เหลือบไปเห็นมิอาคที่กำลังคุยกับเทพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาเป็นเทพหน้าตาหล่อเหล่าที่มีผมและดวงตาสีดำพร้อมกับสวมชุดของตะวันออก

ดูแล้วน่าจะเป็นเทพองค์ใหม่ที่เพิ่งลงมาจากสวรรค์หรือเพิ่งย้ายมาที่โอราริโอ้ได้ไม่นาน

มิอาคสังเกตเห็นเฮเฟสตัสที่กำลังเดินเข้ามาใกล้และโค้งให้อย่างสุภาพ

“สวัสดี เฮเฟสตัส ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือที่เด็กของเธอหยิบยื่นให้ หากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้ก็เชิญบอกมาได้เลยนะ”

เฮเฟสตัสพยักหน้าให้เขาก่อนจะตอบ

“แฟมิเลียของฉันไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับมิอาคแฟมิเลียมาก่อน แถมยังได้รับการช่วยเหลือในอดีตมาแล้วด้วย ได้โปรดอย่าทำตัวห่างเหินเลย ลืมเรื่องบุญคุณไปและมาอยู่อย่างเท่าเทียมกันดีกว่า หากมีอะไรให้ช่วยจริงๆ ฉันเพียงแค่ขอให้เทพมิอาครักษาสัมพันธ์อันดีกับเด็กๆ ของฉันต่อไปในอนาคตก็พอแล้ว”

เทพผมสีดำจ้องมองการสนทนาตรงหน้าและเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรออกมา

“คุณก็คือเทพธิดาที่มิอาคเล่าให้ฟังนี่เอง เด็กของคุณชื่อวาห์นใช่ไหม? เขาดูเหมือนกับเหล่าวิญญาณวีรชนและมีนิสัยที่น่ายกย่องมาก ผมอยากมีโอกาสที่จะได้พบกับเด็กหนุ่มน่าชื่นชมแบบนี้สักครั้งและเชื่อว่าเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเหล่าเด็กๆ ของผม”

เฮเฟสตัสมองไปทางเทพหน้าใหม่และถามออกมา

“คุณคือ…?”

แม้ว่าเขาจะดูเป็นมิตร แต่เธอก็ไม่อยากให้วาห์นพบกับใครก็ตามที่เธอยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาน่าเชื่อถือแค่ไหน

เทพองค์นั้นโค้งให้กับเธอ

“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า ผมชื่อทาเคมิคาสึจิ และแฟมิเลียของผมก็เพิ่งจะย้ายมาจากดินแดนตะวันออกไกล เพรายังไม่ได้ทำความรู้จักกับคนอื่นมากนัก ผมจะรู้สึกขอบคุณมากหากได้รับคำแนะนำจากคุณ”

ทาเคมิคาสึจิแสดงท่าทางที่แฝงไปด้วยความเคารพของตนขณะที่เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ

เฮเฟสตัสรู้สึกว่าทาเคมิคาสึจิเป็นเทพที่คล้ายกับมิอาคมาก เนื่องจากทั้งคู่เป็นเทพที่น่าเคารพและมีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน

พอคิดว่าเขาคงจะไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับวาห์น เฮเฟสตัสเองก็เริ่มแนะนำตัวเอง

“สวัสดี ทาเคมิคาสึจิ ฉันเฮเฟสตัส เป็นเทพธิดาแห่งเฮเฟสตัสแฟมิเลีย หากแฟมิเลียของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์สวมใส่ในอนาคตก็ไม่ต้องเกรงใช้และเรียกใช้บริการของทางเราได้ตามสบาย สำหรับเรื่องเด็กๆ ของฉันหรือถ้าอยากเจาะจงหน่อยก็คือวาห์น เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าเขาต้องการพูดคุยกับเด็กในแฟมิเลียของคุณในอนาคตหรือเปล่า”

ทาเกะ (TL: ชื่อย่อของทาเคมิคาสึจิ) ยิ้มตอบหลังจากได้ยินที่เธอพูด

เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่เที่ยงธรรมแบบวาห์นจะต้องเข้ากับเด็กๆ ของตัวเองได้อย่างแน่นอน และเขาก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับเรื่องที่เฮเฟสตัสบอกว่าให้วาห์นเป็นคนตัดสินใจมากสักเท่าไหร่

“ขอบคุณสำหรับความเมตตานะ เทพเฮเฟสตัส ถ้าหากเธอต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยนะ ฉันเชื่อว่าแฟมิเลียของเราคงจะมีโอกาสได้ร่วมมือกันมากขึ้นในอนาคต!”

เฮเฟสตัสพยักหน้า

มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีเทพที่ต้องการเสาะหาผลประโยชน์จากเธอหลังจากสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้วในระดับหนึ่ง

แต่ว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ

เธอจะลองตัดสินใจผูกมิตรกับเทพองค์ใหม่นี้เพื่อการประชุมที่จะมาถึง

“ที่จริงแล้ว มีเรื่องๆ หนึ่งที่อยากให้พวกคุณช่วยพอดีเลย…”

(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘เฟรย่าถูกบังคับ พลิกล็อกสุดๆ!’, ‘เฮเฟสตัส เมียหลวงตัวจริง’, ‘หากเล่นกับไฟ เธออาจถูกเผา หากเล่นกับ ‘เทพธิดาแห่งการหลอม’ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าถูกเผาแน่ๆ’, ‘การพบกันของสองหนุ่มหน้าหล่อ’
—————

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท