วาห์นตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นเกือบสามชั่วโมง
เขาหายดีแล้วแต่ก็พบว่าร่างกลับเต็มไปด้วยผ้าพันแผล
เขาจำได้ว่าที่นี่คือห้องทำงานของนาซ่าและเธอคงเป็นคนพาเขามารักษาแผลหลังถูกสึบากิอัดจนยับ
เมื่อนึกถึงใบหน้าเขินอายของเธอ วาห์นรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
นาซ่าผู้ที่กำลังผสมสารละลายต่างๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานได้ยินเสียงจึงหันมามองทางวาห์นด้วยสีหน้าโล่งอกขณะที่พูดขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายถึงฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้
ตอนที่ฉันเริ่มการรักษาก็พบว่ากระดูกของนายหักไปหลายแห่งและยังมีรอยฟกช้ำที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกภายใน
แต่ก่อนที่ฉันจะใช้ยารักษา รอยฟกช้ำพวกนั้นก็ค่อยๆ หายไปแล้ว
รู้ไหมว่ามันเป็นอะไรที่ประหลาดมากตอนที่เห็นบาดแผลของนายถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการใช้เวทมนตร์เข้าช่วย…”
พอพูดถึงท้ายประโยค นาซ่าก็เริ่มนึกย้อนถึงตอนที่ตัวเองนั่งดูร่างกายเปลือยเปล่าของวาห์นไปเกือบชั่วโมงขณะที่บาดแผลต่างๆ เริ่มดูดีขึ้น
เธอเริ่มมีอาการหน้าแดงและวาห์นตระหนักถึงสิ่งที่เธอจะสื่อขณะพบว่าตัวเองกำลังล่อนจ้อนอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมตัวเอาไว้
เมื่อเห็นเสื้อผ้าวางอยู่ด้านข้าง เขาก็นึกอยากจะแกล้งเธอโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน
นาซ่าดูเหมือนจะรู้ทันก่อนจะมองกลับมาขณะพูดต่อ
“สวมเสื้อผ้าได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะทำให้นายได้นอนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนแน่…”
แม้ในตอนแรกจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่นาซ่าก็เหมือนจะคิดออกทีหลังว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป
เมื่อเห็นเธอหน้าแดงหนักหว่าเดิม วาห์นก็เริ่มหัวเราะเสียงดังขณะยื่นมือไปหยิบเสื้อ
เพราะเขาไม่เคยเขินเรื่องนี้ต่อหน้าสึบากิ นาซ่า และลิลลี่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พยายามปกปิดอะไรซึ่งทำให้นาซ่าแอบเฉลียวมองเขาเป็นครั้งคราว
หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว วาห์นก็เดินมาที่โต๊ะทำงานจนนาซ่าต้องหันขวับและเริ่มใช้เครื่องมืออย่างเงอะงะ
วาห์นมาหยุดอยู่ด้านข้างเธอและถามขึ้น
“ตอนนี้เธอกำลังทดลองอะไรอยู่เหรอ?”
นาซ่าถอนหายใจก่อนเริ่มอธิบาย
“สกิลผสมวัตถุดิบของฉันพัฒนาขึ้นเยอะเลยหลังจากที่ได้คำแนะนำจากนาย
ฉันยังเอาผลงานไปโชว์ให้ท่านมิอาคดูด้วยนะ
เขาบอกประหลาดใจกับความคิดสร้างสรรค์ของนายมากเลย
ด้วยการปรับแต่งอีกเล็กน้อย เขาบอกว่าในอนาคตพวกเราจะสามารถผลิตยารักษาที่มีคุณภาพสูงได้ง่ายกว่าเดิมอีก”
วาห์นพยักหน้าและเริ่มมองดูวัตถุดิบต่างๆ ที่เธอกำลังใช้อยู่
เขาพอบอกได้เลยว่า นาซ่ากำลังพยายามปรุงโพชั่นระดับสูงซึ่งมีแต่ผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาหลายสิบปีเท่านั้นที่จะทำมันออกมาได้ด้วยความมั่นใจ
เพราะก่อนหน้านี้วาห์นได้ซื้อคู่มือการเล่นแร่แปรธาตุ คู่มือเคมี และคู่มือการสร้างโพชั่นมาจากระบบร้านค้า เขาจึงช่วยแนะนำเธอเรื่องปรับเปลี่ยนสูตรในการผลิตยาต่างๆ
แม้เธอจะยังไม่มีทักษะเทียบเท่าระดับปรมาจารย์ แต่นาซ่าก็สามารถผลิตโพชั่นระดับสูงที่มีประสิทธิภาพเกือบ 40% ได้แล้ว
ขณะที่เขาเริ่มช่วยเธอเตรียมส่วนประกอบต่างๆ วาห์นก็พูดขึ้น
“เธอพัฒนาไปมากเลยนะ นาซ่า อีกไม่นานเธอคงจะได้เป็นปรมาจารย์หรือไม่ก็ได้สกิล [เล่นแร่แปรธาตุ]”
นาซ่าพยักหน้าช้าๆ หลังจากห้ามตัวเองไม่ให้หยุดวาห์นที่เข้ามาช่วย
แม้เธอจะพยายามห้ามเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่วาห์นก็ยอมทำตามอยู่ไม่นานและพยายามเข้ามาช่วยเธออยู่เสมอ
นาซ่ารู้สึกผิดมากกับท่าทางเรื่อยๆ ของเขา เนื่องจากวาห์นเชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการมากกว่าเธอ… อย่างน้อยก็ในช่วงก่อนผสานมานาเข้าไปในส่วนผสมล่ะนะ
ทั้งสองยังคงเตรียมส่วนประกอบต่อไปเรื่อยๆ แต่นาซ่านั้นรู้สึกวอกแวกกับที่มีวาห์นมาอยู่ด้วย
เธอมักจะรู้สึกผิดที่เขามาช่วยเธอแต่เธอกลับไม่สามารถช่วยเขาได้เลย
แม้เธอจะพยายามสอนเขาผสมวัตถุดิบและมองดูเขาทำทุกอย่างตามขั้นตอนแล้ว แต่เขาก็มักจะจบลงด้วยความผิดพลาดตอนท้ายอยู่เสมอ
นั่นได้ทำร้ายความมั่นใจของนาซ่าเป็นอย่างมาก และเธอรู้สึกเหมือนตัเองเป็นครูสอนที่ไร้ประโยชน์
แม้แต่เทพมิอาคเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมวาห์นถึงผสมโพชั่นไม่ได้
หลังจากได้อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน นาซ่าก็รู้แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับวาห์นและเธอเองก็เห็นว่าเขานั้นห่วยใยเธอเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนที่เขาจะ ‘ตื่นขึ้นมา’ (ตามที่ลิลลี่ชอบเรียก) เขาก็ไม่เคยมาสนใจเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เขามักจะแสดงความใจดีและเป็นห่วง แต่นาซ่ารู้สึกว่ามันเหมือนกับสิ่งที่สหายหรือเพื่อนร่วมงานทำให้กันมากกว่าที่จะเป็นคนรักหรือแฟน
แม้ตอนนี้จะทำตัวใกล้ชิดมากขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยแสดงหรือพูดมันออกมาแบบตรงๆ เลย
นาซ่าได้เห็นสาวๆ ทุกคนที่มาเยี่ยมเขาในห้องพยาบาลและยังรู้ด้วยว่าเขาได้สารภาพรักกับเทพเฮเฟสตัสไปแล้ว
เมื่อลิลลี่กลับมาจากโรงหลอมของเฮเฟสตัส เธอก็เริ่มบ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและยังบอกต่ออีกว่าหากต้องการอยู่กับวาห์นต่อไปล่ะก็ พวกเธอจะต้อง ‘พยายาม’ ให้มากกว่านี้อีก
นาซ่ารู้ว่า ‘ความพยายาม’ ที่เธอพูดหมายถึงอะไร แต่เธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเรื่องนี้เท่าไหร่
ในความคิดของเธอนั้น วาห์นเป็นคนที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดซึ่งมักจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดอยู่เสมอ
ในขณะที่เธอมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน
ตั้งแต่บาดเจ็บสาหัสในดันเจี้ยน นาซ่าก็ได้รับความบอบช้ำอย่างรุนแรงและไม่อยากกลับไปฝึกฝนร่างกายอีกครั้ง
นอกจากการฝึกยิงธนูเล็กน้อยแล้ว เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องต่อสู้ให้มากที่สุด
เธอเอาแต่มุ่งเน้นไปที่งานวิจัยและพยายามประยุกต์ใช้ทฤษฎีของวาห์นเข้ากับความรู้และประสบการณ์ของเธอเอง
เมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับวาห์นแล้ว… นาซ่ารู้สึกต้อยต่ำมากๆ
ในขณะที่เธอหมกมุ่นอยู่กับความคิด วาห์นก็พบว่ามือของเธอหยุดลงและเห็นความเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาคู่งาม
วาห์นขมวดคิ้วและรู้สึกข้องใจเล็กน้อยเพาะดูเหมือนว่าพวกสาวๆ ที่อยู่รอบตัวมักเกิดอาการเศร้าอย่างกะทันหันอยู่บ่อยครั้ง
วาห์นอยากจะให้พวกเธอมีความสุขอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปและเริ่มลูบหัวเธอเหมือนกับที่เขาเคยทำมาแล้วเป็นร้อยๆ ครั้งก่อนหน้านี้
นาซ่ารู้สึกถึงสัมผัสอันคุ้นเคยแต่ตอนนี้กลับพบว่ามันยังมีความอบอุ่นแผ่ออกมาจากฝ่ามือของวาห์นซึ่งดูเหมือนจะพยายามขับไล่รู้สึกด้านลบต่างๆ ภายในตัวเธอออกไป
มันช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายและสงบมาก อีกทั้งยังไปกระตุ้นความรู้สึกของเธอให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีก
ขณะที่เธอปิดตาลงและเริ่มมัวเมาไปกับความอบอุ่นแสนสบาย นาซ่าก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนถามเธอเบาๆ
“บอกฉันทีสินาซ่า ว่าเธอเสียใจเรื่องอะไรกัน?”
เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าวาห์นจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้
นาซ่าเงียบไปวินาทีก่อนจะถอนหายใจออกมา
มือที่วางอยู่บนหัวทำให้เธอจมอยู่ในความสุขสบาย แถมมันยังทำให้ความประหลาดใจและความรู้สึกต่อต้านต่างๆ มลายหายไป
นาซ่าพูดด้วยน้ำเสียงซึมๆ
“ฉันกำลังคิดว่า… ตัวเองไม่มีค่าพอที่จะอยู่เคียงข้างนาย นายให้ฉันมากมายเหลือเกิน ทั้งช่วยชีวิตฉัน… ช่วยรักษาแขน… ช่วยอีกหลายๆ เรื่อง และไม่ว่าจะพยายามตอบแทนนายมากขนาดไหน ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
นาซ่าได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆ จากวาห์น และเธอก็มองตรงไปที่เขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว กลัวว่าคำตอบของเธอจะทำให้เขาไม่พอใจ
วาห์นมองเห็นสีหน้านั่นและดันด้านหลังศีรษะของเธอจนมันมาซุกอยู่กับอกของเขา
วาห์นหัวเราะแบบล้าๆ ขณะพูดต่อ
“พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเมื่อกี้สึบากิถึงโกรธฉันมาก การที่เห็นคนอื่นมากังวลเรื่องต่างๆ มันน่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นาซ่าก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแต่ก็ถูกสกัดเอาไว้โดยความรู้สึกอื่นๆ
วาห์นยังคงลูบเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยนขณะพูดต่อ
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกคนถึงชอบทำเหมือนว่าฉันเป็นคนพิเศษ…
สิ่งเดียวที่ฉันสนใจก็คือการทำให้คนรอบตัวมีความสุข
ทุกอย่างที่ฉันปรารถนาตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็คือการปกป้องคนใกล้ชิดและช่วยทำให้ทุกคนมีความสุข
เมื่อฉันเห็นเธอเสียใจเพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับฉัน… มันเป็นอะไรที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมาก”
นาซ่าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำพูดของวาห์นมากขณะนึกย้อนไปถึง ‘การฝึกซ้อม’ ก่อนหน้านี้
เธอเห็นสึบากิผลักดันวาห์นให้ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง และตอนนี้เธอก็กำลังโดนแบบเดียวกับวาห์นในตอนนั้น
ก่อนที่สึบากิกับวาห์นจะสู้กัน นาซ่าเองก็กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองและเริ่มหยุดก้าวต่อไปข้างหน้า ทั้งๆ ที่สิ่งที่ควรจะทำก็คือหาทางไปต่อที่ดีที่สุด
ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งเธอได้นอกจากความกังวลของตัวเธอเอง…
ทันใดนั้น นาซ่าก็รู้สึกว่าคางของตนถูกยกขึ้นและเธอก็มองไปที่วาห์นด้วยสีหน้าสับสนขณะที่เขาเอนตัวมาด้านหน้าและบรรจงจูบลงบนริมฝีปากของเธอ
เธอรู้สึกประหลาดใจมากแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านกับสัมผัสใกล้ชิดครั้งนี้
นาซ่าเริ่มปิดตาลงจนทำให้มีหยดน้ำตาไหลลงมายังแก้มขณะที่เธอน้อมรับจูบของวาห์น
ผ่านไปไม่กี่วินาที วาห์นก็ชักหน้าออกขณะยังกอดนาซ่าเอาไว้ในอ้อมแขน
เธอมีสีหน้างุนงงปนดีใจ ส่วนวาห์นเองก็พบว่านั่นเป็นสีหน้าที่ดีกว่าตอนแรกมาก
วาห์นยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยน
“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เธอน่ารักมากเลยนะและกลายเป็นคนที่ฉันรู้สึกขาดไม่ได้ไปแล้วด้วย
ถึง… ถึงสุดท้ายพวกเราอาจจะไม่ได้กลายเป็นคนรักกัน แต่ฉันก็พูดได้แบบเต็มปากเลยว่ารู้สึกดีเหลือเกินที่มีเธอมาอยู่เคียงข้าง”
ราวกับว่าความกังวลก่อนหน้านี้เป็นเรื่องตลกไปเลย
นาซ่าเริ่มหัวเราะออกมาขณะเอามือไปผสานกับวาห์น
ทว่าเสียงหัวเราะก็ไม่ได้ดังอยู่นานนัก เพราะนาซ่าค่อยๆ เอนหัวไปข้างหน้าและเริ่มร้องไห้กับแผงอกของวาห์นขณะกอดเอวของเขาเอาไว้
เพราะเขากำลังยืนอยู่ขณะที่น่าซ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ วาห์นจึงถูกเธอกอดในท่าทีดูอึดอัดเล็กน้อย
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ลูบหลังและปล่อยให้เธอปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้เอามาให้เต็มที่
หลังจากร้องไห้เสร็จแล้ว นาซ่ายังกอดเอวของวาห์นต่อไปอีกหลายนาทีจนเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายใกล้จะเป็นตะคริวหากยังถูกกอดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
วาห์นสงสัยว่าทำไมนาซ่ายังกอดต่อจึงตั้งใจว่าจะถามออกไปแต่คำพูดก็ไปติดอยู่ที่ลำคอ
จากด้านบนนั้น วาห์นมองเห็นนาซ่าหลับตาและค่อยๆ สูดเอากลิ่นของเขาเข้าไปแบบเงียบๆ
วาห์นอยากหัวเราะออกมาหลังเห็นท่าทาง ‘ลับๆ ล่อๆ’ ของเธอ เนื่องจากวาห์นสามารถแปลงร่างและเสริมประสาทสัมผัสของตัวเองได้
เขาเองก็รู้ดีว่าประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นของเผ่าเชียนโธรปและมนุษย์แมวนั้นดีแค่ไหน
สำหรับนาซ่าแล้ว กลิ่นของเขาน่าจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ
การกระทำของเธอในตอนนี้น่าจะเป็นวิธีแสดงถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ดีที่สุดแล้ว
วาห์นแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและยังคงลูบหลังต่อจนในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยเขาหลังจากผ่านไปเกือบ 10 นาที
ในตอนที่เธอปล่อยมือ วาห์นก็รู้สึกเหมือนได้รับอิสระจากภาระอันหนักอึ้งและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นาซ่ายืนขึ้นจากเก้าอี้และวาห์นก็สังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่าความสูงของพวกเขานั้นไม่ได้ต่างกันมากเลย
ตอนนี้นาซ่าสูงกว่าเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร และมันก็ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากถ้ามายืนใกล้ๆ
ก่อนที่วาห์นจะพูดอะไร นาซ่าก็จับใบหน้าของวาห์นและจูบเขาคืนบ้าง
ตามเขาที่เคย ‘ทำ’ และด้วย ‘สัญชาตญาณ’ ทำให้วาห์นยื่นมือไปจับที่เอวและดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้กว่าเดิม
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกเพราะเขาสัมผัสได้ว่าหางของเธอกำลังถูกับมือของเขาขณะที่มันส่ายไปมา
นาซ่ายังคงจูบวาห์นต่อเกือบนาทีก่อนจะถอยออกไปด้วยท่าทางเขินๆ
เธอรีมกลับมานั่งลงขณะหยิบอุปกรณ์ขึ้นและพูดกับวาห์นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“นายไม่ควรอยู่นี่นานนะ ยังมีอย่างอื่นให้นายคงต้องไปจัดการ และฉันเองก็จะทำงานต่อแล้วด้วย”
วาห์นอยากจะพูดเสริมว่าตอนนี้เรื่องงานไม่น่าจะไปอยู่ในหัวของเธอได้เลย แต่นาซ่าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ฉัน… จะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
ถ้าตอนนั้นมาถึง… ก็ขอโอกาสให้ฉันบ้างละกัน
ฉันรู้สึกว่าถ้านายมาอ่อนข้อให้ง่ายๆ ในฐานะผู้หญิงแล้วฉันคงยอมรับมันไม่ได้หรอก…”
วาห์นส่งเสียง ‘อืม’ ออกไปก่อนจะจูบตรงหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน
ก่อนที่เขาจะออกจากห้องก็หันไปพูดกับนาซ่าอีกครั้ง
“ฉันเชื่อในตัวเธอนะ นาซ่า”
หลังพูดปิดท้ายเสร็จแล้วเขาก็ออกจากห้องทำงานของเธอ
นาซ่ารอให้เสียงฝีเท้านั่นหายไปก่อนจะหันไปทางประตูด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“แค่เหลือที่ไว้ให้ฉันเมื่อตอนที่เวลานั้นมาถึงก็พอแล้ว… ตาบ้า”
จากนั้นเธอก็สูดหายใจลึกและเริ่มจดจ่อกับงานอีกครั้ง
นาซ่าหมายมั่นว่าจะเพิ่มคุณสมบัติของตัวเองให้มากขึ้นไปอีก
แม้ว่าวาห์นจะยอมรับตัวเธอในตอนนี้ได้ แต่นาซ่าก็ยังไม่พอใจและอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้เขาได้เห็นก่อนว่าเธอเองก็มีดีเหมือนกัน