วาห์นเดินออกมาจากห้องพยาบาลพร้อมเฮเฟสตัสขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าออกจากหอคอยบาเบล
ระหว่างเดินทาง เฮเฟสตัสดูเหมือนจะมีความสุขมากจนทำให้วาห์นยิ้มออกมาเช่นกัน
ขณะเดินทาง วาห์นก็พบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทนที่จะเป็นบ้านของสึบากิ
วาห์นสงสัยจึงถามออกมา “พวกเราไม่ได้จะไปที่คฤหาสน์ของสึบากิเหรอ?”
เฮเฟสตัสหัวเราะเล็กน้อยก่อนมองวาห์นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพูดตอบ
“นายจะได้อาศัยอยู่ที่นั่นต่อ แต่อย่างน้อยวันนี้ฉันอยากจะเก็บนายไว้ที่ห้องทำงานของฉันเอง”
เมื่อเห็นสีหน้าของเฮเฟสตัส หัวใจของวาห์นก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นซึ่งทำให้เธอมองเขาอย่างสงสัยเนื่องจากเธอเองก็รู้สึกถึงมันได้เช่นกัน
“เป็นอะไรรึเปล่า วาห์น? ร่างกายนายโอเคนะ?”
เฮเฟสตัสเป็นห่วงวาห์นมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการที่เขาเพิ่งจะฟื้นหลังนอนโคม่าไป 9 วัน
วาห์นอยากจะอธิบายสิ่งที่เขารู้สึก แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไปก็เกิดเสียงประหลาดดังออกมาจากท้องของเขา
พอเสียงหายไป วาห์นก็เริ่มรู้สึกเขินๆ เนื่องจากเห็นว่าเฮเฟสตัสกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่
“ไปหาของกินระหว่างทางกันไหม?”
เฮเฟสตัสเดินนำขณะที่วาห์นตามมาติดๆ พร้อมกับลูบท้องของตนไปพลาง
เขาไม่ได้ทานอะไรมาเป็นระยะเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์และตอนนี้ก็รู้สึกหิวมากเลย…
ระหว่างทางไปห้องทำงาน พวกเขาได้แวะมาที่ร้านแผงลอยขายเนื้อย่างที่มีการปรุงรสด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิด
วาห์นคิดว่ามันน่าสนใจมากเพราะตะกร้าใส่อาหารที่เขาได้รับมานั้นมีทั้งเนื้อหลากหลายประเภทและต่างถูกปรุงด้วยเครื่องเทศที่แตกต่างกัน
เขาใช้ไม้จิ้มมันมาทานโดยทุกครั้งที่เคี้ยวก็จะมีรสชาติที่ไม่เหมือนกันและเป็นอะไรที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เฮเฟสตัสทานไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นวาห์นทานมันอย่างมีความสุขก็อดไม่ได้ที่จะแบ่งส่วนของเธอให้เขาไป
วาห์นรับมันไว้ด้วยสีหน้าขอบคุณและทานมันจากไม้จิ้มที่เฮเฟสตัสยื่นให้โดยตรง
หลังจากผ่านไปประมาณ 20 นาที เฮเฟสตัสและวาห์นก็มาถึงที่ทำงานขณะที่เธอเริ่มไล่พนักงานรักษาความปลอดภัยออกไปจนหมด
เธอสั่งให้เซฟฟ์ไปประจำอยู่รอบๆ โรงหลอมแทนและบอกให้เขาส่งอาหารเข้ามาเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อถัดไป
เซฟฟ์ทวนคำสั่งของเธอก่อนจะตบหลังวาห์นแรงๆ
“ทำได้ดีมากที่กลับมาได้นะไอ้หนู นายทำให้ฉันกับลูกน้องเป็นห่วงแย่เลย”
วาห์นยิ้มตอบเซฟฟ์และโค้งให้เขาอย่างสุภาพ
เฮเฟสตัสเดินเข้าไปในห้องทำงานก่อนจะล็อคประตูทันทีหลังจากวาห์นเข้าไป
เธอมองวาห์นที่กำลังสอดส่องห้องทำงานไปทั่วและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดูเหมือนนายจะได้ใจของใครหลายๆ คนมานะ ฉันประหลาดใจมากที่เห็นสมาชิกของโลกิแฟมิเลียหลายคนมาเยี่ยมนายที่ห้องผู้ป่วย
แม้แต่โลกิเองก็แวะมาหารือเรื่องรางวัลและค่าตอบแทนของนายเลย”
วาห์นเลิกคิ้วขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งที่เฮเฟสตัสพูด
เขาไม่คิดว่าตนได้ทำประโยชน์ถึงขนาดที่สมควรได้รับรางวัลหรืออะไรแบบนั้น
พอสังเกตเห็นสีหน้าของเขา เฮเฟสตัสก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ถ้าโลกิไม่มาพยายามเจรจาด้วยตัวเอง แฟมิเลียของฉันก็อาจจะขัดแย้งกับเธอหากนายไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกังวลยิ่งกว่าก็คือดูเหมือนนายจะได้เพื่อนใหม่… จากในโลกิแฟมิเลียมาเยอะเลยนี่?”
วาห์นพยักหน้าและอธิบาย
“พวกโลกิแฟมิเลียอยู่ที่นั่นในตอนที่ฉันกำลังสู้กับโกไลแอธ จากนั้น เราก็ลงเอยด้วยการร่วมทางกันแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายก่อนที่สุดท้ายแล้วพวกเราจะได้ต่อสู้กับจักเกอร์นอตด้วยกัน”
เมื่อได้ยินวาห์นเล่าเรื่องการต่อสู้กับโกไลแอธด้วยตัวคนเดียวแบบไม่คิดมาก เฮเฟสตัสก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าไปในกลางจิตใจ
เธอยังไม่รู้เรื่องการผจญภัยภายในดันเจี้ยนของวาห์นแบบละเอียดเลย
แค่รู้ว่าเขาไปถึงชั้นที่ 18 ก็ทำให้เธอประหลาดใจมากแล้ว
เฮเฟสตัสเดินไปที่โซฟาและตบมันพร้อมกับพูดขึ้น
“ถอดเสื้อออกเถอะ ฉันจะอัพเดทค่าสถานะให้ขณะที่นายเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยนให้ฟัง
อย่าพยายามปิดบังล่ะ เพราะฉันจะรู้ทันทีถ้านายโกหก… นายอาจไม่รู้มาก่อนนะ แต่สีหน้าของนายมันอ่านได้ง่ายยิ่งกว่าง่ายเสียอีก”
วาห์นรู้สึกประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะเอามือไปจับใบหน้าของตัวเองเพื่อตรวจสอบ
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา เฮเฟสตัสก็หัวเราะก่อนจะพูดต่อ
“มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก แต่นายก็ต้องระวังพวกคนรอบตัวที่พยายามหลอกใช้ประโยชน์จากนายด้วยล่ะ โดยเฉพาะคนแบบยัยตัวแสบโลกินั่น…”
ขณะที่เฮเฟสตัสพูด วาห์นก็เดินเข้ามาหาหลังจากถอดเสื้อออก เฮเฟสตัสกำลังเฝ้ามองเขาและพอเห็นแผงอกเปลือยเปล่านั่นก็ทำให้เธอพูดเบาลงเรื่อยๆ จนเสียงเงียบไป
แม้ว่าวาห์นจะยังไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้ความสูง 150 เซนติเมตรของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 156 เซนติเมตรแล้ว แถมร่างที่เคยบอบบางก็เริ่มดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
วาห์นไม่รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาแบบแปลกๆ ของเฮเฟสตัสและนอนลงบนโซฟาเพื่อให้เฮเฟสตัสอัพเดทค่าสถานะของเขา
ทันทีที่เขาเอาหัวหนุนเบาะ วาห์นก็ได้กลิ่นแปลกๆ ที่ทำให้จิตใจของเขาด้านชาไปเล็กน้อย
เขาอยากรู้ว่ามันคือกลิ่นอะไรกันแน่และค่อยๆ สูดดมเพื่อพยายามหาที่มาของมัน
เฮเฟสตัสที่เคลิ้มไปเมื่อเห็นร่างกายของวาห์น ตอนนี้กลับพบว่าเขากำลังดมโซฟาอยู่อยากขะมักเขม้น
ทันใดนั้นเธอก็นึกออกว่าเพิ่งจะใช้มันไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
โดยเฉพาะในคืนที่เขาจากไปนั้น… เธอถึงกับทำบางอย่างที่ไม่อาจพูดหรือบรรยายออกมาได้บนตำแหน่งที่วาห์นกำลังนอนอยู่ในตอนนี้
ด้วยความลนลาน เธอจึงรีบจับหัวของวาห์นก่อนจะหันมันไปอีกด้าน
“ถะ-ถ้าหันไปทางนั้นก็คุยกันลำบากสิ หันไปอีกด้านแล้วก็รอฉันดูค่าสถานะของนายละกัน
แล้วก็ห้ามดมโซฟาด้วย พอดีฉันทำบางอย่างหกใส่มันไปก่อนหน้านี้แล้วลืมทำความสะอาดน่ะ”
วาห์นผู้ที่รู้สึกเหมือนคอแทบจะหัก ค่อยๆ พยักหน้าให้เธออย่างช้าๆ
เขาสงสัยว่าเธอทำอะไรหกลงบนโซฟากันแน่ แต่พอคิดจะถามออกไปก็เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนบนใบหน้านั่นแทน
วาห์นคิดว่าเธอคงจะรู้สึกแย่ถ้าเขาถามออกไปก็เลยเริ่มเล่าเรื่องการผจญภัยของตนเองนับตั้งแต่วันแรกแทน
ขณะที่เฮเฟสตัสนั่งคุกเข่าข้างๆ เขาและหยดเลือดตัวเองลงไปบนตราสัญลักษณ์ที่แผ่นหลังของวาห์น
ตอนที่ตัวเลขปรากฏขึ้น เฮเฟสตัสก็รู้สึกตกใจในขณะที่เธอยังคงฟังเรื่องเล่าของวาห์นอยู่
วาห์นอยากรู้ว่าเกิดอะไร เขาจึงถามออกมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ เฮเฟสตัส?”
เฮเฟสตัสได้สติกลับมาขณะมองไปทางวาห์นด้วยสีหน้าจริงจัง
“วาห์น นายเลเวลอัพได้ยังไงกันเนี่ย?”
คราวนี้ถึงตาที่เขาต้องประหลาดใจบ้างขณะตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะภายในระบบ
————————————————————————–
[[สถานะ]]
ชื่อ: [วาห์น เมสัน]
อายุ: 14
เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*
ค่าสถานะ: [ดันมาจิ: 1-4]
-เลเวล:3(3)
-พลังโจมตี: 1906+(I14)
-ความอดทน: 2221+(I44)
-ความแม่นยำ: 1807+(I11)
-ความว่องไว: 1959+(I21)
-พลังเวท: 3562+(G251)
ค่าสถานะรวมทั้งหมด:11455+(341) (TL: ค่าสถานะรวมของวาห์นเฉพาะของเลเวล 2 และไม่รวมกับตอนเลเวล 1 คือ 5908 ครับ)
ดวงวิญญาณระดับ 2 (วิญญาณวีรชน)
[กรรม]: 2,003
[OP]: 411,259
[วาลิส]: 171,630
————————————————————————-
(TL: ค่าสถานะรวมทั้งหมดของนักผจญภัยที่เพิ่งขึ้นสู่เลเวล 3 ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระหว่าง 7000 – 8500 แต้ม
ซึ่งก็หมายความว่าวาห์นแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันประมาณ 1.4 – 1.6 เท่าโดยที่ยังไม่ได้ใช้เวทมนตร์ สกิล หรือไอเท็มเสริมค่าสถานะต่างๆ!
นักผจญภัยบางคนนั้นมีค่าสถานะเพียง 10,500 – 12,000 เท่านั้นหลังจากขึ้นสู่เลเวล 4)
วาห์นตกใจมากหลังได้เห็นค่าสถานะของตัวเอง
ไม่เพียงแต่จะเลเวลอัพแบบไม่รู้ตัว แต่เขายังได้ค่าพลังเวทเพิ่มมาแบบกระจุยกระจายเลยด้วย
พี่สาวที่อยู่ภายในจิตใจของเขาจึงเริ่มอธิบายให้ฟัง
(*ตอนที่เธอโดนการโจมตีทางจิตเข้าไป มันก็เกือบจะทำลายสมองของเธอไปแล้ว
[จิตแห่งราชัน] ได้พยายามปกป้องและค่อยๆ ฟื้นฟูจิตใจของเธอไปเรื่อยๆ
เนื่องจากว่ามันพยายามซ่อมแซมส่วนที่ได้รับความเสียหายในสมองอยู่ถึงก้าวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ค่าพลังเวทของเธอจะเพิ่มขึ้น
สำหรับเรื่องเลเวลอัพนั่นก็เป็นเพราะความตึงเครียดที่ส่งผลกับร่างกายของเธอหลังจากที่ค่าสถานะเพิ่มขึ้น
หากไม่ได้รับการเลเวลอัพ ร่างกายของเธอคงจะระเบิดก่อนที่จิตใจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เสียอีก*)
เฮเฟสตัสเห็นสีหน้าของวาห์นและเชื่อว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
เธอสงสัยว่ามันอาจจะเป็นผลมาจากสายเลือดของเขา ดังนั้นจึงลองถามดู
“วาห์น เคยมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับค่าสถานะของเธอมาก่อนหรือเปล่า? เธอเคยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังสู้เสร็จไหม?”
เพราะค่าสถานะของนักผจญภัยจะไม่เพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการอัพเดท เฮเฟสตัสจึงเดาว่าวาห์นน่าจะรู้สึกตัวอยู่บ้างหากมันเกิดขึ้น
วาห์นพยักหน้าช้าๆ ขณะที่เขาเริ่มทวนคำพูดของพี่สาวในหัว
“ใช่ ฉันมักจะรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นทันทีหลังสู้เสร็จ
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฉันสามารถเข้าไปในดันเจี้ยนชึ้นที่ลึกกว่าเดิมได้
แม้ว่าจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตัวเองจะไปไกลได้แค่ไหน แต่ทุกครั้งที่พบกับสถานการณ์อันตราย ฉันก็มักจะแข็งแกร่งขึ้นอยู่ตลอด…”
เมื่อได้ยินคำยืนยันของเขา เฮเฟสตัสก็ถอนหายใจและรู้สึกประหลาดๆ กับร่างกายอันน่าพิศวงของวาห์น
หากการคาดเดาของเธอถูกต้อง นอกจากวาห์นจะไม่ต้องการฟาลน่าเพื่อพัฒนาตัวเองแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะสามารถอัพเดทฟาลน่าที่รับมาได้เองและในทันทีด้วย
พอเธอเริ่มคิดแบบนั้น จู่ๆ เฮเฟสตัสก็นึกถึงสาวพลูมตัวน้อยที่มักจะเดินตามวาห์นต้อยๆ
เฮเฟสตัสรู้จากสึบากิว่าลิลลี่เป็นหนึ่งในสมาชิกของโซม่าแฟมิเลีย แต่เรื่องที่แปลกก็คือหลังจากได้ฝึกกับสึบากิแล้ว ค่าสถานะของเธอกลับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“วาห์น เด็กพลูมที่ชื่อลิลลี่น่ะ นายเป็นคนอัพเดทกระดานค่าสถานะของเธอใช่ไหม?”
เฮเฟสตัสถามออกมาด้วยน้ำเสียงปกติและวาห์นก็ตอบไปแบบไม่คิดอะไร
“ก็ใช่ แต่เธอรู้ได้ยังไงกันว่าลิลลี่เป็นเผ่าพลูม?”
เท่าที่วาห์นจำได้ ลิลลี่มักจะแปลงกายอยู่ตลอดตั้งแต่ที่เธอย้ายไปอยู่กับสึบากิ
เฮเฟสตัสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบข้อสงสัยของเขา
“เวทแปลงกายเล็กน้อยนั่นไม่เพียงพอที่จะหลอกดวงตาคู่นี้ได้หรอก
ฉันรู้ว่าเธอเป็นพลูมตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกแล้ว
เดาว่าเธอคงกำลังซ่อนตัวจากโซม่าแฟมิเลียหลังจากนายช่วยเหลือเธอออกมาจากดันเจี้ยนสินะ
แต่ว่าตอนนี้นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก บอกฉันมาตามตรงนะวาห์น ว่านายอัพเดทค่าสถานะของเธอได้ยังไง?”
วาห์นเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสิ่งที่เฮเฟสตัสถามเขาและราวกับจะยืนยันข้อสงสัยนี้ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัว
(*บางครั้งเธอก็สมองช้าไปนิดนะ วาห์น…*)
เมื่อเห็นเฮเฟสตัสจ้องมา วาห์นก็เริ่มเหงื่อแตกจากแรงกดดันจึงตัดสินใจพูดความจริง
“หลังจากที่เธอบอกเรื่องที่มาของฉัน ฉันก็เลยคิดว่าตัวเองน่าจะอัพเดทค่าสถานะของคนอื่นได้เหมือนกันโดยใช้สกิล [พรแห่งอิกดราซิล]
แม้ว่าตอนแรกจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ฉันก็สามารถทำได้หลังใช้เวลาฝึกไปบ้าง”
พอเฮเฟสตัสได้ยินคำสารภาพของวาห์น เธอก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
หากเรื่องที่วาห์นพูดเป็นจริงและถ้ามีใครมารู้เรื่องนี้เข้า เขาก็จะตกเป็นเป้าของเทพองค์อื่นหรือองค์กรต่างๆ ทันที
มนุษย์ที่สามารถอัพเดทค่าสถานะได้นั้นถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับองค์กรหรือแฟมิเลียต่างๆ ที่เทพของตนไม่ยินยอมหรือไม่สามารถประกอบพิธีกรรมอัพเดทค่าสถานะให้กับพวกเขาได้
วาห์นอาจกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังและทำประโยชน์ให้ใครก็ตามที่รู้เรื่องนี้
หลังจากจับใบหน้าของวาห์น เฮเฟสตัสก็มองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา
“ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม ห้ามนายบอกเรื่องที่สามารถอัพเดทค่าสถานะของคนอื่นได้เป็นอันขาด สัญญากับฉันนะ วาห์น”
นี่เป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วที่วาห์นรู้สึกเหมือนคอจะหัก ขณะที่ค่อยๆ พยักหน้าให้กับเฮเฟสตัส
“ฉันสัญญา…”
วาห์นมองเห็นความตื่นตระหนกและความกังวลภายในดวงตาของเธอ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันอันตรายมากหากข่าวเรื่องความสามารถของเขาแพร่กระจายออกไป
แม้วาห์นจะไม่มีแผนที่จะป่าวประกาศเรื่องนี้ แต่หากใครก็ตามจากโซม่าแฟมิเลียรู้เรื่องของลิลลี่ ข่าวลือก็อาจจะเริ่มแพร่ออกไป
เฮเฟสตัสเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกันและเริ่มพูดต่อ
“เราจำเป็นต้องให้ลิลลี่เข้ารับพิธีเปลี่ยนแฟมิเลีย
ฉันรู้ว่าลิลลี่อยากจะจัดการเรื่องโซม่าแฟมิเลียด้วยตัวเอง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาของเธอเพียงคนเดียวอีกแล้ว
และแม้ว่าในอนาคตเธอจะแข็งแกร่งขึ้นมาจนมากพอที่จะบดขยี้แฟมิเลียด้วยตัวเธอเองได้
แต่มันก็จะทำให้เกิดข้อสงสัยมากมายโดยที่คนใกล้ชิดของเธอย่อมถูกลูกหลงไปด้วย”
เฮเฟสตัสคิดจะบอกเรื่องนี้ให้สึบากิทราบในทันที ดังนั้นเธอจึงนำกระดาษประหลาดและปากกาเวทมนตร์สีแดงออกมา
ขณะที่เธอเขียนข้อความลงบนกระดาษ ตัวอักษรก็ค่อยๆ ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าและลอยหายไปในอากาศ
วาห์นคิดว่ามันดูน่าสนใจมากจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์งั้นเหรอ? ฉันไม่เคยเห็นอะไรนี้มาก่อนเลย”
เฮเฟสตัสถอนหายใจหลังเห็นท่าทางเรื่อยๆ ของวาห์นแม้สถานการณ์ตอนนี้จะค่อนข้างคับขันมาก
แต่พอได้เห็นหน้าซื่อๆ นั่นเธอก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงปกติ
“กระดาษนี่ทำมาจากหนังของสัตว์เวทมนตร์และมันจะเชื่อมต่อกับม้วนคัมภีร์แฝดอีกแผ่น
เมื่อใช้คู่กับ ‘ปากกาขนนกเชื่อมต่อ’ อะไรก็ตามที่ถูกเขียนลงบนกระดาษก็จะถูกส่งไปยังคัมภีร์แฝดอีกอันหนึ่งทันที
มันมีระยะทำการแค่ 100 กิโลเมตร แต่ก็ค่อนข้างมีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉินต่างๆ”
วาห์นเริ่มตระหนักแล้วว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมายมายที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
เขาวางแผนว่าจะใช้เวลาสองสามเดือนต่อจากนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับทุกอย่างในเมืองและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นจดหมายที่เฮเฟสตัสกำลังเขียน ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างและถามต่อ
“เฮเฟสตัส มีใครมาหาเธอแล้วมอบจดหมายให้ตอนฉันยังอยู่ในดันเจี้ยนหรือเปล่า?”
ปากกาขนนกของเฮเฟสตัสหยุดชั่วครู่หนุ่งขณะที่เธอมองวาห์นด้วยสายตาเบิกกว้างเล็กน้อย
“จริงด้วยสิ ฉันเกือบลืมเรื่องนั้นไปเลย วันพรุ่งนี้ฉันได้นัดอีกฝ่ายไว้แล้วเพื่อที่เราจะได้มาสรุปเรื่องนี้กัน”
ในช่วงท้ายที่เธอพูด วาห์นเห็นเฮเฟสตัสมีท่าทางโกรธและดูเกรี้ยวกราดมาก
เขาเกือบจะรู้สึกแย่แทนคนที่ตกเป็นเป้าโทสะของเธอจริงๆ…