Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 116

ตอนที่ 116

หลังจากเข้าพักในบ้านหลังใหม่ ราซุย ชีโอน นัวร์ มาอัต นานู อาคิล และ อาตาร์ ก็กำลังนั่งล้อมวาห์นภายในห้องอาหารหลักขณะที่อนูบิสยืนอยู่ด้านหลัง

ที่พักของวาห์นนั้นมีความเป็นสไตล์ตะวันตกซึ่งต่างจากคฤหาสน์ของสึบากิมาก

ห้องพักทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 11 ห้อง และมี 2 ห้องอาบน้ำอยู่ที่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของที่พัก

ห้องของวาห์นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกและหันไปทางคฤหาสน์ของสึบากิ ขณะที่เด็กๆ ใช้ห้องร่วมกันเพียงสองห้องเท่านั้น

แม้วาห์นจะบอกให้เด็กๆ เลือกห้องได้ตามใจชอบ แต่ดูเหมือนพวกเขาอยากจะแบ่งกันใช้โดยแยกเป็นห้องเด็กผู้ชายและห้องเด็กผู้หญิงแทน

ราซุย นัวร์ และคู่แฝดอาคิลกับอาตาร์ อาศัยอยู่ในห้องขนาดเล็กซึ่งทำให้วาห์นรู้สึกประหลาดใจมาก

ส่วนพวกผู้หญิงนั้นเลือกห้องที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามและอยู่ติดกับห้องอาบน้ำ

วาห์นพบว่ามันค่อนข้างแปลกที่ทุกคนพักอยู่ห่างกันค่อนข้างมาก

จุดเด่นที่สุดของบ้านหลังนี้ก็คือห้องทำงานและห้องอาบน้ำหลัก

บ้านทั้งหลังรวมถึงห้องต่างๆ นั้นมีความกว้างและความยาวพอๆ กันโดยที่ทุกห้องจะอยู่ล้อมรอบห้องทำงานขนาดใหญ่ตรงใจกลางของบ้าน

วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีวัตถุดิบมากมายถูกเก็บไว้อยู่บนชั้นวาง รวมไปถึงของราคาแพงอย่างมิธริลกับโลหะเวทมนตร์ด้วย

ห้องอาบน้ำนั้นไม่ใช่ออนเซ็นแบบของสึบากิ แต่ก็มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 5×5 เมตร ขณะที่ห้องทั้งห้องปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน

วาห์นคิดว่าการออกแบบของห้องอาบน้ำนั้นดูมีมูลค่าสูงมาก สูงกว่าทุกอย่างในบ้านซะอีก

ถ้าให้เขาเดา บ้านหลังนี้น่าจะมีราคาประมาณหลายสิบล้านวาลิสเลยทีเดียว

หลังจากสำรวจทุกอย่างหมดแล้ววาห์นก็เรียกรวมทุกคนและมานั่งกันอยู่ในห้องอาหารหลัก

แต่เดิมจะมีโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวตั้งอยู่ตรงกลางด้วย ทว่าวาห์นได้เก็บมันเข้าไปในช่องเก็บของเป็นการชั่วคราว

ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนพื้นโดยมี ‘เด็กๆ’ นั่งล้อมรอบเพื่อรอฟังเขา

วาห์นรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อยที่ต้องเรียกพวกเขาว่าเด็กๆ ทั้งๆ ที่อายุอานามน้อยกว่าวาห์นเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

แต่เพราะตอนนี้ตำแหน่งของเขาอยู่สูงกว่ามาก อย่างน้อยก็ตามที่ระบบ ‘ลำดับชั้น’ ได้ระบุเอาไว้

อนูบิสยืนอยู่ข้างๆ วาห์นและเฝ้ามองภาพที่เห็นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

วาห์นนั่งขัดสมาธิกอดอกและครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมา

หลังจากผ่านไปหลายนาที เขาก็เปิดตาขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ราซุย ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่สุด นายจะต้องเป็นคนดูแลพวก ‘น้องๆ’ ด้วยล่ะ

นายรู้จักน้องๆ ดีกว่าฉันและฉันเชื่อว่านายน่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี”

เมื่อเขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็โค้งให้เล็กน้อยก่อนจะตอบรับ

“ครับ นายท่าน!”

แม้ว่าวาห์นจะรู้สึกเซ็งๆ กับวิธีเรียกแบบนี้ แต่เขาก็ปล่อยมันไปก่อนขณะกวาดสายตาไปที่เด็กๆ คนอื่น

ราซุยขยับมาอยู่ตรงกลางขณะที่พวกเด็กหนุ่มขยับไปอยู่ด้านขวาและสาวๆ ไปอยู่ทางด้านซ้ายแทน

มาอัตเป็นเด็กสาวอายุ 13 ปีซึ่งแก่ที่สุดในฝั่งเด็กผู้หญิงแล้ว ดังนั้นวาห์นจึงให้เธอดูแลเรื่องต่างๆ ภายใน ‘รัง’ (ตามที่พวกเธอใช้เรียกห้องของตัวเอง) ของสาวๆ

มาอัตดูเหมือนจะตื่นเต้นมากขณะแกว่งหางไปมาเพื่อแสดงความรู้สึกพร้อมตอบรับทันที

“ค่ะ นายท่าน!”

เมื่อได้ยินเด็กสาวที่มีอายุเกือบเท่าตัวเองมาเรียกว่านายท่าน วาห์นก็รู้สึกตะหงิดๆ

มันไม่ใช่ ‘ความตื่นเต้น’ แบบปกติที่เขาเจอในช่วงนี้ แต่กลับทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยแทน

ตอนนี้เขาได้มอบหมาย ‘หัวหน้า’ ของทั้งสองห้องแล้ว วาห์นจึงนำความรู้ที่ได้รับจากสึบากิออกมาใช้และเริ่มพยายามวางพื้นฐานในอนาคตให้กับพวกเด็กๆ

“แม้ว่าฉันจะต้องทำความรู้จักกับทุกคนให้มากกว่านี้ แต่หลังจากนี้ไปทุกคนจะต้องได้รับการฝึกฝนในช่วงเช้า

แม้จะไม่ใช่อาจารย์เก่งกาจอะไร แต่ฉันก็สามารถช่วยพัฒนาทักษะของพวกเธอผ่านการฝึกซ้อมและวิธีต่างๆ ได้

พวกเราจะเริ่มกันตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ของทุกวันยกเว้นช่วงสุดสัปดาห์ และจะต้องฝึกฝนกันอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลา 10 โมงเช้าของแต่ละวัน

จากนั้นพวกเธอจะมีเวลาอิสระจนถึง 2 ทุ่ม แต่หากมีเหตุจำเป็นก็สามารถมาขอขยายเวลาเพิ่มได้อีก”

วาห์นพูดอย่างช้าๆ และรู้สึกพอใจมากที่เห็น ‘พวกเด็กๆ’ ตั้งใจฟัง

เขาพยักหน้าและเริ่มพูดต่อ

“สำหรับหน้าที่ของแต่ละคนนั้นคงต้องจนกว่าฉันจะรู้จักทุกคนให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อน

ยังไงก็ตาม พวกเธอควรคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำได้และสิ่งที่อยากจะพัฒนาต่อเพื่อที่ในวันข้างหน้าจะได้กลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ

ตามที่ฉันเข้าใจ พวกเธอจะถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปีและเมื่อถึงตอนนั้นแต่ละคนก็ต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้

เพราะฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าแฟมิเลียนี้ ฉันก็จะไม่บังคับให้พวกเธอออกจากแฟมีเลียตามที่อนูบิสบอกว่านั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติตอนที่พวกเธออาศัยอยู่ทางใต้”

เมื่อได้ยินว่าพวกตนจะไม่ถูกบังคับให้ ‘ออก’ จากแฟมิเลียหลังกลายเป็นผู้ใหญ่ หางของเด็กๆ ก็เริ่มแกว่งอย่างรุนแรงและดูเหมือนพวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาท่าทาง ‘สงบ’ เอาไว้

อนูบิสเล่าข้อมูลเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ให้กับวาห์นฟังมาแล้วเล็กน้อย

ดูเหมือนเธอจะดูแลแฟมิเลียนี้ให้คล้ายกับกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขณะที่อยู่ในทะเลทรายทางใต้

แม้จะไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนที่เจอได้ แต่ถ้าหากพบเด็กที่ดูน่าสงสารจริงๆ เธอก็จะรับพวกเขาเข้าเข้ามาดูแลในแฟมิเลีย

ถึงจะแทบไม่มีความสามารถด้านต่อสู้อยู่เลย แต่เธอก็มีความรู้และสามารถมอบการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่พวกเด็กๆ ขณะปล่อยให้พวกเขาฝึกฝนและเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเอง

สิ่งแรกที่เธอสอนก็คือเรื่องระเบียบวินัยและจะพยายามเลี้ยงดูพวกเขาให้กลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีน้ำใจต่อผู้อื่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กๆ ไม่ได้ทำงาน พวกเขาก็จะไปอยู่แถวๆ ตลาดและคอยนำอาหารไปให้พวกเด็กกำพร้าคนอื่นๆ

เนื่องจากอนูบิสจะดูแลเด็กๆ จนถึงตอนที่พวกเขากลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ เท่านั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขามีอายุครบ 14 ปี เธอก็จะ ‘ปลดปล่อย’ พวกเขาจากพันธะของแฟมิเลียและให้เดินทางต่อไปเพื่อเผยแพร่ความเมตตาแบบเดียวกับที่ตนเองเคยได้รับ

เธอไม่เคยต้องการใช้แฟมิเลียเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง และแม้จะมีหลายคนที่อยากอยู่ต่อ แต่มันก็เป็นวิถีปฏิบัติของอนูบิสซึ่งไม่เคยมีข้อยกเว้นมาก่อนเช่นกัน

ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ตอนนี้เธอเลือกที่จะติดตามวาห์นแล้ว อนูบิสจึงปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินใจแทน

อนูบิสคิดว่าวาห์นจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กๆ และคาดว่าในอนาคตพวกเขาคงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยวาห์นขยายอำนาจและอิทธิพลออกไปอีก

หลังจากเขา ‘พูด’ จบ ทุกคนก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมากและทำพิธีเล็กๆ ที่แต่ละคนจะเข้ามาปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อวาห์นในฐานะครูฝึก

แม้มันจะเป็นช่วงเวลาปั่นประสาทเพียงไม่กี่นาที แต่วาห์นก็รู้สึกสับสนว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับการแจ้งเตือนเพื่อรับเด็กๆ มาเป็นลูกน้องจากในระบบ

มันอาจจะมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ แต่สำหรับตอนนี้ วาห์นแค่เดาไปว่าอาจเป็นเพราะพวกเด็กๆ ไม่ได้ตั้งใจจะติดตามเขาจริงๆ

หรือไม่งั้นก็อาจจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากกรณีของอนูบิสซึ่งเขายังไม่เข้าใจดีนัก

วาห์นปล่อยให้เด็กๆ ไปพักผ่อนและให้ทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ให้เร็วที่สุด

พวกเขาแทบจะวิ่งออกจากห้องหลังวาห์นพูดจบ ขณะที่วาห์นรู้สึกว่านี่คงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเด็กๆ แทนที่จะดูเงียบขรึมและมีความอดทนสูงเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้

อนูบิสหัวเราะคิกคักขณะมองวาห์นผู้ที่กำลังยิ้มกับสิ่งที่คิดไว้ในหัว

เธอจัดชุดของตัวเองให้เข้าที่และนั่งลงทางด้านขวาของเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วย

“นายท่านเข้าใจอะไรได้มากกว่าที่ฉันคิดซะอีก เรื่องที่ท่านย้ายโต๊ะออกไปในตอนแรกนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดมาก และดูเหมือนท่านจะปรับตัวเข้ากับตำแหน่ง ‘จ่าฝูง’ ได้รวดเร็วจริงๆ”

อนูบิสเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าขณะกำลังพูด

หางของเธอแกว่งเบาๆ และกระทบเข้ากับขาเรียวบางไปมาซึ่งดึงดูดความสนใจของวาห์นเล็กน้อย

อนูบิสพูดต่อ

“ตั้งแต่ที่ฉันจุติลงมาเมื่อ 300 ปีก่อน ฉันรู้สึกว่าวิธีการของตัวเองนั้นดูจะไม่ใช่วิธีการจัดการที่ดีที่สุด

แม้ฉันจะสามารถทำให้เด็กหลายคนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถและพึ่งพาตัวเองได้ แต่มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่พวกเขาดูมีความสุขเหมือนกับเด็กๆ ของฉันในตอนนี้

มันทำให้ฉันเจ็บปวดอยู่เสมอเมื่อเห็นเด็กๆ มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากในตอนแรกๆ กลับกลายเป็นคนที่ทำตัวเคร่งขรึมจริงจังหลังถูกฉันฝึกสอน

ตอนแรกที่ฉันเริ่มรับเด็กๆ เข้ามาในแฟมิเลีย สิ่งเดียวที่ฉันต้องการในเวลานั้นก็แค่… การได้เห็นพวกเขายิ้มแย้มและมีความสุข”

วาห์นมองเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของอนูบิสขณะที่เธอเล่าอดีตให้ฟัง

สำหรับวาห์นแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้องใช้ชีวิต 300 ปี ไปกับการดูแลเด็กกำพร้าเป็นร้อยเป็นพันคน

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมใครบางคนถึงสามารถ ‘เสียสละ’ และทุ่มเทให้กับผู้อื่นได้มากมายขนาดนั้น แถมบางครั้งยังต้องมารู้สึกเศร้าเสียใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วย

เมื่อนึกถึงความโดดเดี่ยวภายในความทรงจำของเฮเฟสตัส วาห์นก็เริ่มคิดว่าการได้เป็นเทพอยู่ภายในโลกใบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องสะดวกสบายอะไรเท่าไหร่

ดูเหมือนพวกพวกเทพจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดและต้องทำตามหลักการเหล่านั้นอยู่เสมอ

วาห์นเริ่มรู้สึกสงสารเทพธิดาผู้งดงามที่มองเขาด้วยสีหน้าโศกเศร้ายิ่งกว่าความรู้สึกผิดที่ตนทำไว้กับพวกเด็กๆ เสียอีก

แม้ว่าเธอจะยังแสดงรอยยิ้มและแกว่งหางไปมา แต่วาห์นมองเห็นความโศกเศร้าในดวงตาคู่นั้นและออร่าที่ค่อยๆ กระจายออกจากร่างของเธอ

เขาเริ่มสงสัยแล้วว่ารอยยิ้มกับการแกว่งหางนั้นเป็นสิ่งที่เทพธิดาองค์นี้ ‘เล่นละครตบตา’ เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นความเศร้าของตัวเอง…

อนูบิสเริ่มเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวขณะที่เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต จนทำให้ไม่ได้เตรียมตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น กลับมีมือวางลงบนหัวที่อยู่ระหว่างหูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของเธอ

ขณะที่ความอบอุ่นอันอ่อนโยนก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านออกมาจากฝ่ามือเข้าไปในหัวและมือนั่นก็เริ่มลูบเส้นผมของเธอเบาๆ

ด้วยความประหลาดใจ อนูบิสหันไปเห็นวาห์นที่กำลังลูบหัวเธอไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

เธอยื่นมือของตนออกไปจับมือเขาเบาๆ และนำมันออกจากหัว

เธอยิ้มอีกครั้งและพูดเสียงเบา

“นายท่านไม่ต้องกังวลเรื่องฉันหรอกค่ะ การที่ท่านช่วยดูแลเหล่าเด็กๆ ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่สมควรได้รับด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดแล้วฉันต่างหากที่ต้องเป็นข้ารับใช้นายท่าน และเราไม่ควรมาสลับหน้าที่กันนะคะ”

พอพูดจบแล้วเธอก็หัวเราะออกมาแต่วาห์นยังมองเห็นออร่าเศร้าๆ นั่นได้อย่างชัดเจน

วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น

“ฉันเป็นคนเลือกที่จะปลอบเธอเอง และแม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่ความเอาแต่ใจของฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากเห็นคนรอบตัวมีเสียหน้าเสียใจแบบนั้น

ถ้าหากไม่ได้เป็นการกวนเธอมากไป ก็ปล่อยให้ฉันปลอบเถอะ แค่นิดหน่อยก็ยังดี”

เพราะอย่างน้อยอนูบิสก็เคารพเขาในฐานะ ‘เจ้านาย’ วาห์นจึงพยายามพูดอย่างจริงใจและใช้น้ำเสียงที่ฟังดูเด็ดขาด

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของอนูบิสก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ภายในจิตใจของเธอกลับมีความคิดผุดขึ้นมามากมาย

เธอกำลังคิดไปว่า ‘นี่เป็นการกระทำของคนที่มีดวงวิญญาณทรงพลังงั้นเหรอ?’

เธอปิดตาและครุ่นคิดไปพักหนึ่งก่อนจะเปิดมันขึ้นมาอีกครั้งและจ้องมองวาห์นด้วยสีหน้าจริงจัง

แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังมองมาที่เธอโดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อยจนเธอทำได้แค่ยิ้มและเอนศีรษะไปข้างหน้า

“หากนั่นคือความประสงค์ของนายท่าน ฉันก็ยินดีทำตามค่ะ…”

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว วาห์นจึงยื่นมือออกไปและเริ่มลูบหัวเธออีกครั้ง

เขาสังเกตเห็นออร่าของเธอสั่นไหวเล็กน้อยและคอยตามดูมันอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ขยับมือไปรอบๆ ศีรษะของเธอ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสัมผัสกับหูนั่น พวกมันก็จะกระตุกขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวของวาห์น

ด้วยความสงสัย วาห์นเลยลองลูบหูของเธอตรงๆ และทำให้เกิดการตอบสนองแทบจะทันที

เธอหลับตาพริ้มตั้งแต่ที่เขาเริ่มลูบหัวเธอ แต่วาห์นสังเกตเห็นว่าหางของเธอเริ่มส่ายไปมาด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเล็กน้อยขณะกระแทกเข้ากับขาของเธอเอง

เมื่อมือของเขาขยับไปด้านหลังใบหู อนูบิสดูเหมือนจะพยายามจะขยับหนีแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายและอยู่นิ่งๆ แทน

ปฏิกิริยาของเธอดูเหมือนจะปลุกบางอย่างภายในตัววาห์นขึ้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มไหลเวียน [หัตถ์แห่งเนอร์วานา] ที่ช่วยทำให้จิตใจสงบขณะลูบตรงบริเวณรอบๆ ใบหูและด้านหลังศีรษะของเธอ

อนูบิสค่อยๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อยและวาห์นสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

วาห์นรู้สึกชื่นชอบการตอบสนองของเธอมากและอยากจะหัวเราะเมื่อได้ยินเสียง ‘กระแทก’ ของหางที่กำลังฟาดขาของเธออยู่ในขณะนี้

ทันใดนั้นเอง เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นในหัวของเขา และวาห์นก็ตระหนักว่าค่าความภักดีของอนูบิสได้ลดลงเหลือ 83 แต้มซึ่งทำให้เขาชักมือออกทันที

เขาไม่มั่นใจว่าทำไมค่าความภักดีถึงลดลงแต่ก็เดาว่าอาจจะเป็นเพราะไป ‘ลูบ’ เธอหนักมือไปหน่อย

หลังจากเขาหยุดลูบหัวเธอแล้ว อนูบิสจึงเปิดตาขึ้นและวาห์นสังเกตเห็นความเปียกชื้นอยู่ภายในดวงตาคู่งามนั่น

“ไม่มีใครเคยบอกท่านเลยเหรอคะ ว่าหากลูบหูของเชียนโธรปแล้วล่ะก็ ท่านจะต้องเตรียมใจรับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไปด้วย?

ฉันอาจเป็นเทพธิดาก็จริง แต่ก็ยังยึดถือวัฒนะธรรมและขนบธรรมเนียมของเผ่าทางใต้อยู่นะคะ”

วาห์นตั้งใจฟังคำพูดของเธอและนึกย้อนไปถึงคำพูดคล้ายๆ กันในอดีตจากเผ่ามนุษย์แมวทั้งสองคนและเชียนโธรปที่เขารู้จักดี

ลิลลี่ นาซ่า และแม้แต่คู่แม่ลูกมิลานกับทีน่าเองก็พูดอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ กับแบบนี้มาก่อน

เมื่ออนูบิสเห็นว่าวาห์นกำลังตั้งใจฟังอยู่ เธอก็พูดต่อไป

“ฉันไม่รังเกียจที่จะตอบรับความรู้สึกของท่านหรอกค่ะ แต่โปรดแสดงมันออกมาในระดับที่เหมาะสมด้วย

หากท่านถลำตัวมากเกินไป ฉันก็ไม่อาจรับผิดชอบต่อผลที่ท่านต้องเผชิญได้นะคะ… นายท่านของฉัน”

วาห์นรู้สึกเหมือนเขามองเห็นประกายแสงแวบวาบผ่านดวงตาสีทองซีดของเธอ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามือกำลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของตัวเอง

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท