Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 127

ตอนที่ 127

วาห์นรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นการแจ้งเตือนกะทันหันภายในระบบ

เขาไม่เพียงแต่ทำ ‘ความปราถนาของหัวใจ’ ของทีโอน่าสำเร็จเท่านั้น แต่ยังปลดล็อคค่าสถานะอันใหม่อีกด้วย

ตามที่ระบบบอกไว้ ตอนนี้ทีโอน่ารู้สึกมี ‘รักแท้’ กับวาห์น และมันก็ทำให้เขามีความสุขและรู้สึกปรารถนาเด็กสาวที่กำลังนอนหลับอย่างสงบตรงหน้านี่เหลือเกิน

เขาไม่ได้สนใจเรื่องภารกิจอะไรมากนักเนื่องจากตั้งใจจะทำให้เธอมีความสุขแต่แรกอยู่แล้ว แค่ว่าตอนนี้มีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้น

ด้วยความสงสัย วาห์นจึงเริ่มมองเข้าไปในระบบเพราะเขาได้รับการแจ้งเตือนมากมายระหว่างที่ดำเนินกิจกรรมเมื่อกี้นี้อยู่

จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับความรู้สึกและปฏิสัมพันธ์กับทั้งสองสาวจนไม่ได้ให้ความสนใจกับคำแจ้งเตือนมากนัก

พอทั้งสองมานอนหลับอยู่ข้างๆ แทนแล้ว วาห์นจึงมีเวลาไปตรวจสอบสิ่งที่เขามองข้ามไปเมื่อตอนก่อนหน้านี้

//ไอส์ วาเลนสไตน์มีค่าความชื่นชอบเต็มแล้ว//

//ภารกิจสำเร็จ: [ความปราถนาของหัวใจ:C-SS]//

เกรดความสำเร็จ:: S

รางวัล: 10,000 OP, สกิล [นักดาบ:D] เลื่อนขึ้นเป็นระดับ B, 1x[ความปราถนาของหัวใจ: ไอส์ วาเลนสไตน์]

รางวัลจากเกรด: [สหายของเหล่าภูต: A] ปลดล็อคสกิล, 1x [คัมภีร์เสริมสกิล: A], 20,000 OP

[สหายของเหล่าภูต]

ระดับ: A

เพิ่มผลของเวทมนตร์สนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ใช้สื่อสารและหยิบยืมพลังของเหล่าภูตได้

วาห์นไม่ประหลาดใจเลยที่ค่าความชื่นชอบของไอส์เองก็ขึ้นมาถึงขีดสูงสุดเช่นกัน

แม้จะจำได้แค่ลางๆ แต่ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงการแจ้งเตือนตอนที่เธอเริ่มจูบเข้ามาก่อนจะเปิดศึกรอบสอง

นอกนั้นก็เป็นแจ้งเตือนต่างๆ ที่บอกถึงการเพิ่มหรือลดลงของค่าความชื่นชอบในระหว่างนั้น

เขารู้สึกดีที่ได้ได้รับสกิลใหม่ พร้อมกับการเพิ่มระดับของสกิลที่มีอยู่เดิม

คงไม่ใช่คำพูดโอ้อวดแต่อย่างใดที่บอกว่าไอส์นั้นเป็นอัจฉริยะด้านการใช้ดาบ และตอนนี้วาห์นก็พลอยได้รับประโยชน์จากศักยภาพของเธอไปด้วย

ตามที่พี่สาวบอก สกิลระดับ B เทียบได้เท่ากับนักผจญภัยมากฝีมือ ขณะที่ระดับ A นั้นถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ

มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะพัฒนาสกิลให้อยู่สูงกว่าระดับ A เพื่อไปให้ถึงระดับ S แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ถ้าคนผู้ใช้สกิลสามารถผลักดันตัวเองได้ไกลกว่านั้น สกิลก็จะค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเลย

เหมือนกับการที่ [ช่างตีเหล็ก:S] พัฒนาขึ้นเป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก]

สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ [ความปราถนาของหัวใจ: ไอส์ วาเลนสไตน์] ที่เพิ่งจะได้มา

วาห์นพอจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ไอส์ต้องการคืออะไร และเขาก็รู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะไปแง้มดูความทรงจำของเด็กสาว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเฝ้ามองเธอกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ วาห์นก็โยนความคิดยับยั้งชั่งใจทิ้งไปก่อนจะใช้ไอเท็ม

เหมือนตอนก่อนหน้านี้ อากาศราวกับถูกแช่แข็งและเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดลงสำหรับวาห์น ขณะที่ภาพต่างๆ เริ่มแล่นเข้ามาในหัว

เนื่องจากนี่เป็นนี่ครั้งที่สี่แล้ว วาห์นจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังมองดูเรื่องราวต่างๆ จากมุมมองของไอส์

ผ่านดวงตาของเธอ เขามองเห็นผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับไอส์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะขนาดเล็กภายในสวนดอกไม้

ไอส์รู้สึกมีความสุขมากขณะเดินเข้าไปหาหญิงสาวและกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ

เธอรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขขณะที่หญิงสาวลูบเรือนผมยาวสลวยสีทองของเธออย่างอ่อนโยนและกระซิบน้ำเสียงไพเราะออก…

ไอส์มักจะรู้สึกมีความสุขมากตอนที่เธอได้อยู่กับแม่

แม่ของเธอ อาเรีย วาเลนสไตน์ เป็นคนจิตใจดีและเอ็นดูเธอมากแถมยังสอนสั่งเรื่องต่างๆ ให้เธอด้วย

อาเรียเป็นหญิงสาวที่งดงามมากและยังปฏิบัติกับเธอดีกว่าทุกคน ดีกว่าพ่อของเธอที่มักจะออกไปผจญภัยอยู่ข้างนอกเกือบตลอดเวลา

แม้ไอส์จะรักพ่อ แต่การได้ใช้เวลาอยู่กับแม่นั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุดแล้ว

เธออยากให้ครอบครัวใช้เวลาที่เหลือมาอยู่ด้วยกันภายในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่ยังจำความได้

แต่สิ่งต่างๆ ล้วนไม่ยั่งยืนและไอส์ก็รู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงเมื่อเธอได้รับข่าวร้าย

แม่ของเธอหายได้ตัวไปขณะติดตามพ่อออกไปต่อสู้กับมังกรดำอันแสนน่ากลัวที่กำลังทำลายล้างดินแดนอยู่

ข่าวร้ายยังไม่จบลงง่ายๆ แค่นั้น เนื่องจากพ่อของเธอเองก็เสียชีวิตจากการต่อสู้โดยยอมแลกชีวิตของตัวเพื่อสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงไปที่ดวงตาข้างหนึ่งของมังกรดำ

ไอส์รู้สึกหลงทาง หวาดกลัว และเริ่มวิ่งหนีจากกลุ่มคนที่พยายามปลอบใจเธอ

ไอส์เกลียดชังผู้คนที่น่าจะเป็นพรรคพวกของพ่อแม่และไม่พอใจกับการที่พวกเขารอดกลับมาได้ในขณะที่เธอต้องสูญเสียทุกอย่าง

เธอเกลียดชังมังกรดำที่ขโมยเอาความสุขของเธอไป แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ความรู้สึกว่าหัวใจกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอกับพ่อแม่ ไอส์ก็ล้มลงไปบนพื้นและเริ่มร้องไห้ไม่หยุด

เธอนึกถึงพ่อผู้แสนตลกที่มักจะฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลา นึกถึงตอนที่เขาเล่าเรื่องการผจญภัยต่างๆ ที่ไปเจอมาในช่วงที่เขากลับมาบ้าน

เธอนึกถึงรอยยิ้มอันอ่อนโยนของแม่และอ้อมกอดอบอุ่นที่มักจะขับไล่ความรู้สึกแย่ๆ ของเธอออกไป

ตอนนี้ไอส์ไม่อาจรับรู้หรือสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นได้อีกแล้ว

สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือขดตัวอยู่กับพื้นและสะอื้นไห้ขณะที่ความโดดเดี่ยวเข้ามาฝังรากลึกอย่างไม่มีวันจบสิ้น

เวลาผ่านมายาวนานมาก นานเกินกว่าที่ไอส์จะจำได้

ดูเหมือนว่าเธอจะตกลงลงมาอยู่ในขุมนรกอันดำมืดไร้ที่สิ้นสุด ที่ซึ่งไม่มีทั้งแสงหรือเสียงใดๆ อยู่เลย

สิ่งเดียวที่เธอสัมผัสได้ก็คือความโดดเดี่ยวที่ฝั่งรากลึกอยู่ในหัวใจ

แม้เธอจะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงหรือตอนไหน แต่แล้วเธอก็พบว่าตัวเองถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนที่ปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยน

พวกเขามักจะมีรอยยิ้มเมื่อคุยกับเธอ และทุกครั้งที่เธอเสียใจก็จะพยายามผลักดันให้เธอก้าวต่อไปข้างหน้า

โลกิ เทพธิดาของคนกลุ่มนั้นถึงขนาดสร้างเป้าหมายและช่วยทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น

โลกิบอกกับเธอว่าถ้าอยากได้ความสุขกลับคืนมา สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการตามล้างแค้นมังกรดำตาเดียวที่แย่งเอาทุกอย่างไปจากเธอ

ไอส์เชื่อในคำพูดของโลกิและเข้าร่วมพิธีกรรมอันเจ็บปวดเพื่อรับตราสัญลักษณ์ของโลกิแฟมิเลียมาไว้บนแผ่นหลัง

จากนั้นเธอก็ฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนมันลับแสง

เธอฝึกไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวก็คือเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง

เหล่าผู้คนใจดีก่อนหน้านี้ก็พยายามช่วยทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น และการชมเชยของพวกเขาก็ทำให้ไอส์เดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ แม้จะพบกับความยากลำบากมากมาย

ขณะที่เธอฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ไอส์ก็ได้เรียนรู้ว่าวิธีจัดการกับความโศกเศร้าที่ง่ายที่สุดก็คือผลักมันออกไปพร้อมกับความรู้สึกอื่นๆ ทั้งหมด

เธอกลายเป็นคนที่จดจ่อไปกับการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว และภายในเวลาไม่กี่ปีก็มาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่มีวันจะตามมาทัน

เธอกลายเป็นหนึ่งในหมู่คนที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองที่ตนเองมาอาศัยอยู่ และตอนนี้เธอก็สามารถกำจัดมอนสเตอร์ชั่วช้าทั้งหลายที่พรากความสุขไปจากผู้อื่นได้แล้ว

ไอส์ยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งต่อไปเรื่อยๆ และเฝ้ารอวันนั้น… วันที่เธอจะได้สังหารมอนสเตอร์ซึ่งพรากเอาครอบครัวของเธอไป

ขณะที่กำลังไขว่คว้าพลังอย่างไม่มีวันจบอยู่นั้นเอง เธอก็ได้ยินข่าวลือว่ามี ‘วีรบุรุษ’ หนุ่มน้อยที่ช่วยหญิงสาวจากดันเจี้ยน

แม้ว่านักผจญภัยคนอื่นจะเข้ามาทำร้ายเขาเนื่องจากความเข้าใจผิด แต่เขาก็สามารถเอาชนะคนพวกนั้นลงได้ทั้งหมดแถมยังรับประกันความปลอดภัยของหญิงสาวที่ถูกช่วยเอาไว้ได้อีกด้วย

ไอส์นึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาทันทีหลังได้ยินข่าวลือ และมันก็ทำให้ความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาตรงหน้าอกของเธอไปช่วงหนึ่ง

จากนั้นเธอก็ตัดสินใจว่าจะตามทีโอน่าผู้เป็นสหายของเธอรวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ จากแฟมิเลียเพื่อไปพบกับเด็กหนุ่มคนนั้น

ไอส์รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กบอบบางที่มีใบหน้าหล่อเหลา

ดูเหมือนว่าเขาจะต่างจากไปปจากที่เธอคิดเอาไว้มาก แต่เธอก็รู้สึกสงสัยในออร่าลึกลับที่สัมผัสได้จากร่างกายของเขา

แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ออร่านั่นส่งผลกับเธอเป็นอย่างมาก และไอส์ก็รู้สึกว่าเขาจะต้องกลายมาเป็นคนที่แกร่งที่สุดในอนาคตได้อย่างแน่นอน

เมื่อมีโอกาสได้ประลองกับเด็กหนุ่ม ไอส์ก็ตกปากรับคำทันทีเพราะอยากจะทดสอบความสามารถของเขาในตอนนี้

อย่างที่เธอคาดเอาไว้ เด็กหนุ่มยังอ่อนแออยู่มาก แต่ไม่ว่าเขาจะพบกับการพ่ายแพ้มากเท่าไรก็มักจะพยายามสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเกือบจะชิงความได้เปรียบไปจากเธอได้ และไอส์ก็รู้สึกตกใจอยู่บ้างก่อนจะสวนการโจมตีกลับออกไป

แม้จะเป็นแค่เลเวล 2 แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกกดดันอยู่เล็กน้อย ไอส์ได้มอบคำพูดให้กำลังใจโดยหวังว่าจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและพยายามต่อไปเรื่อยๆ

จากนั้นไม่นาน เธอก็ได้พบกับเด็กหนุ่มอีกครั้งในสถานการไม่คาดฝัน

มันดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทว่าตอนนี้เด็กหนุ่มก็มายืนอยู่บนชั้นที่ 17 ของดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียวแล้ว

ไอส์รู้สึกว่าออร่าที่เขาปลดปล่อยออกมาจากร่างกายนั้นดูลึกล้ำมากกว่าเดิม และเธอก็เข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมากภายในเวลาระยะสั้นๆ

ตั้งแต่ที่ทั้งสองแยกจากกัน

การเติบโตของเขาได้สะท้อนเข้ากับบางอย่างที่อยู่เบื้องลึกใจเธอ และไอส์ก็อยากรู้ความลับที่ทำให้เด็กหนุ่มเพิ่มความแข็งแกร่งได้รวดเร็วแบบนี้

หลังเฝ้ามองเด็กหนุ่มผู้ที่เธอจำได้ว่าชื่อวาห์น ต่อสู้กับโกไลแอธด้วยตัวคนเดียว ไอส์ก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นเล็กๆ กำลังถูกจุดประกายขึ้น

ไม่ว่าเธอจะประเมินสถานการณ์ตรงหน้ายังไง วาห์นก็น่าจะพ่ายแพ้ให้กับโกไลแอธ

ทว่าราวกับต้องการจะลบล้างความคิดของเธอ เขากลับต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้จนกระทั่งคว้าชัยชนะและล้มมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ลงได้

ประกายไฟที่ถูกจุดขึ้นเริ่มเปลี่ยนเป็นกองเพลิงขนาดเล็กขณะที่เธอค่อยๆ รู้สึกคาดหวังไปกับอนาคตของเด็กหนุ่ม

ไอส์เชื่อว่าเขาจะต้องแข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ แข็งแกร่งจนเธอเองยังไม่สามารถตามได้ทันแม้ว่าจะพยายามอย่างหนักที่สุดแล้ว

ไอส์รู้ว่าเธอนั้นไม่อาจเทียบเท่าได้กับความเร็วในการเติบโตของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า และความคิดนั่นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น

เธออยากเห็นว่าเขาจะไปไกลได้แค่ไหนและอยากจะติดตามเขาไปจนสุดทาง

ถ้าเขาเป็นคนที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ เธอก็อยากจะทำอย่างเดียวกันและเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไป

เธอเชื่อว่าหากติดตามเด็กหนุ่มคนนี้ สักวันเธอจะต้องกอบกู้สิ่งที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาได้อย่างแน่นอน

และแม้จะทำด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เธอก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มจะต้องหยิบยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน…

เวลาเริ่มเดินขึ้นอีกครั้งขณะที่วาห์นได้แต่นั่งอย่างงุนงงและพยายามทำความเข้าใจกับข้อมูลต่างๆ ภายในหัว

จากภาพที่เห็น เขาเข้าใจว่าไอส์นั้นมีอดีตอันน่าเศร้าโดยสูญเสียทั้งพ่อและแม่ให้กับมังกรดำชั่วร้าย

หลังจากเวลาผ่านไปนานมากๆ เธอก็ตื่นขึ้นมาและเริ่มไขว่คว้าหาพลังอย่างจริงจัง

แต่แล้วดูเหมือนเธอจะตระหนักได้ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อก็คงไม่มีวันไปถึงเป้าหมาย

เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก เธอจึงเริ่มขับไล่ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างออกไป…

หากวาห์นตีความ ‘ความปราถนาของหัวใจ’ ของเธอได้ถูกต้อง ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะตั้งความหวังไว้ที่เขาแทนแล้ว

เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะในภาพนั้นยังมีข้อมูลไม่มากพอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ไอส์เชื่อว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือเธอได้

วาห์นหันไปมองสาวงามที่กำลังนอนหลับอย่างสงบและรู้สึกถึงน้ำหนักของความคาดหวังที่มากดทับอยู่บนไหล่ได้อย่างชัดเจน

ทันใดนั้นการกระทำแปลกๆ ที่เธอเคยทำออกมาก็เริ่มดูมีความหมายขึ้นมาทันทีและไม่ได้เป็นความรู้สึกอย่างรู้อยากเห็นแบบธรรมดาทั่วไป

เมื่อเห็นไอส์หายใจเบาๆ ขณะนอนอยู่ถัดจากเขาด้วยร่างเปลือยเปล่า วาห์นก็รู้สึกเหมือนน้ำหนักที่กดอยู่บนไหล่เริ่มลดลงไปเล็กน้อย

เขาไม่เข้าใจว่าจะรู้สึกลังเลไปทำไมหลังจากได้เห็นภาพนั่น เพราะยังไงเขาก็ให้สัญญาไปว่าจะปกป้องเธอ

หากเธอต้องไปสู้กับมังกรดำตาเดียวในอนาคตจริงๆ วาห์นจะไม่ยกโทษให้กับตัวเองเลยถ้าเขาไม่ได้ไปยืนเคียงข้างเธอในตอนนั้น

ตอนนี้วาห์นมีเหตุผลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างในการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง

เขาไม่เพียงแต่จะต้องปกป้องทีโอน่าและลูกๆ ในอนาคตเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้มั่นใจว่าไอส์สามารถแก้แค้นมอนสเตอร์ที่พรากพ่อแม่ของเธอไปให้สำเร็จด้วย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสาวๆ คนอื่นในชีวิตของเขาอีก และวาห์นก็ตระหนักว่าทางเดียวที่จะสามารถรับประกันว่าความสุขของทุกคนได้ก็คือทำตามสิ่งที่ตัวเองเคยสัญญาเอาไว้

เขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แข็งแกร่งจนมอนสเตอร์ มนุษย์ หรือ แม้แต่เทพก็ไม่อาจมาทำอันตรายเขาหรือผู้คนที่เขารักได้เลย

ถ้าหากทุกคนไว้เนื้อเชื่อใจหรือแม้แต่เกิดความหวังเมื่อเห็นความพยายามของเขา วาห์นก็ยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้น

เขายื่นมือออกไปวางบนศีรษะของสองสาวที่กำลังนอนหลับปุ๋ย และเริ่มลูบผมของพวกเธออย่างรักใคร่

ราวกับจดจำสัมผัสของนั้นได้ดี ทั้งทีโอน่าและไอส์ต่างเผยรอยยิ้มมีความสุขออกมาจนถ้ำแลดูสว่างขึ้นมาก

วาห์นยิ้มให้ตัวเองพร้อมเงยหน้าขึ้นไปมอง ‘ดวงดาว’ ที่อยู่บนข้างบนหัว

ถึงจะรู้สึกสงสัยว่าเขาจะได้ไปโลกใบไหนต่อ แต่วาห์นก็ตัดสินใจแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปัจจุบันนี่แหละ

จนกว่าเขาจะไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้ วาห์นจะยังคงเดินไปข้างหน้าและพยายามให้ถึงที่สุด… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท