วาห์นใช้เวลาหลายนาทีเพื่อปลอบเฮเฟสตัสที่กำลังร้องไห้
เมื่อเธอสงบลงแล้วก็เริ่มถามเขาในทันทีว่าใช้วิธีอะไรในการรักษาดวงตาของเธอที่แม้แต่พลังของเหล่าทวยเทพก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้
เขาอธิบายไปว่าตัวเองสามารถรักษาบาดแผลและรอยแผลเป็นได้โดยใช้สกิลที่มีชื่อว่า [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] บวกกับสกิลฟื้นฟูอื่นๆ ที่มี
สิ่งที่ไม่ได้บอกเธอก็คือเขาได้ผสานเลือดตัวเองเข้าไปในสกิลโดยใช้ ‘เพลิงนิรันดร์’ ทำให้มันระเหยออกมาเป็นไอ
วาห์นสงสัยว่าเลือดของตนน่าจะสามารถลบรอยแผลเป็นได้และดีใจมากที่พบว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นถูกต้อง
เฮเฟสตัสคิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เขาเล่ามา แต่ในตอนนี้ ความเชื่อใจในตัววาห์นนั้นมีมากกว่าความสงสัยของเธอเสียอีก
เธอรู้ว่าเขาจะบอกเธอเองเมื่อถึงเวลาสมควร
พอเห็นความเป็นห่วงและความเอาใจใส่ในแววตาของเขา เธอก็ฝังความกังวลไว้ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ และโผกอดวาห์นอย่างแนบชิด
เธอไม่เคยรู้สึกขอบคุณใครมากขนาดนี้ในตลอดช่วงเวลาหลายล้านปีตั้งแต่ที่เธอถือกำเนิดขึ้นมา
วาห์นกอดตอบและรู้สึกได้ถึงสัมผัสเชื่อมโยงที่ทั้งสองมีให้กันนั้นเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับที่ ‘เพลิงนิรันดร์’ ในใจของเขาสั่นไหวไปมาอย่างตื่นเต้น
ทั้งสองยังคงกอดกันไปอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเฮเฟสตัสผละตัวออกมาเล็กน้อยโดยที่ยังจับเขาอยู่
เนื่องจากเธอสูงกว่าวาห์นถึง 15 ซม. จึงสร้างความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกอดเด็กที่หนุ่มตัวเล็กกว่า เพราะใบหน้าของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหน้าอกเธอเท่านั้นเอง
เธอไม่ได้สนใจมากนักแต่พอรู้สึกถึงลมหายใจที่มาสัมผัสกับผิวกาย มันก็ทำให้หัวใจของเฮเฟสตัสเต้นแรงขึ้น
หลังจากรักษาระยะห่างเล็กน้อย เฮเฟสตัสก็จับจ้องไปที่วาห์นก่อนที่จะเอนตัวไปข้างหน้าและจุมพิตไปที่หน้าผากของเขา
“ฉันจะรอจนกว่านายจะทำตามที่สัญญาไว้ได้นะ”
เฮเฟสตัสยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่อย่าให้รอนานนักล่ะ”
จากนั้นเธอก็กอดเขาอย่างแนบแน่นก่อนจะปล่อยเด็กหนุ่มที่กำลังงุนงง
เขาลูบหัวตัวเองแบบเอ๋อๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและมุ่งหน้าออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
หัวใจของเขากำลังเต้นแรงมากและเขาต้องการเร่งการออกเดินทางเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในทันที
เฮเฟสตัสมองเขาจากไปและทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง
เธอวางศีรษะไว้บนโต๊ะทำงานและเริ่มเล่นแผนผังที่ทำค้างเอาไว้
เธอถอนหายใจก่อนจะโทษวาห์นในใจ
“แล้ววันนี้เราจะทำงานเสร็จไหมเนี่ย…”
เฮเฟสตัสยังคงวุ่นอยู่กับเอกสารไปมาก่อนจะรู้สึกเบื่อหน่าย
เธอเริ่มปิดตาลงและฟังเสียงจังหวะหัวใจของวาห์นและดื่มด่ำไปกับความรู้สึกตื่นเต้นของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันไร้ที่ติ
วาห์นวิ่งไปทางหอคอยบาเบลอย่างรวดเร็ว
ฝูงชนเปิดทางให้กับเขาผ่านขณะมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาใคร่รู้
จากมุมมองของพวกเขา พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและมีสีหน้ายิ้มแย้มกำลังวิ่งผ่านการจราจรในเมืองอย่างไม่สนใจสิ่งรอบตัว
สาวๆ บางคนสังเกตเห็นเด็กหนุ่มและรู้สึกคล้อยตามไปกับบรรยากาศที่วาห์นเปล่งออกมา
พวกเธอจึงส่งรอยยิ้มไปทางเขาและพยายามให้เขามาสนใจ
วาห์นพยักหน้าให้กับทุกคนที่สบสายตากับเขาแต่ก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่หยุดแม้ก้าวเดียว
เขามาถึงจัตุรัสด้านนอกหอคอยบาเบลเร็วกว่าครั้งไหนๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปที่หอคอยสูงเสียดฟ้า
ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว วาห์นเริ่มเดินเข้าไปข้างในก่อนจะมีความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
เขาหันกลับไปข้างหลังและเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้แวะไปหามิลานกับทีน่าเลย
เขาครุ่นคิดว่าควรจะกลับไปดีหรือไม่
แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วพร้อมกับมีแรงผลักดันมากมาย เขาจึงไม่อยากกับออกไปก่อนที่ยังไม่ได้เข้าไปในดันเจี้ยนสักชั้นเลย
วาห์นส่ายหัวและเข้าสู่ดันเจี้ยนชั้นที่หนึ่งของหอคอยบาเบลพร้อมตัดสินใจว่าจะซื้อของขวัญให้กับทีน่าในภายหลัง
เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าเขาอยู่แถวนี่ดังนั้นเธอก็คงจะว่าอะไรไม่ได้
ทว่าตอนที่เขากำลังวิ่งตามถนนนั้น เด็กสาวมนุษย์แมวตัวน้อยที่มีเส้นผมสีน้ำตาลได้พยายามทักเขาแต่กลับไม่สำเร็จ
เธอจ้องมองมาอย่างคาดโทษก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปในเวลาเดียวกับที่เธอกระทืบเท้าเสียงดัง (TL: RIP วาห์น)
—
ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าเข้าสู่ดันเจี้ยน วาห์นได้เดินไปที่เคาน์เตอร์จัดหาข้อมูลและซื้อแผนที่กับหนังสือสรุปทั้งหมดตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นที่ 18
นอกจากนี้เขายังลงบันทึกข้อมูลตัวเองและพอพนักงานกิลด์สังเกตเห็นเขาเขียนฉายา ‘วัลแคน’ ลงไป พนักงานคนนั้นก็มองมาทางเขาแบบแปลกๆ ก่อนจะอวยพรให้เขาโชคดี
วาห์นกล่าวขอบคุณแต่หลังจากมองเห็นออร่าสีเทาที่ออกมาจากตัวของพนักงาน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
วาห์นไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้ชายหนุ่มไม่พอใจ แต่เขาก็เริ่มเตรียมใจสำหรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไว้แล้ว
เขารู้ว่าฉายาของตัวเองนั้นจะดึงดูดทั้งเจตนาดีแจะไม่ดีจากจากผู้คนรอบตัว
พนักงานคนนั้นอาจเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับชื่อเสียงที่พุ่งขึ้นมาของเขาหรืออาจจะอยู่ในกลุ่มที่วางแผนทำร้ายเขาในอนาคต
แต่โชคร้ายหน่อยที่วาห์นสามารถมองเห็นเจตนาของพวกเขาผ่านทางออร่าได้ ดังนั้นเขาจะไม่ถูกหลอกง่ายๆ เด็ดขาด
หลังจากเข้าสู่ชั้นแรกของดันเจี้ยน วาห์นก็สูดหายใจเอาอากาศที่อับชื้นและหนาวเหน็บเข้าไปแบบลึกๆ
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เขาได้เข้ามาสำรวจดันเจี้ยนคนเดียว
เขาอยากเห็นว่าตนเองจะไปได้ไกลขนาดไหนก่อนจะต้องหันหลังกลับ
ด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า วาห์นออกเดินก้าวแรกสู่ความพยายามครั้งที่สองเพื่อพิชิตดันเจี้ยนแห่งนี้
ระหว่างความพยายามในครั้งนี้ วาห์นต้องการสำเร็จภารกิจให้สำเร็จเนื่องจากเขาใกล้ถึงขีดจำกัด 100,000 OP ไปมากแล้ว
ตั้งแต่ที่เขารับภารกิจมาก็ปาเข้าไปเกือบสองเดือนและตอนนี้วาห์นได้ใช้ไปทั้งหมด 81,700 OP จาก 100,000 OP ที่กำหนด
ถ้าหากไม่ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จในเร็ววัน เขาจะต้องพบกับปัญหามากมายหากต้องการใช้ระบบร้านค้าในอนาคต
(TL: เตือนความจำให้กับคนที่ลืมภารกิจนี้ไปแล้วนะครับ)
———————————————————————————————
[เควส: การกำเนิดของผู้เป็นตำนาน]
ระดับ: SS
วีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงตามอาวุธที่เขาใช้ แม้แต่สไควร์ผู้ต่ำต้อยก็สามารถกลายเป็นตำนานได้เมื่อกวัดแกว่งดาบที่ถูกตีขึ้นโดยฝีมือของทวยเทพ เงื่อนไข: แลกเปลี่ยนแต้ม 1,000,000 OP กับระบบเพื่อรับอาวุธแบบสุ่มหนึ่งชิ้น
รางวัล: ‘ปลดล็อคระบบกาชา’ หมุนกาชาพรีเมี่ยม 10+1 ครั้ง, ค่ากรรม 1000 แต้ม
เงื่อนไขความล้มเหลว: เสียชีวิต, ระยะเวลาผ่านไป 12 เดือน เหลืออีก [302 วัน 16 ชั่วโมง 28 นาที], ใช้จ่ายแต้มเกิน 100,000 OP [81,700/100,000]
ผลจากความล้มเหลว: ไอเท็มทั้งหมดที่อยู่ภายในช่องเก็บของจะถูกทำลาย ไม่สามารถใช้ระบบร้านค้าได้ 12 เดือน ไอเท็มที่สวมใส่ปัจจุบันจะถูกสาปเป็นระยะเวลา 1 เดือน [ไอเท็มที่ถูกสาปจะไม่สามารถถอดออกได้]
———————————————————————————————
เนื่องจากวาห์นต้องการใช้ความพยายามครั้งนี้มาเป็นตัววัดการเติบโตของเขา เขาจึงตัดสินใจที่จะเคลียร์แต่ละชั้นลงมาตามลำดับแทนที่จะข้ามไปชั้นสุดท้ายที่เคยไปถึงล่าสุด
มีสกิลมากมายที่เขาต้องพัฒนาแบบลับๆ เนื่องจากไม่สามารถใช้มันตอนที่ลิลลี่อยู่ด้วยได้
เขาอยากจะทดลองใช้มันตอนนี้เพื่อตรวจสอบการทำงานก่อนที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของจริง
อันดับแรกคือสิ่งที่วาห์นค้นพบเมื่อไม่นานมานี้และเป็นการใช้งานร่วมกับแขตแดนของสกิล [จิตแห่งราชัน] โดยทำให้เขาสามารถเก็บไอเท็มที่มีร่องรอยของเวทมนตร์ได้โดยอัตโนมัติ
ตราบใดที่วาห์นสัมผัสได้ถึงสิ่งของในเขตแดน เขาก็สามารถเล็งออร่าไปที่วัตถุชิ้นนั้นและเก็บมันเข้าไปในช่องเก็บของได้
สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดของวิธีนี้ก็คือวาห์นสามารถเก็บอาวุธของตนได้ในทันที หากเขาเกิดทิ้งหรือโยนมันออกไปชั่วคราวในระหว่างการต่อสู้
วาห์นเดินทางผ่านสี่ชั้นแรกของดันเจี้ยนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แม้ว่าค่าสถานะของเขาจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่เข้าดันเจี้ยนครั้งแรก แต่สัมผัสการรับรู้และเทคนิคของเขานั้นได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างเห็นได้ชัด
หลังได้สู้กับปาร์ตี้ 5 คนนั้น วาห์นก็ขัดเกลาสกิล [ย่างก้าวไร้สัมผัส] ไปจนถึงระดับ C ทำให้รับมือเครื่องฝึกได้จนถึงระดับที่ 7
ตอนนี้การเคลื่อนไหวของเขาไม่อาจถูกยับยั้งได้โดยมอนสเตอร์และยังมุ่งหน้าสังหารพวกที่เข้ามาขวางทางได้อย่างหมดจด
หลังจากผ่านชั้นที่ 5 ในแบบเดียวกับชั้นก่อนๆ ในที่สุดวาห์นก็มาถึงชั้นที่ 6 ซึ่งเขาจะได้พบกับความท้าทายของจริงเป็นครั้งแรก
ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์ในชั้นนี้จะกลายมาเป็นอุปสรรคของเขา แต่เพราะวาห์นมีความแค้นกับเหล่าวอร์ชาโดว์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ของนาซ่า
เขาจึงต้องการกวาดล้างพวกมันให้มากที่สุดขณะทดสอบความสามารถลับที่สองที่เขาพัฒนาขึ้นหลังจากได้รับ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์]
วาห์นได้เรียนรู้จากหนังสือบทสรุปเกี่ยวกับ ‘ห้องแหล่งอาหาร’
แม้ว่าส่วนหลักจะไม่ปรากฏออกมาจนกว่าจะถึงชั้น 7 แต่มันก็มีพื้นที่ย่อยในชั้นที่ 6 ซึ่งวอร์ชาโดว์และมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ จะไปกระจุกรวมกัน
พวกมันจะรวมตัวกันเพื่อกัดกินสสารที่ถูกปล่อยออกมาจากโครงสร้างผลึกคริสตัล และที่นั่นถือเป็นเขตหวงห้ามสำหรับกลุ่มนักผจญภัยกลุ่มเล็กๆ
เป็นเรื่องพอดีมากที่สกิลใหม่ของเขานั้นเหมาะกับการต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่และวาห์นพบว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบสมมุติฐานของเขา
เขาไม่สนใจคำเตือนจากหนังสือและเดินตามทางแผนที่ชั้นหกจนมาถึงห้องแหล่งอาหาร
มีเสาคริสตัลมากมายแทงทะลุขึ้นมาจากพื้นของดันเจี้ยนซึ่งมีสีเขียวประหลาดคล้ายกับตัวผนัง
รอบด้านเสาคริสตัลเต็มไปด้วยมอนสเตอร์หลายสิบตัวรวมไปถึงวอร์ชาโดว์ทั้งหมด 9 ตัวที่กำลังล้อมรอบเสาคริสตัลพร้อมกับขับไล่มอนสเตอร์ชนิดอื่น
วาห์นดำเนินการตามแผนและลดเขตแดนของตนให้อยู่ในระยะ 10 เมตรซึ่งเป็นระยะสูงสุดที่เขาสามารถใช้ความสามารถใหม่ได้สำเร็จ
เขาเริ่มเปิดใช้งาน ‘เพลิงนิรันดร์’ ภายในใจขณะที่ร่างของเขาเริ่มสูบฉีดเลือดที่มีอัดแน่นไปด้วยพลังงาน
ธาตุไฟที่อยู่ในอากาศเริ่มควบแน่นและเขตแดนก็กลายเป็นสีทองสลัวที่ลุกไหม้จนผนังและพื้นดันเจี้ยนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ
วาห์นยังคงดูดซับธาตุไฟและไหลเวียนมันไปทั่วร่างของเขาโดยตรง
ตอนนี้ร่างของเขามีคุณสมบัติต้านทานไฟที่มีระดับพลังวิญญาต่ำกว่า 4 ทั้งหมด
วาห์นพบว่าร่างของเขายังดูดซับความร้อนได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่มีผลข้างเคียง
การค้นพบนี้เกิดขึ้นจากการที่เขาแช่อยู่ในออนเซ็นตอนกลางคืนขณะที่สึบากิก็พยายามจะลงมาแช่ร่วมกันกับเขา
ในตอนที่เอาเท้าจุ่มลงไป เธอก็รีบชักเท้ากลับเนื่องจากอุณหภูมิอันร้อนจัดที่วาห์นรู้สึกว่ามัน ‘พอดี’ กับตัวเอง
ก่อนที่สึบากิจะมาถึง เขาได้ใส่คริสตัลมากมายเพื่อทำให้น้ำอยู่ในสภาวะเกือบถึงจุดเดือด
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลยลองดูว่าจะสามารถไหลเวียนผล ‘การเผาไหม้’ ของ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เข้าไปในร่างของตัวเองได้หรือเปล่า
ขณะที่ยังคงดูดซับพลังงานธาตุไฟเข้ามาในร่าง เขาก็มองเห็นว่าเส้นเลือดในแขนของตนเริ่มเปล่งประกายออกมาจนทำให้นึกถึงเลือดสีทองจากชีวิตก่อน
แม้จะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังคงไหลเวียนพลังงานต่อไปเพื่อดูว่าจะประยุกต์ใช้ผลของมันได้มากน้อยแค่ไหน
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ผิวหนังของเขาก็เปล่งประกายราวกับโลหะที่ร้อนจัดพร้อมกับที่มือของเขากลายเป็นสีทองเจิดจรัสและเริ่มละลายถุงมือเหล็กที่ใส่อยู่
เมื่อเห็นฉากประหลาดนี้ วาห์นก็เริ่มรู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่กำลังแห้งกรอบและเริ่มมีควันขึ้น
เขาเริ่มซื้อเสื้อผ้าต้านทานไฟและเรียนรู้ที่จะไหลเวียนพลังงานนั้นไปที่แขนแทนที่จะเป็นทั่วทั้งร่างของตนตั้งแต่เริ่มฝึกวิชานี้
ตอนนี้เขาสามารถบีบอัดพลังได้มากขึ้นขณะยังคงรักษาเขตแดนรอบตัวไว้ได้อย่างสมบูรณ์ในระยะ 10 เมตร
ทุกสิ่งที่อยู่ภายในเขตแดนจะถูกเผาไหม้ขณะที่พลังงานธาตุไฟในอากาศจะชอนไชเข้าไปทั่วร่างของศัตรู
แน่นอนว่านั่นรวมถึงเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในที่เปราะบางต่างๆ เช่น ดวงตา จมูก และหูของมอนสเตอร์ด้วยเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ยังรอดชีวิตจากการเผาไหม้จะถูกจัดการด้วยการโจมตีและจากดาบของวาห์นที่มีคุณสมบัติเผาไหม้เช่นเดียวกัน
—
ในเวลานี้เอง เหล่ามอนสเตอร์ทั้งหลายเริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
พวกมันหันไปทางเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายไปด้วยแสงสีทองที่เริ่มทำให้ทุกอย่างสว่างไปหมด
ด้วยความโกรธที่ถูกรบกวนเวลาอาหาร มอนสเตอร์ทั้งหมดก็เริ่มพุ่งเข้าใส่ผู้บุกรุกอย่างรุนแรง
อย่างแรกที่มาถึงคือพวกวอร์ชาโดว์ที่เป็นเป้าหมายหลักของของวาห์น
พอพวกมันเข้ามาในพื้นที่เขตแดนก็เริ่มกรีดร้องออกมาและพยายามปกป้องคริสตัลที่อยู่ตรงส่วน ‘ดวงตา’
พวกมันพยายามใช้กรงเล็บเพื่อป้องกันจุดอ่อนจากการถูกความร้อน แต่สิ่งที่รอพวกมันอยู่ก็คือนิ้วเปลวเพลิงของวาห์นที่แทงลึกเข้าไปในร่างกายอันไร้การป้องกัน
มันคล้ายคลึงกับวิธีที่ไวท์ชาโดว์ใช้เพื่อทรมานนาซ่าและวาห์นก็ค่อยๆ แยกส่วนร่างกายของเหล่าชาโดว์อย่างช้าๆ
ปกติแล้วพวกมันจะสามารถงอกอวัยวะและกลับมาสู่สภาพปกติได้ แต่ตอนนี้พวกมันไม่สามารถทำแบบนั้นได้ในทันทีเนื่องจากการค้นพบอย่างที่สามของวาห์น
เขารู้แล้วว่า ‘พลังงานต้นกำเนิด’ ในร่างของตนนั้นมีคุณสมบัติยับยั้งผลของมานาและเวทมนตร์บนโลกใบนี้
หากเขาใช้สกิลหรือความสามารถเดียวกันกับคนอื่น สิ่งที่เข้าใช้จะได้ผลลัพธ์ที่สูงกว่ามากแม้ระดับของสกิลหรือเวทมนตร์จะเท่ากันก็ตาม
เนื่องจากร่างของวอร์ชาโดว์มีพื้นฐานมาจากเวทมนตร์ บาดแผลใดก็ตามที่วาห์นสร้างขึ้นนั้นจะฟื้นฟูได้ช้ากว่าปกติ
แต่ในทางกลับกัน ผลของ ‘การเผาไหม้’ จากฝีมือวาห์นจะเร่งให้เกิดความเสียหายมากขึ้นขณะที่พวกมันได้แต่พยายามหลบหนีจากสัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง
เวลานี้ มอนสเตอร์ทุกตัวที่พยายามเข้ามาช่วยก็ต้องจบลงด้วยการนอนลุกไหม้อยู่บนพื้น
มอนสเตอร์บางตัวที่อ่อนแอกว่าถึงกับเริ่มเหี่ยวแห้งขณะที่ดวงตาของพวกมันถูกเผาทำลายจนดำสนิท
วาห์นยังคงไล่สังหารมอนสเตอร์ทุกตัวที่เข้ามาในห้องแหล่งอาหารจนกระทั่งความโกรธของเขาเริ่มสงบลง
วันนั้นเขาได้สังหารวอร์ชาโดว์ไปทั้งหมด 43 ตัวและฝูงมอนสเตอร์อื่นๆ อีกกว่า 300 ตัว
พอคำนวณจากของดรอปแล้ว วาห์นได้มาทั้งหมด 4,760 OP ก่อนที่เขาจะไปตั้งแคมป์อยู่ตรงทางเดินที่เชื่อมกับบันไดไปยังส่วนอื่นของดันเจี้ยน
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘ใจเย็นก่อนนะไอ้หนู…’, ‘ทั่วทั้งโลกจะกลายเป็นเถ้าถ่าน, จงเผาไหม้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์]’, ‘ศัตรูตามธรรมชาติของฟร็อกชูตเตอร์’, ‘RIP วาห์น’, ‘ไชน์นิ่งฟิงเกอร์!!’)
—————