Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 115

ตอนที่ 115

หลังจากใช้เวลาพูดคุยรายละเอียดของการเดตเสร็จแล้ว วาห์นก็กล่าวอำลากับเอน่าหลังได้รับกิลด์การ์ดใบใหม่

มีเรื่องให้ประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเขาได้รับเงิน 3.7 ล้านวาลิส สำหรับรางวัลในการเข้าร่วมภารกิจปราบปรามจักเกอร์นอต

ดูเหมือนโลกิแฟมิเลียจะให้ความสำคัญกับเขามากในการมีส่วนร่วมครั้งนั้น แต่วาห์นก็เดาว่าส่วนหนึ่งคงเป็นคำขอโทษที่ปล่อยให้เขาบาดเจ็บสาหัส

ตอนนี้เงินทุนของวาห์นเพิ่มขึ้นมาเป็น 3,871,630 วาลิสและคริสตัลเวทมนตร์ระดับสูงอีก 3 ก้อนซึ่งมีมูลค่ารวมกันเป็น 60 ล้านหากเขาขายมัน

จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนรวยขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่พอพิจารณาถึงราคาของอุปกรณ์สวมใส่ระดับสูงแล้วมันจึงดูน้อยลงไปถนัดตา

ตอนนี้เขาสามารถซื้อบ้านหรือแม้แต่แมนชั่นหลังใหญ่ก็ได้ แต่ถ้าเอาไปเทียบกับอุปกรณ์สวมใส่ที่ถูกทำขึ้นโดยปรมาจารย์ช่างตีเหล็กนั้นคงได้มาแค่ชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น

แม้แต่อาวุธในมังงะของเบลล์ยังมีมูลค่าถึง 200,000,000 วาลิส แต่นั่นก็เพราะมันเป็นอาวุธที่สามารถเติบโตได้เอง

ขณะกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดที่นัดไว้กับอนูบิส วาห์นก็เริ่มกังวลและอยากหาใครบางคนมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องปัญหาผู้หญิงที่เขากำลังเผชิญอยู่

มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่พอจะคิดออกซึ่งก็คือ สึบากิ นาซ่า และโคลอี้ แต่พอคิดไปคิดมาก็ดูจะไม่มีใครเหมาะสมที่จะคุยเรื่องนี้ได้เลย

ขณะที่กำลังหมกมุ่นกับความคิด พี่สาวก็พูดขึ้นมาในหัว

(*วาห์น เธอควรแปลงคริสตัลระดับสูงพวกนี้ให้เป็น OP แทนนะ พลังงานที่อยู่ในแต่ละก้อนมีค่าประมาณ 120k – 150k OP ได้เลย*)

วาห์นประหลาดใจกับข้อมูลจากพี่สาวและยอมให้เธอเปลี่ยนพวกมันทันที

แม้เขาจะสามารถขายพวกมันหรือเอามาสร้างเป็นอุปกรณ์แทนได้ แต่วาห์นก็ยังกังวลอยู่กับภารกิจที่ยังไม่เสร็จสักที

เขาถึงขนาดคิดจะตีอาวุธขึ้นมาและแปลงมันให้เป็น OP เสียด้วยซ้ำ

หลังจากพูดคุยกับพี่สาวเสร็จแล้ว ตอนนี้วาห์นมี 818,309 OP และเหลืออีกไม่มากก็จะครบตามเป้าหมาย 1 ล้านแต้ม

เขาอารมณ์ดีขึ้นกว่าช่วงเมื่อกี้มากและเร่งความเร็วขึ้นก่อนจะมาถึงจตุรัสภายใน 15 นาที

ค่าความว่องไวของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากจนความเร็วในการเคลื่อนที่แบบทั่วๆ ไปของเขานั้นเร็วยิ่งกว่าการวิ่งเต็มฝีเท้าของคนทั่วไปเสียอีก

การเดินทางที่เขามักจะใช้เวลาวิ่งเต็มฝีเท้าไป 20 นาที ตอนนี้เหลือแค่ 15 นาทีด้วยการวิ่งเหยาะๆ

พอมองไปทั่วบริเวณ วาห์นก็พบอนูบิสที่นั่งอยู่บนม้าหินขณะที่เหล่าเด็กๆ กำลังนั่งล้อมเธอเป็นวงกลม

พวกเขามีท่าทางสงบเสงี่ยมและนั่งหลับตาอยู่ราวกับกำลังทำสมาธิ

อนูบิสสังเกตเห็นเขาเข้ามาใกล้ก่อนจะปรบมือเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจของเด็กๆ

“นายท่านของเรามาถึงแล้ว พวกเธออดทนรอได้ดีมาก~”

วาห์นเห็นว่าอนูบิสเอื้อมมือไปหยิบถุงที่บรรจุลูกอมออกมาและเริ่มส่งมันให้กับเด็กๆ ที่รับมันไปพร้อมรอยยิ้ม

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยืนยันได้ว่าเธอสามารถรับคำสั่งจากเขาได้แม้เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม

ด้วยความสงสัย วาห์นเลยถามขึ้น

“ลูกอมเหรอ?”

อนูบิสยิ้มพร้อมอธิบาย

“เพราะเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกว่าเด็กๆ น่าจะได้ทานลูกอมเพื่อฉลองให้กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

แต่ฉันก็ได้ให้พวกเขาทานอาหารก่อนแล้วและเฝ้ารอนายท่านกลับมาก่อนจะมอบมันให้เป็นรางวัล”

เมื่อเห็นออร่าของเธอไม่มีความผันผวนเลย วาห์นจึงให้เหตุผลว่า ‘คำสั่ง’ ของเขาคงถูกตีความเป็นรูปแบบความคิดหรือแรงกระตุ้นเบาๆ แทนการบังคับ

เขาเกิดความสนใจขึ้นมาและลองออก ‘คำสั่ง’ อีกอย่างโดยให้อนูบิสมองไปที่ยอดหอคอยบาเบล

มันดูเป็นคำสั่งที่ง่ายดายและไม่ลำบากเธอจนเกินไปนักซึ่งจะช่วยให้เขายืนยันสมมติฐานของตัวเองได้เป็นอย่างดี

ไม่กี่วินาทีหลังจาก ‘คำสั่ง’ ถูกส่งออกไป อนูบิสก็มีสีหน้าครุ่นคิดขณะมองไปทางยอดของหอคอยบาเบลราวกับกำลังตามหาบางอย่าง

วาห์นมองตามสายตาของเธอก่อนจะถามขึ้น

“มีอะไรเหรอ?”

อนูบิสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“เหมือนว่าสัญชาตญาณของฉันกำลังบอกให้ตัวเองเองมองไปทางหอคอย แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันค่ะ”

อนูบิสดูจะสับสนกับพฤติกรรมของตัวเองและส่ายหัวไปมาเพื่อเลิกคิดถึงมัน

วาห์นพบว่าเมื่อเธอส่ายหัวและหยุดมองไปที่หอคอย ความภักดีของเธอก็ลดลงมาจาก 86 เป็น 85 แต้ม

เขาประหลาดใจและตระหนักว่าหากคำสั่งของเขาขัดแย้งกับความคิดของคนถูกสั่ง พวกเขาจะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติๆ และจะส่งผลโดยตรงต่อค่าความภักดี

ดูเหมือนว่าค่าความภักดีจะเพิ่มขึ้นได้ง่ายหากอีกฝ่ายรู้สึกชื่นชอบหรือได้รับรางวัลจากเจ้านาย แต่มันก็จะลดลงได้ง่ายเช่นกันหากได้รับคำสั่งแปลกๆ

อนูบิสพบว่าวาห์นกำลังทำหน้าครุ่นคิดจึงพูดขึ้นมาก่อน

“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะนายท่าน ฉันว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เธอเผยรอยยิ้มอ่อนโยนจนวาห์นเริ่มรู้สึกผิดที่ออก ‘คำสั่ง’ แบบนั้นไป

ทว่าเขาเองก็คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องเข้าใจการทำงานของระบบอย่างละเอียด

เนื่องจากเขาไม่สามารถสื่อสารกับฟาฟเนียร์หรือโคโบลด์ไร้นามได้ เขาจึงไม่เข้าใจว่าพวกมันตีความคำสั่งของเขาออกมาในรูปแบบไหน

พอนึกถึงฟาฟเนียร์ วาห์นก็นึกย้อนไปถึงฉากที่มันทำร้ายตัวเองและทันใดนั้นก็มีภาพของอนูบิสที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ไปซ้อนทับกับภาพที่ฟาฟเนียร์ทำร้ายตัวเอง

เขารู้สึกถึงความกลัวที่เข้ามาเกาะกุมจิตใจและเกือบจะอาเจียนออกมาหลังจินตนาการถึงภาพที่เทพธิดาผู้งดงามกำลังฉีกตัวเองออกเป็นชิ้นๆ

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบผิดปกติของวาห์น อนูบิสก็เดินไปข้างหน้าและเริ่มลูบหลังให้เขา

เธอไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้คืออะไร แต่พอรับรู้ได้ว่าเขากำลังทรมานเพราะได้รับความเสียหายทางจิตใจ

อนูบิสรู้ว่าวาห์นเพิ่งจะออกจากสถานพยาบาลมาหลังได้รับบาดเจ็บทางจิตใจอย่างรุนแรง และเธอก็สงสัยว่าผลของมันอาจจะยังหลงเหลืออยู่จนถึงตอนนี้

วาห์นรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยขณะมองอนูบิสที่กำลังลูบหลังให้และเผยรอยยิ้มเชิงขอโทษออกมาพร้อมปรับสมดุลจิตใจของตัวเองให้เข้าที่

“ขอโทษทีนะ… กลับบ้านกันเถอะ รางวัลที่ฉันได้มาจากกิลด์มีเยอะกว่าที่คิดเอาไว้มากเลย ดังนั้นช่วงนี้พวกเราน่าจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าไหร่”

วาห์นเริ่มเดินนำออกไปขณะที่อนูบิสเดินตามหลังมาราวกับว่าเป็นเลขาส่วนตัว

พอสัมผัสได้ถึงความประหลาดบางอย่าง วาห์นก็มองกลับไปและพบว่าพวกเด็กๆ ยังคงรออยู่ตรงที่ที่พวกเขาเพิ่งจะเดินออกมา

วาห์นมองไปทางอนูบิสและเห็นเธอยิ้มพร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย

“อย่าลืมนะคะว่าตอนนี้นายท่านเป็นจ่าฝูงแล้ว ถ้านายท่านไม่ได้ผ่านคำสั่งมาที่ฉันหรือเด็กๆ พวกเขาก็จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขา… ดูน่ารักมากสำหรับเรื่องความภักดีที่มีให้”

อนูบิสป้องปากตัวเองและหัวเราะเล็กน้อย

วาห์นถอนหายใจก่อนจะตะโกนไปทางเด็กๆ

“ตามมาเร็ว เราจะกลับบ้านกันแล้ว!”

พอเขาส่งเสียงออกไป เด็กๆ ทั้งเจ็ดก็วิ่งเข้ามาก่อนจะหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเขากับอนูบิส

เมื่อมองไปที่เธออีกครั้ง วาห์นก็เห็นรอยยิ้มตอบกลับและเริ่มรู้สึกแล้วว่าปัญหาของเขาเพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาอีก 8 อย่าง

ขณะมุ่งหน้ากลับบ้าน วาห์นก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้นำขบวนแห่ขณะที่อนูบิสเดินตามหลังเขาและพยายามรักษาจังหวะการเดินให้เท่ากันแบบเป๊ะๆ

พวกเด็กๆ เองก็เดินอย่างเป็นระเบียบขณะตามหลังอนูบิสและไม่พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว

วาห์นรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเดินนำต่อไปและอยากให้ความรู้สึกในตอนนี้จบลงเสียที

ในที่สุด หลังจากที่ดูเหมือนเวลาจะผ่านมานานกว่าในความเป็นจริง วาห์นและเหล่า ‘เชียนโธรปน้อย’ ก็มาถึงด้านนอกคฤหาสน์ของสึบากิ

เขาอยากจะเข้าไปข้างในแต่คิดว่าคงไม่เหมาะหากต้องพาคนแปลกหน้าทั้ง 8 คนเข้าไปด้วยโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อมองไปรอบๆ วาห์นก็เห็นที่ที่เขาเพิ่งจะได้รับมา

ตามที่เฮเฟสตัสพูดให้ฟัง ที่พักของเขาอยู่ติดกับทางเดินคู่กับคฤหาสน์ของสึบากิ

เขาเดินนำไปตามทางจนกระทั่งมาถึงบ้านพักที่มีขนาดประมาณหนึ่งในห้าของสึบากิ

เส้นทางเข้าบ้านค่อนข้างจะเปล่าเปลี่ยวและไม่มีทางอื่นที่จะเข้ามาถึงตรงนี้ได้อีก

วาห์นตระหนักว่าที่พักของเขาดูผิดปกติไปเล็กน้อยซึ่งเฮเฟสตัสคงคิดเอาไว้ก่อนแล้วว่าเขาน่าจะชอบความเป็นส่วนตัวและไม่อยากให้ใครมาเดินผ่านไปมาบ่อยๆ

เขาหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูหน้าและค่อยๆ เดินผ่านลานขนาดย่อมๆ เข้าไปข้างใน

เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป วาห์นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอันแสนคุ้นเคยที่ยังไม่แน่ใจว่ามันคือกลิ่นอะไร

มันให้ความรู้สึกที่ดีและทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วขณะที่เขาพาทุกคนเข้าไปข้างใน

พออนูบิสและเหล่า ‘สุนัขล่าเนื้อ’ ได้เข้ามาด้านในตัวบ้าน พวกเขาก็หยุดเดินและเริ่มใช้จมูกดมกลิ่นฟุดฟิด

วาห์นพบว่าการกระทำของพวกเขาคล้ายกับตัวเองมากจึงไม่ต้องเสียเวลาไปถามเลยว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

ดูเหมือนว่าอนูบิสจะได้ข้อสรุปแล้วและหันมาถามเขาแทน

“นี่เป็นสถานที่ที่ท่านเฮเฟสตัสอาศัยอยู่มาก่อนเหรอคะ?”

ดูเหมือนเธอจะมีท่าทางงุนงงอยู่บ้างขณะที่ถามวาห์น

วาห์นเองก็ไม่มั่นเรื่องนี้เท่าไหร่จึงตอบกลับไปแบบตรงๆ

“ไม่รู้สินะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่เหมือนกัน ทำไม เธอรู้อะไรเข้าเหรอ?”

อนูบิสหัวเราะก่อนจะตอบ

“ที่แห่งนี้มีกลิ่นคล้ายกับท่านกับเฮเฟสตัสมาก

ถ้าเธอไม่ได้พักอยู่ที่นี่บ่อยๆ มันก็คงไม่มีกลิ่นที่รุนแรงขนาดนี้”

พวกเด็กๆ ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของอนูบิสและยืนยันออกมาเหมือนกัน

วาห์นรู้สึกสงสัยจึงเปิดใช้ร่างพยัคฆ์ขาวเพื่อจะได้ดมกลิ่นด้วยตัวเอง

พอเขาแปลงร่าง ดวงตาของอนูบิสก็เบิกกว้างขณะที่เด็กๆ ทุกคนต่างเข้าสู่สภาวะตื่นตัวเป็นพิเศษ

วาห์นไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาเพราะกำลังยุ่งกับการดมกลิ่นอยู่

ตอนนี้สัมผัสของเขาเฉียบคมขึ้นจากร่างพยัคฆ์ขาวและทำให้จับกลิ่นต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งสูดดมเข้าไปมากเท่าไร สมองของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อยๆ และวาห์นก็ตระหนักว่ากลิ่นนี้คล้ายกับกลิ่นบนโซฟาที่เฮเฟสตัสห้ามไม่ให้เขาดมโดยเด็ดขาด

พอตามกลิ่นไปเรื่อยๆ วาห์นก็พบเข้ากับห้องที่มีเตียงขนาดใหญ่พิเศษและถูกคลุมด้วยผ้าปูหรูหรา

อนูบิสเดินตามเขามาขณะที่พวกเด็กๆ รออยู่ตรงห้องโถง

เมื่อเห็นด้านในห้อง เธอก็พูดทักขึ้น

“นี่ต้องเป็นห้องที่ท่านเฮเฟสตัสใช้เป็นประจำแน่นอน มีกลิ่นของเธอติดอยู่แทบจะทุกส่วนเลยค่ะ”

วาห์นพยักหน้าเพราะเขาเองก็ได้กลิ่นเช่นกัน

มันทำให้หัวใจสั่นระรัวจนเขาต้องปลดการแปลงร่างก่อนที่กลิ่นเย้ายวนจะทำให้เขาเป็นบ้า

เมื่อเห็นเขากลับไปเป็นร่างปกติ อนูบิสก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

“ร่างนั่น… ฉันขอถามได้ไหมคะว่ามันคืออะไร?”

อนูบิสสนใจในตัววาห์นมากตั้งแต่ที่เธอได้ดวงเห็นวิญญาณของเขาก่อนหน้านี้แล้ว

ในฐานะคนที่สามารถมองเห็นดวงวิญญาณ เธอเคยเห็นวิญญาณมานับไม่ถ้วนจากหลายยุคหลายสมัย

ทั้งรูปร่าง ขนาด และสีดวงวิญญาณของวาห์นนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่และเป็นคนที่เที่ยงธรรม

แม้จะเอาไปเทียบกับ ‘วีรบุรุษ’ ที่เธอเคยเห็นมาจากทั่วทั้งประวัติศาสตร์ก็ไม่มีคนไหนเลยที่มีดวงวิญญาณใกล้เคียงกับวาห์น

นี่คือเหตุผลที่เธอตัดสินใจอุทิศตัวให้กับเขานั่นเอง และมันยังเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะรับประกันความปลอดภัยของพวกเด็กๆ ได้อีกด้วย

วาห์นเริ่มอธิบายออกมาแบบเรื่อยๆ

“มันเป็นเวทมนตร์ที่ฉันได้มาตอนอยู่ในสภาพย่ำแย่จากในดันเจี้ยนน่ะ

นับจากนั้นมา ฉันก็เริ่มพัฒนามันมาโดยตลอดและถึงขนาดใช้มันเอาชนะโกไลแอธมาได้เมื่อร่างพัฒนาไปถึงรูปแบบที่สาม”

พอได้ยินวาห์นพูดว่าเขามีร่างแปลงมากกว่าหนึ่งแบบ อนูบิสก็ดูสนใจมากกว่าเดิมแต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ซักไซ้อะไรในตอนนี้

เธอตั้งใจว่าจะติดตามวาห์นไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนเรื่องความลับ ความสามารถ หรืออะไรแบบนี้เลย

เมื่อระบบแจ้งเตือนว่าค่าความภักดีของอนูบิสเพิ่มขึ้นมาอีก เขาก็หันไปทางหญิงสาวที่ดูเงียบสงบและยิ้มให้เธอ

ดูเหมือนเธอจะมีความสุขมากขณะยิ้มกลับมาให้เขาเช่นกัน

วาห์นกลับไปที่โถงทางเดินและพยายามเรียกชื่อของพวกเด็กๆ ออกมาให้ครบก่อนจะบอกให้พวกเขาเลือกห้องที่ตัวเองชอบ

พวกเด็กๆ ดูเหมือนจะสนใจบ้านใหม่มากและกระจายตัวกันออกไปสำรวจอย่างรวดเร็ว

แม้จะดูเล็กกว่าคฤหาสน์ของสึบากิแต่ที่นี่ก็มีห้องมากมายหลายสิบห้อง ซึ่งพวกเขาน่าจะอาศัยอยู่กันได้อย่างสุขสบาย

หลังจากพวกเด็กๆ ออกไปหมดแล้ว อนูบิสก็ถามขึ้น

“แล้วนายท่านจะพักที่ห้องไหนเหรอคะ?”

เมื่อได้ยินคำเรียกใหม่ที่เธอชอบใช้ วาห์นก็รู้สึกขนลุกซู่อีกครั้ง

เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอและตอบกลับไป

“เธอไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก แค่วาห์นเฉยๆ ก็พอ…”

ก่อนจะได้พูดจนจบ อนูบิสก็ได้ส่ายหัวเพื่อเป็นการปฏิเสธ

“ไม่ได้เด็ดขาดเลยค่ะนายท่าน อย่างที่ฉันพูดไปแล้ว ลำดับชนชั้นเป็นสิ่งสำคัญเป็นมากจากสถานที่ที่พวกเราจากมา

เมื่อฉันสาบานว่าจะรับใช้อยู่ข้างกายท่าน ฉันก็ต้องเรียกท่านว่านายท่านจนกว่าสถานะของท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงไป”

วาห์นสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะคืออะไรจึงถามต่อ

“สถานะของฉันจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรได้อีกเหรอ?”

เป็นครั้งแรกที่วาห์นได้เห็นสีหน้าซุกซนอนูบิสขณะที่เธอหัวเราะแบบป้องปาก

หางของเธอดูเหมือนจะค่อยๆ แกว่งไปมาขณะที่เธอตอบข้อสงสัยของเขา

“ถ้าหากว่าท่านกลายเป็นสามี ฉันก็ต้องเรียกท่านว่า ‘ท่านพี่’ แทนค่ะ”

ขณะที่เธอพูดออกมา วาห์นก็กัดฟันแน่นและก้าวถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัว

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา อนูบิสก็หัวเราะเสียงแหลมกว่าเดิม

“ตายจริง ไม่ต้องทำท่าจริงจังขนาดนั้นก็ได้ค่ะนายท่าน

ฉันแค่ล้อเล่น… อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้นะคะ”

พอเธอพูดจบ อนูบิสก็เดินผ่านวาห์นที่ยังอยู่ในสภาพอ้ำอึ้งและขยับหางไปสัมผัสกับเขาเบาๆ ขณะเดินผ่าน

“ฉันเดาว่าท่านคงจะพักในห้องของท่านเฮเฟสตัส งั้นฉันจะใช้ห้องที่อยู่ถัดไป… หากต้องการอะไรก็เรียกใช้ฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะนายท่าน ‘อะไรก็ได้’ ค่ะ”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท