หลังจากที่วาห์นสงบลงแล้ว เขาก็จ้องมองไปที่ซากปรักหักพังของป่ารอบๆ ตัว
แม้จะยังมีอารมณ์คั่งค้างอยู่ในร่างกาย แต่อย่างน้อยเขาก็กำจัดส่วนที่มีปัญหาออกไปได้เกือบหมดด้วยการออกแรง
ในสถานที่แห่งนี้ มีต้นไม้หลายสิบต้นที่ถูกทำให้กลายเป็นเศษเล็กๆ และก้อนหินยักษ์หลายก้อนที่ถูกบดจนเป็นผงละเอียด
วาห์นถอนหายใจแบบแรงๆ และเริ่มเดินกลับไปที่ค่าย
เขายังคงต้องไปพบกับตัวแทนของเฮเฟสตัสแฟมิเลียเพื่ออธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง
ตอนนี้เขาจะเข้าร่วมการสำรวจด้วยและคงต้องทำตามแผนของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ
หลังจากเห็นว่าทุกคนประสานงานกันได้เป็นอย่างดี วาห์นจึงไม่ต้องการเป็นคนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและความไม่สงบในกลุ่ม
เมื่อกลับมาถึงค่าย เขาก็เดินไปทางเต็นท์สีแดงที่ใหญ่ที่สุดทันที
หลายคนมองเขาแบบแปลกๆ เพราะเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปาร์ตี้ แต่ก็ไม่มีใครมาหยุดถามอะไรเขา
เมื่อมาถึงเต็นท์ เขาก็เข้าไปข้างในและเห็นชายหนุ่มที่กำลังรับประทานอาหารเช้าเคียงข้างกับหญิงสาว
ชายคนนั้นดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยสามสิบต้นๆ ที่มีรูปร่างใหญ่โตพร้อมหนวดเคราที่ตัดอย่างเรียบร้อยและผมสีแดงเพลิงบนหัว
ผู้หญิงข้างกายเขาเป็นสาวสวยที่ยังดูงัวเงียและมีดวงตาสีม่วงอ่อนกับเรือนผมสีเขียวซึ่งถูกรวบให้อยู่ในทรงหางม้า
รูปร่างของเธอดูอ้อนแอ้นแต่ปราศจากไขมันและหน้าอกอิ่มเอมที่ถูกปิดทับไว้ด้วยเสื้อเกราะสีม่วงเข้มที่เธอสวมใส่อยู่
ช่วงที่วาห์นเข้ามาในเต็นท์ ชายหนุ่มก็วางช้อนส้อมลงและพูดอย่างสุภาพ
“เธอต้องเป็นวาห์น เมสัน ‘วัลแคน’ แน่ๆ เลยใช่ไหม?”
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่เขาเดาถูก แต่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกเพราะเมื่อคืนเขาก็มานอนอยู่ในนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา ชายคนนั้นก็พูดต่อ
“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ ไอ้หนู ริเวเรียกับสาวอเมซอนตัวเล็กเข้ามาอธิบายให้เราฟังหมดแล้ว อีกอย่าง เธอเองก็โด่งดังไม่ใช่เล่นๆ ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติมากที่ฉันจำหน้าเธอได้”
ในตอนสุดท้ายที่พูด ชายหนุ่มก็เริ่มหัวเราะแต่วาห์นกลับติดใจอยู่อย่าง
“โด่งดังงั้นเหรอ? ได้ไงกัน? ผมยังไม่ได้ทำอะไร…”
ขณะที่วาห์นพูด หญิงสาวก็หัวเราะเสียงดังกังวานที่พอจะทำให้คนฟังขนหัวลุกได้เลย
“ท่านเฮเฟสตัสเอ็นดูเธอมากนะ แถมยังได้เผยแพร่รูปภาพของเธอให้สมาชิกในแฟมิเลียดูกันหมดแล้วด้วย คุณวัลแคน~”
ผู้หญิงคนนั้นมองเขาด้วยสายตาง่วงนอนและวาห์นเกือบหันหน้าหนีแทนที่จะมองไปทางเธอ
ชายที่นั่งข้างๆ พยักหน้าและพูดต่อ
“ถูกต้องที่สุด ท่านเฮเฟสตัสยังบอกกับเราอีกว่าหากพบกับเด็กหนุ่มที่มีลักษณะตรงตามข้อมูลอยู่ภายในดันเจี้ยน เราก็ควรพยายามทำให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยอย่างสุดความสามารถ แต่ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเธอบนชั้น 18 แถมยังมาพร้อมกับปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียด้วยสิ!”
ชายผู้นั้นเริ่มหัวเราะอีกครั้งจนเกือบจะทำแก้วตกจากโต๊ะ
หญิงสาวมองไปทางชายหนุ่มด้วยสายตาแบบขวางๆ จนเขาต้องหยุดหัวเราะอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขากระแอมไปเล็กน้อยก็พูดต่อ
“จริงด้วยสิ ฉันขอแนะนำตัวก่อนนะ ฉันแกรนท์ เมสเซอร์ เลเวล 3 เป็นตัวแทนของเฮเฟสตัสแฟมิเลียสำหรับงานนี้ ผู้คนมักเรียกฉันว่า ‘ค้อนยักษ์’ ”
ขณะที่บอกฉายาของตัวเอง เขาก็ตบค้อนสีน้ำตาลส้มขนาดใหญ่ที่อยู่ทางขวา
หลังจากเขาแนะนำตัวเสร็จ หญิงสาวก็ยิ้มๆ และพูดบ้าง
“ส่วนฉัน เมอรีล เมสเซอร์ เป็นภรรยาของเขา เลเวล 3 เช่นกัน และมีฉายาว่า ‘แม่มด’ แต่ฉันอยากให้เธอเรียกเมอรีลเฉยๆ ก็พอแล้ว ฉันไม่เคยชอบชื่อเล่นนั่นเท่าไหร่เลย”
เมื่อหญิงสาวบอกฉายาของเธอเสร็จ วาห์นก็เห็นแววตาเย็นยะเยือกที่ทำให้เขารู้ว่าหากเรียกเธอแบบนั้น รับรองได้จบไม่สวยแน่
เมื่อทุกคนรู้จักกันแล้ว แกรนท์ก็เริ่มคุยกับวาห์นเรื่องวัตถุประสงค์ของภารกิจและบทบาทของวาห์นหากเขาต้องการเข้าร่วมทีมสำรวจ
ขณะนี้พวกเขาอยู่ระหว่างการสำรวจเพื่อรวบรวมไอเท็มต่างๆ จากชั้นที่ 25 ถึง 30 โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่กระดูกและเกล็ดของ ‘บลัดซอรัส’ บนชั้นที่ 30
หากต้องการเข้าร่วม วาห์นผู้ที่เป็นทั้งนักสู้และช่างตีเหล็กฝีมือดีสามารถเลือกว่าจะคุ้มกันทีมเก็บเกี่ยวพร้อมกับกลุ่มแนวหน้าหรือไม่ก็อยู่ด้านหลังและทำหน้าที่ดูแลอุปกรณ์รวมถึงงานจิปาถะต่างๆ
หลังจากหารือกันเล็กน้อยก็ตกลงกันได้ว่าวาห์นจะทำหน้าที่เป็นแนวหน้า
แม้ว่าเขาจะได้รับสกิลมากมายจากสึบากิ แต่ตอนนี้เขาอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่งมากกว่า
หากเขาใช้เวลาเดินทางทั้งหมดไปกับการอยู่แนวหลัง จุดประสงค์ในการเข้าร่วมทีมสำรวจตั้งแต่แรกของเขาก็จะเสียไป
วาห์นอยากทำภารกิจให้เสร็จและกลับขึ้นไปสู่พื้นผิวไวๆ
เขาเริ่มรู้สึกว่ายิ่งอยู่ในนี้นานเท่าไหร่ เรื่องต่างๆ ที่ด้านบนก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยเรื่องต่างๆ อย่างสงบ ริเวเรียก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าเต็นท์
เธอมีสีหน้า ‘จริงจัง’ และพอเห็นวาห์นอยู่ที่นั่นด้วยก็พยักหน้าให้ก่อนจะระบุจุดประสงค์การมาของเธอกับแกรนท์
“ฟินน์กำลังรวบรวมผู้มีอำนาจตัดสินใจเพื่อหารือเรื่องสำคัญ ในฐานะตัวแทนของเฮเฟสตัสแฟมิเลียเขาต้องการให้คุณ เมอรีล และวาห์นเข้าร่วมด้วย”
แกรนท์พยักหน้าโดยไม่ถามต่อ แต่วาห์นกลับค่อนข้างสับสน
“ทำไมฟินน์ถึงอยากให้ผมเข้าร่วมด้วยล่ะ?”
วาห์นรู้จักฟินน์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่หนึ่งใน ‘ผู้มีอำนาจตัดสินใจ’ ในการเดินทางสำรวจครั้งนี้ด้วย
ในความเป็นจริงแล้วเขาเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อชั่วโมงก่อนเอง…
ริเวเรียมองไปที่วาห์นและพูดแบบเรียบๆ
“เธอเป็นคนเดียวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจนี้มากที่สุด ฟินน์จะอธิบายรายละเอียดต่างๆ เอง แต่ขอแจ้งไว้ก่อนเลยว่าเราได้รับมอบหมายลงมาให้ทำภารกิจฉุกเฉินจากทางกิลด์”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ วาห์นก็เข้าใจทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ว่าโลกิแฟมิเลียคงได้รับมอบหมายให้ไปจัดการกับจักเกอร์นอต
แกรนท์ซึ่งกำลังฟังอยู่ด้วยกเริ่มขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
ทุกคนเดินไปที่เต็นท์ขนาดใหญ่ที่สุดตรงใจกลางค่ายที่ซึ่งวาห์นได้พบกับสมาชิกหลักทั้งหมดของโลกิแฟมิเลียรวมไปถึงเบตที่ดูอารมณ์บูดตามปกติ
พอเบตเห็นวาห์นเข้ามาพร้อมกับสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย เขาก็คำรามเสียงดังและเกือบพูดอะไรออกไปแต่กลับถูกฟินน์หยุดเอาไว้ก่อน
“ไม่ใช่ตอนนี้เบต นั่งลงก่อน เรามีเรื่องสำคัญต้องหารือกัน”
นับตั้งแต่เรื่องบ้าๆ กับทีโอเน่ตอนก่อนหน้านี้ ฟินน์ก็ค่อนข้างเครียดและดูเหมือนจะมีความอดทนที่ต่ำมาก
เบตกระเดาะลิ้นและนั่งลงก่อนจะทำเป็นไม่สนใจทุกคนที่อยู่ในนั้น
โต๊ะขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเต็นท์และมีตอไม้ที่เก็บมาจากป่าใกล้เคียงมาทำหน้าที่แทนเก้าอี้
หลังจากวาห์นนั่งลงแล้ว ทีโอน่าซึ่งจ้องมองวาห์นตั้งแต่ที่ทางเข้าก็ขอแลกที่เพื่อจะมานั่งด้วยกันกับเขา
วาห์นรู้สึกอึดอัดใจทันทีที่เธอมานั่งด้วย และพอเห็นหน้ายิ้มๆ ของเธอ อารมณ์พลุ่งพล่านที่เขาต่อสู้อย่างหนักเพื่อขจัดมันออกไปก่อนหน้านี้ก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อต่อกรกับอารมณ์ว้าวุ่น วาห์นจึงเริ่มใช้ [จิตแห่งราชัน] ของเขาและพลังเขตแดนที่ผสานกับสกิล [อำพรางตัว] ก็ค่อยๆ กระจายออกไปทั่วเต็นท์
แม้จะเกือบตรวจจับมันไม่ได้ แต่ทุกคนในเต็นท์ยกเว้นแกรนท์กับเมอรีลก็สัมผัสถึงมัน
ฟินน์ขมวดคิ้วขณะที่ทีโอน่าแสดงสีหน้าสับสนและสังเกตเห็นว่าวาห์นพยายามไม่สนใจเธอ
เธอรู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอกหลังจากเห็นว่าเขาพยายามจะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับเธอ
ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ริเวเรียก็ชิงพูดขึ้นก่อนขณะขยับมือช้าๆ ไปในอากาศ
“น่าสนใจ… ตอนนี้ที่นี่ดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยคุณสมบัติพรางตัวและเก็บเสียง มันสามารถป้องกันไม่ให้คนด้านนอกได้ยินการสนทนาของเราได้เป็นอย่างดี ช่างเป็นสกิลที่มีประโยชน์จริงๆ…”
หลังจากฟังคำอธิบายของริเวเรียแล้ว สีหน้าของฟินน์ก็ผ่อนคลายลงขณะที่คิดไปเองว่าวาห์นคงอยากให้เรื่องที่พวกเขาคุยกันถูกเก็บเป็นความลับจากสมาชิกภายนอก
เขารู้สึกว่าความระมัดระวังของวาห์นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและคิดว่าสกิลนี้ช่างมีประโยชน์เหลือเกิน
“ขอบใจนะวาห์น แบบนี้คงช่วยเราได้เยอะเลย ตอนนี้เราก็ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกก่อนที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไปแล้วล่ะ”
วาห์นไม่ได้สนใจฟังมากนักแต่เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อของเขาก็เลยพยักหน้าช้าๆ ออกมา
ตอนนี้เขากำลังพยายามจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบเต็นท์แทนที่จะมาสนใจกับร่างอบอุ่นที่นั่งถัดจากเขาไปทางขวา
แม้ตอนนี้ก็ ‘รู้สึก’ ได้ว่าทีโอน่ากำลังมองมา แต่วาห์นกำลังทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องนี้
ทีโอน่าดูเหมือนจะรู้ทันและคิ้วของเธอก็เริ่มขมวดราวกับว่ากำลังงอนอยู่
ฟินน์สังเกตเห็นบรรยากาศระหว่างทีโอน่าและวาห์น แต่เขาตัดสินใจที่จะปล่อยมันไปก่อน
มีสิ่งสำคัญที่ต้องมาหารือกันและพวกเขาควรจะสะสางปัญหานี้เองในภายหลัง
“เอาล่ะ ฉันอยากจะขอบคุณทุกคนที่รีบมารวมตัวกันในเวลาอันสั้น อย่างที่พวกคุณทราบ ทางโลกิแฟมิเลียได้รับมอบหมายภารกิจฉุกเฉินมาจากทางกิลด์ซึ่งท่านโลกิเองก็ได้อนุมัติเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เราเข้าใจว่านี่อาจทำให้เฮเฟสตัสแฟมิเลียตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและทางเรายินดีคืนเงินค่าจ้างทั้งหมดรวมไปถึงค่าธรรมเนียมในการยกเลิกสัญญาว่าจ้างด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้เราก็จากจะขอยืมกำลังของเฮเฟสตัสแฟมิเลียในตอนนี้ไว้ก่อน เมื่อบรรลุภารกิจฉุกเฉินแล้ว เราก็จะดำเนินภารกิจสำรวจต่อไปหากไม่มีอะไรขัดข้อง”
ฟินน์อธิบายหัวข้อหลักของการประชุมโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดมากจนเกินไปนัก
แกรนท์ผู้มีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้รู้ดีว่าเขามีทางเลือกที่จะปฏิเสธภารกิจและถอยกลับไปสู่สถานที่ปลอดภัย
นอกเสียจากว่าแกรนท์จะตัดสินใจช่วยโลกิแฟมิเลีย พวกเขาก็จะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับภารกิจเพื่อป้องกันเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลและมีกลุ่มคนอื่นเข้ามาวุ่นวายหรือแข่งขันกับการทำภารกิจ
หลังจากปรึกษากับภรรยาของเขาไปครู่หนึ่ง แกรนท์ก็หันมาหาวาห์นและถามขึ้น
“เธอคิดจะทำยังไงต่อไปเหรอ?”
วาห์นสงสัยว่าทำไมแกรนท์ถึงมาถามเขาแทน แต่เขาก็พิจารณาด้วยตัวเองก่อนจะตอบกลับ
“ผมจะเข้าร่วมภารกิจฉุกเฉินด้วย เพราะผมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจและถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะมีส่วนร่วมเช่นกัน”
พอแกรนท์ได้ยินคำตอบของวาห์น เขาก็พยักหน้าและหันไปหาฟินน์
“เฮเฟสตัสแฟมิเลียจะเข้าร่วมในภารกิจฉุกเฉินร่วมกับทางโลกิแฟมิเลียด้วย แต่เราอยากจะขอค่าชดเชยสำหรับอุปกรณ์หรือไอเท็มใดๆ ก็ตามที่ถูกใช้ในระหว่างภารกิจนี้ นอกจากนี้เราจะขอส่วนแบ่งรางวัลจากภารกิจเป็นจำนวน 20% และสิทธิ์ในการซื้อวัตถุดิบหรือของดรอปที่ได้มาในราคาพิเศษด้วย”
ฟินน์พยักหน้าและตอบตกลงทันที
หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มันก็จะดีกว่าถ้าพวกเขายอมเสียรางวัลบางส่วนเพื่อแลกกับการไม่ถูกยกเลิกภารกิจสำรวจ
หากเฮเฟสตัสแฟมิเลียกลับไปในตอนนี้ ค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญานั้นจะมีมูลค่ามหาศาลอีกทั้งยังจะเป็นการทำให้ชื่อเสียงของโลกิแฟมิเลียต้องด่างพร้อยไปด้วย
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และฟินน์ก็รู้ดีว่าวาห์นเป็นสาเหตุที่ทำให้แกรนท์ยอมร่วมมือ
เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวาห์นและเฮเฟสตัสและนี่ทำให้ฟินน์เชื่อว่ามันคงจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง
“เอาล่ะ ผมจะอธิบายข้อมูลภารกิจของเราให้ฟัง เราได้รับมอบหมายให้ไปปราบจักเกอร์นอตที่ปรากฏตัวออกมาบนชั้น 13 หากเป็นไปได้ เราก็จะตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้มันออกมาและรายงานกลับไปทางกิลด์โดยด่วนที่สุดด้วย เนื่องจากนี่เป็นภารกิจฉุกเฉิน เราจึงมีเวลา 30 ชั่วโมงในการทำให้สำเร็จ นี่ก็ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วและทำให้เราเหลือเวลาน้อยกว่า 28 ชั่วโมงเพื่อวางกลยุทธ์ ปราบมันลง และทำการสืบสวนต่อไป”
ฟินน์อธิบายออกมาอย่างจริงจังขณะจ้องมองทุกคนที่อยู่ในเต็นท์
เมื่อได้ยินว่านี่เป็นภารกิจปราบจักเกอร์นอต แกรนท์ก็เริ่มเสียใจกับการตัดสินใจของตน
แม้พวกเขาคงไม่มีมีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่ถ้าหากโลกิแฟมิเลียล้มเหลวในการสังหารจักเกอร์นอต มันก็จะกวาดล้างทีมสำรวจทุกคนรวมไปถึงคนจากเฮเฟสตัสแฟมิเลียด้วย
ใบหน้าของเขายิ่งเครียดหนักกว่าเดิม แต่แล้วมือที่อ่อนโยนของภรรยาก็มาวางอยู่บนต้นขาของเขา
เมื่อมองเข้าไปในดวงตา ‘แสนสงบ’ ของเธอ แกรนท์ก็เกิดความมุมานะก่อนจะพยักหน้าให้ฟินน์
ฟินน์เผยรอยยิ้มซาบซึ้งให้กับทั้งสองก่อนจะพยักหน้าให้วาห์น
“โอเควาห์น ฉันอยากให้เธอเล่าทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับจักเกอร์นอตตัวนี้ เราต้องการข้อมูลให้มากเท่าที่เธอจะให้ได้ เช่น ขนาดตัว ลักษณะ ตำแหน่งของมัน และทุกอย่างที่เธอคิดว่าสำคัญ ไม่ต้องกังวลและบอกออกมาให้ละเอียดเลยนะ เพราะนี่อาจเกี่ยวพันถึงชีวิตของทุกคน”
วาห์นรู้สึกว่าสิ่งที่ฟินน์พูดช่างหนักอึ้งเหลือเกิน และเขาอดไม่ได้ที่จะเฝ้ามองสีหน้าของทุกคนในเต็นท์
มันเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัดขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าจริงจังมาก
เมื่อดวงตาของเขาหันไปมองครบทุกคนแล้ว เขาก็หันไปมองเด็กสาวที่นั่งข้างๆ
ทีโอน่ามองวาห์นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและให้กำลังใจซึ่งต่างจากคนอื่นลิบลับ
ทันใดนั้นความตึงเครียดและแรงกดดันทั้งหมดที่วาห์นรู้สึกได้ก็เริ่มจางหายไป
วาห์นไม่สามารถกักเก็บ ‘ความโล่งใจ’ ที่เขารู้สึกได้ไว้จนต้องถอนหายใจและเผยรอยยิ้มออกมา
เขามองไปทางฟินน์และเริ่มเล่าข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักเกอร์นอตรวมถึงความเสียหายอย่างรุนแรงที่มันได้รับจากอะไรก็ไม่รู้ออกมา