Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 118

ตอนที่ 118

วาห์นตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นเกือบสามชั่วโมง

เขาหายดีแล้วแต่ก็พบว่าร่างกลับเต็มไปด้วยผ้าพันแผล

เขาจำได้ว่าที่นี่คือห้องทำงานของนาซ่าและเธอคงเป็นคนพาเขามารักษาแผลหลังถูกสึบากิอัดจนยับ

เมื่อนึกถึงใบหน้าเขินอายของเธอ วาห์นรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

นาซ่าผู้ที่กำลังผสมสารละลายต่างๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานได้ยินเสียงจึงหันมามองทางวาห์นด้วยสีหน้าโล่งอกขณะที่พูดขึ้น

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายถึงฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้

ตอนที่ฉันเริ่มการรักษาก็พบว่ากระดูกของนายหักไปหลายแห่งและยังมีรอยฟกช้ำที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกภายใน

แต่ก่อนที่ฉันจะใช้ยารักษา รอยฟกช้ำพวกนั้นก็ค่อยๆ หายไปแล้ว

รู้ไหมว่ามันเป็นอะไรที่ประหลาดมากตอนที่เห็นบาดแผลของนายถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการใช้เวทมนตร์เข้าช่วย…”

พอพูดถึงท้ายประโยค นาซ่าก็เริ่มนึกย้อนถึงตอนที่ตัวเองนั่งดูร่างกายเปลือยเปล่าของวาห์นไปเกือบชั่วโมงขณะที่บาดแผลต่างๆ เริ่มดูดีขึ้น

เธอเริ่มมีอาการหน้าแดงและวาห์นตระหนักถึงสิ่งที่เธอจะสื่อขณะพบว่าตัวเองกำลังล่อนจ้อนอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมตัวเอาไว้

เมื่อเห็นเสื้อผ้าวางอยู่ด้านข้าง เขาก็นึกอยากจะแกล้งเธอโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน

นาซ่าดูเหมือนจะรู้ทันก่อนจะมองกลับมาขณะพูดต่อ

“สวมเสื้อผ้าได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะทำให้นายได้นอนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนแน่…”

แม้ในตอนแรกจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่นาซ่าก็เหมือนจะคิดออกทีหลังว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป

เมื่อเห็นเธอหน้าแดงหนักหว่าเดิม วาห์นก็เริ่มหัวเราะเสียงดังขณะยื่นมือไปหยิบเสื้อ

เพราะเขาไม่เคยเขินเรื่องนี้ต่อหน้าสึบากิ นาซ่า และลิลลี่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พยายามปกปิดอะไรซึ่งทำให้นาซ่าแอบเฉลียวมองเขาเป็นครั้งคราว

หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว วาห์นก็เดินมาที่โต๊ะทำงานจนนาซ่าต้องหันขวับและเริ่มใช้เครื่องมืออย่างเงอะงะ

วาห์นมาหยุดอยู่ด้านข้างเธอและถามขึ้น

“ตอนนี้เธอกำลังทดลองอะไรอยู่เหรอ?”

นาซ่าถอนหายใจก่อนเริ่มอธิบาย

“สกิลผสมวัตถุดิบของฉันพัฒนาขึ้นเยอะเลยหลังจากที่ได้คำแนะนำจากนาย

ฉันยังเอาผลงานไปโชว์ให้ท่านมิอาคดูด้วยนะ

เขาบอกประหลาดใจกับความคิดสร้างสรรค์ของนายมากเลย

ด้วยการปรับแต่งอีกเล็กน้อย เขาบอกว่าในอนาคตพวกเราจะสามารถผลิตยารักษาที่มีคุณภาพสูงได้ง่ายกว่าเดิมอีก”

วาห์นพยักหน้าและเริ่มมองดูวัตถุดิบต่างๆ ที่เธอกำลังใช้อยู่

เขาพอบอกได้เลยว่า นาซ่ากำลังพยายามปรุงโพชั่นระดับสูงซึ่งมีแต่ผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาหลายสิบปีเท่านั้นที่จะทำมันออกมาได้ด้วยความมั่นใจ

เพราะก่อนหน้านี้วาห์นได้ซื้อคู่มือการเล่นแร่แปรธาตุ คู่มือเคมี และคู่มือการสร้างโพชั่นมาจากระบบร้านค้า เขาจึงช่วยแนะนำเธอเรื่องปรับเปลี่ยนสูตรในการผลิตยาต่างๆ

แม้เธอจะยังไม่มีทักษะเทียบเท่าระดับปรมาจารย์ แต่นาซ่าก็สามารถผลิตโพชั่นระดับสูงที่มีประสิทธิภาพเกือบ 40% ได้แล้ว

ขณะที่เขาเริ่มช่วยเธอเตรียมส่วนประกอบต่างๆ วาห์นก็พูดขึ้น

“เธอพัฒนาไปมากเลยนะ นาซ่า อีกไม่นานเธอคงจะได้เป็นปรมาจารย์หรือไม่ก็ได้สกิล [เล่นแร่แปรธาตุ]”

นาซ่าพยักหน้าช้าๆ หลังจากห้ามตัวเองไม่ให้หยุดวาห์นที่เข้ามาช่วย

แม้เธอจะพยายามห้ามเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่วาห์นก็ยอมทำตามอยู่ไม่นานและพยายามเข้ามาช่วยเธออยู่เสมอ

นาซ่ารู้สึกผิดมากกับท่าทางเรื่อยๆ ของเขา เนื่องจากวาห์นเชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการมากกว่าเธอ… อย่างน้อยก็ในช่วงก่อนผสานมานาเข้าไปในส่วนผสมล่ะนะ

ทั้งสองยังคงเตรียมส่วนประกอบต่อไปเรื่อยๆ แต่นาซ่านั้นรู้สึกวอกแวกกับที่มีวาห์นมาอยู่ด้วย

เธอมักจะรู้สึกผิดที่เขามาช่วยเธอแต่เธอกลับไม่สามารถช่วยเขาได้เลย

แม้เธอจะพยายามสอนเขาผสมวัตถุดิบและมองดูเขาทำทุกอย่างตามขั้นตอนแล้ว แต่เขาก็มักจะจบลงด้วยความผิดพลาดตอนท้ายอยู่เสมอ

นั่นได้ทำร้ายความมั่นใจของนาซ่าเป็นอย่างมาก และเธอรู้สึกเหมือนตัเองเป็นครูสอนที่ไร้ประโยชน์

แม้แต่เทพมิอาคเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมวาห์นถึงผสมโพชั่นไม่ได้

หลังจากได้อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน นาซ่าก็รู้แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับวาห์นและเธอเองก็เห็นว่าเขานั้นห่วยใยเธอเช่นเดียวกัน

แต่ก่อนที่เขาจะ ‘ตื่นขึ้นมา’ (ตามที่ลิลลี่ชอบเรียก) เขาก็ไม่เคยมาสนใจเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เขามักจะแสดงความใจดีและเป็นห่วง แต่นาซ่ารู้สึกว่ามันเหมือนกับสิ่งที่สหายหรือเพื่อนร่วมงานทำให้กันมากกว่าที่จะเป็นคนรักหรือแฟน

แม้ตอนนี้จะทำตัวใกล้ชิดมากขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยแสดงหรือพูดมันออกมาแบบตรงๆ เลย

นาซ่าได้เห็นสาวๆ ทุกคนที่มาเยี่ยมเขาในห้องพยาบาลและยังรู้ด้วยว่าเขาได้สารภาพรักกับเทพเฮเฟสตัสไปแล้ว

เมื่อลิลลี่กลับมาจากโรงหลอมของเฮเฟสตัส เธอก็เริ่มบ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและยังบอกต่ออีกว่าหากต้องการอยู่กับวาห์นต่อไปล่ะก็ พวกเธอจะต้อง ‘พยายาม’ ให้มากกว่านี้อีก

นาซ่ารู้ว่า ‘ความพยายาม’ ที่เธอพูดหมายถึงอะไร แต่เธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเรื่องนี้เท่าไหร่

ในความคิดของเธอนั้น วาห์นเป็นคนที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดซึ่งมักจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดอยู่เสมอ

ในขณะที่เธอมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน

ตั้งแต่บาดเจ็บสาหัสในดันเจี้ยน นาซ่าก็ได้รับความบอบช้ำอย่างรุนแรงและไม่อยากกลับไปฝึกฝนร่างกายอีกครั้ง

นอกจากการฝึกยิงธนูเล็กน้อยแล้ว เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องต่อสู้ให้มากที่สุด

เธอเอาแต่มุ่งเน้นไปที่งานวิจัยและพยายามประยุกต์ใช้ทฤษฎีของวาห์นเข้ากับความรู้และประสบการณ์ของเธอเอง

เมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับวาห์นแล้ว… นาซ่ารู้สึกต้อยต่ำมากๆ

ในขณะที่เธอหมกมุ่นอยู่กับความคิด วาห์นก็พบว่ามือของเธอหยุดลงและเห็นความเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาคู่งาม

วาห์นขมวดคิ้วและรู้สึกข้องใจเล็กน้อยเพาะดูเหมือนว่าพวกสาวๆ ที่อยู่รอบตัวมักเกิดอาการเศร้าอย่างกะทันหันอยู่บ่อยครั้ง

วาห์นอยากจะให้พวกเธอมีความสุขอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปและเริ่มลูบหัวเธอเหมือนกับที่เขาเคยทำมาแล้วเป็นร้อยๆ ครั้งก่อนหน้านี้

นาซ่ารู้สึกถึงสัมผัสอันคุ้นเคยแต่ตอนนี้กลับพบว่ามันยังมีความอบอุ่นแผ่ออกมาจากฝ่ามือของวาห์นซึ่งดูเหมือนจะพยายามขับไล่รู้สึกด้านลบต่างๆ ภายในตัวเธอออกไป

มันช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายและสงบมาก อีกทั้งยังไปกระตุ้นความรู้สึกของเธอให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีก

ขณะที่เธอปิดตาลงและเริ่มมัวเมาไปกับความอบอุ่นแสนสบาย นาซ่าก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนถามเธอเบาๆ

“บอกฉันทีสินาซ่า ว่าเธอเสียใจเรื่องอะไรกัน?”

เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าวาห์นจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้

นาซ่าเงียบไปวินาทีก่อนจะถอนหายใจออกมา

มือที่วางอยู่บนหัวทำให้เธอจมอยู่ในความสุขสบาย แถมมันยังทำให้ความประหลาดใจและความรู้สึกต่อต้านต่างๆ มลายหายไป

นาซ่าพูดด้วยน้ำเสียงซึมๆ

“ฉันกำลังคิดว่า… ตัวเองไม่มีค่าพอที่จะอยู่เคียงข้างนาย นายให้ฉันมากมายเหลือเกิน ทั้งช่วยชีวิตฉัน… ช่วยรักษาแขน… ช่วยอีกหลายๆ เรื่อง และไม่ว่าจะพยายามตอบแทนนายมากขนาดไหน ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

นาซ่าได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆ จากวาห์น และเธอก็มองตรงไปที่เขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว กลัวว่าคำตอบของเธอจะทำให้เขาไม่พอใจ

วาห์นมองเห็นสีหน้านั่นและดันด้านหลังศีรษะของเธอจนมันมาซุกอยู่กับอกของเขา

วาห์นหัวเราะแบบล้าๆ ขณะพูดต่อ

“พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเมื่อกี้สึบากิถึงโกรธฉันมาก การที่เห็นคนอื่นมากังวลเรื่องต่างๆ มันน่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นาซ่าก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแต่ก็ถูกสกัดเอาไว้โดยความรู้สึกอื่นๆ

วาห์นยังคงลูบเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยนขณะพูดต่อ

“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกคนถึงชอบทำเหมือนว่าฉันเป็นคนพิเศษ…

สิ่งเดียวที่ฉันสนใจก็คือการทำให้คนรอบตัวมีความสุข

ทุกอย่างที่ฉันปรารถนาตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็คือการปกป้องคนใกล้ชิดและช่วยทำให้ทุกคนมีความสุข

เมื่อฉันเห็นเธอเสียใจเพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับฉัน… มันเป็นอะไรที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมาก”

นาซ่าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำพูดของวาห์นมากขณะนึกย้อนไปถึง ‘การฝึกซ้อม’ ก่อนหน้านี้

เธอเห็นสึบากิผลักดันวาห์นให้ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง และตอนนี้เธอก็กำลังโดนแบบเดียวกับวาห์นในตอนนั้น

ก่อนที่สึบากิกับวาห์นจะสู้กัน นาซ่าเองก็กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองและเริ่มหยุดก้าวต่อไปข้างหน้า ทั้งๆ ที่สิ่งที่ควรจะทำก็คือหาทางไปต่อที่ดีที่สุด

ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งเธอได้นอกจากความกังวลของตัวเธอเอง…

ทันใดนั้น นาซ่าก็รู้สึกว่าคางของตนถูกยกขึ้นและเธอก็มองไปที่วาห์นด้วยสีหน้าสับสนขณะที่เขาเอนตัวมาด้านหน้าและบรรจงจูบลงบนริมฝีปากของเธอ

เธอรู้สึกประหลาดใจมากแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านกับสัมผัสใกล้ชิดครั้งนี้

นาซ่าเริ่มปิดตาลงจนทำให้มีหยดน้ำตาไหลลงมายังแก้มขณะที่เธอน้อมรับจูบของวาห์น

ผ่านไปไม่กี่วินาที วาห์นก็ชักหน้าออกขณะยังกอดนาซ่าเอาไว้ในอ้อมแขน

เธอมีสีหน้างุนงงปนดีใจ ส่วนวาห์นเองก็พบว่านั่นเป็นสีหน้าที่ดีกว่าตอนแรกมาก

วาห์นยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยน

“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เธอน่ารักมากเลยนะและกลายเป็นคนที่ฉันรู้สึกขาดไม่ได้ไปแล้วด้วย

ถึง… ถึงสุดท้ายพวกเราอาจจะไม่ได้กลายเป็นคนรักกัน แต่ฉันก็พูดได้แบบเต็มปากเลยว่ารู้สึกดีเหลือเกินที่มีเธอมาอยู่เคียงข้าง”

ราวกับว่าความกังวลก่อนหน้านี้เป็นเรื่องตลกไปเลย

นาซ่าเริ่มหัวเราะออกมาขณะเอามือไปผสานกับวาห์น

ทว่าเสียงหัวเราะก็ไม่ได้ดังอยู่นานนัก เพราะนาซ่าค่อยๆ เอนหัวไปข้างหน้าและเริ่มร้องไห้กับแผงอกของวาห์นขณะกอดเอวของเขาเอาไว้

เพราะเขากำลังยืนอยู่ขณะที่น่าซ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ วาห์นจึงถูกเธอกอดในท่าทีดูอึดอัดเล็กน้อย

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ลูบหลังและปล่อยให้เธอปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้เอามาให้เต็มที่

หลังจากร้องไห้เสร็จแล้ว นาซ่ายังกอดเอวของวาห์นต่อไปอีกหลายนาทีจนเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายใกล้จะเป็นตะคริวหากยังถูกกอดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

วาห์นสงสัยว่าทำไมนาซ่ายังกอดต่อจึงตั้งใจว่าจะถามออกไปแต่คำพูดก็ไปติดอยู่ที่ลำคอ

จากด้านบนนั้น วาห์นมองเห็นนาซ่าหลับตาและค่อยๆ สูดเอากลิ่นของเขาเข้าไปแบบเงียบๆ

วาห์นอยากหัวเราะออกมาหลังเห็นท่าทาง ‘ลับๆ ล่อๆ’ ของเธอ เนื่องจากวาห์นสามารถแปลงร่างและเสริมประสาทสัมผัสของตัวเองได้

เขาเองก็รู้ดีว่าประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นของเผ่าเชียนโธรปและมนุษย์แมวนั้นดีแค่ไหน

สำหรับนาซ่าแล้ว กลิ่นของเขาน่าจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ

การกระทำของเธอในตอนนี้น่าจะเป็นวิธีแสดงถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ดีที่สุดแล้ว

วาห์นแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและยังคงลูบหลังต่อจนในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยเขาหลังจากผ่านไปเกือบ 10 นาที

ในตอนที่เธอปล่อยมือ วาห์นก็รู้สึกเหมือนได้รับอิสระจากภาระอันหนักอึ้งและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นาซ่ายืนขึ้นจากเก้าอี้และวาห์นก็สังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่าความสูงของพวกเขานั้นไม่ได้ต่างกันมากเลย

ตอนนี้นาซ่าสูงกว่าเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร และมันก็ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากถ้ามายืนใกล้ๆ

ก่อนที่วาห์นจะพูดอะไร นาซ่าก็จับใบหน้าของวาห์นและจูบเขาคืนบ้าง

ตามเขาที่เคย ‘ทำ’ และด้วย ‘สัญชาตญาณ’ ทำให้วาห์นยื่นมือไปจับที่เอวและดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้กว่าเดิม

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกเพราะเขาสัมผัสได้ว่าหางของเธอกำลังถูกับมือของเขาขณะที่มันส่ายไปมา

นาซ่ายังคงจูบวาห์นต่อเกือบนาทีก่อนจะถอยออกไปด้วยท่าทางเขินๆ

เธอรีมกลับมานั่งลงขณะหยิบอุปกรณ์ขึ้นและพูดกับวาห์นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นายไม่ควรอยู่นี่นานนะ ยังมีอย่างอื่นให้นายคงต้องไปจัดการ และฉันเองก็จะทำงานต่อแล้วด้วย”

วาห์นอยากจะพูดเสริมว่าตอนนี้เรื่องงานไม่น่าจะไปอยู่ในหัวของเธอได้เลย แต่นาซ่าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ฉัน… จะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

ถ้าตอนนั้นมาถึง… ก็ขอโอกาสให้ฉันบ้างละกัน

ฉันรู้สึกว่าถ้านายมาอ่อนข้อให้ง่ายๆ ในฐานะผู้หญิงแล้วฉันคงยอมรับมันไม่ได้หรอก…”

วาห์นส่งเสียง ‘อืม’ ออกไปก่อนจะจูบตรงหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน

ก่อนที่เขาจะออกจากห้องก็หันไปพูดกับนาซ่าอีกครั้ง

“ฉันเชื่อในตัวเธอนะ นาซ่า”

หลังพูดปิดท้ายเสร็จแล้วเขาก็ออกจากห้องทำงานของเธอ

นาซ่ารอให้เสียงฝีเท้านั่นหายไปก่อนจะหันไปทางประตูด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

“แค่เหลือที่ไว้ให้ฉันเมื่อตอนที่เวลานั้นมาถึงก็พอแล้ว… ตาบ้า”

จากนั้นเธอก็สูดหายใจลึกและเริ่มจดจ่อกับงานอีกครั้ง

นาซ่าหมายมั่นว่าจะเพิ่มคุณสมบัติของตัวเองให้มากขึ้นไปอีก

แม้ว่าวาห์นจะยอมรับตัวเธอในตอนนี้ได้ แต่นาซ่าก็ยังไม่พอใจและอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้เขาได้เห็นก่อนว่าเธอเองก็มีดีเหมือนกัน

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท