วาห์นตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรงขณะใช้มือนวดศีรษะเล็กน้อย
มันแตกต่างจากคืนแรกที่เขาพอจะสู้ได้บ้าง
ครั้งนี้หญิงสาวที่อยู่ในลูกแก้วอัดเขาจนน่วมแบบไม่ต้องใช้เวทมนตร์เลยด้วยซ้ำ
เขารู้ว่าเธอแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้
เมื่อวาห์นใช้ร่างร่างพยัคฆ์ขาวพร้อมเปิดพลังเขตแดนขึ้นมา ความเร็วของเขานั้นก็เทียบเท่าได้กับนักผจญภัยเลเวล 5 อย่างสึบากิเลย
แต่พอไปสู้กับผู้หญิงคนนั้น เขากลับตามความเร็วของเธอไม่ทันแม้แต่นิดเดียว
วาห์นได้แต่ถอนหายในและเดินไปล้างหน้าก่อนออกจากห้องและกล่าวทักทายอนูบิส
เธอกำลังเฝ้ารอเขาตามปกติ แม้จะยังคงสวมชุดแบบเมื่อวานอยู่ก็ตาม
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว วาห์นก็ลูบหัวของเธอเบาๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกซ้อม
จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ มีหลายเรื่องที่วาห์นอยากให้ทุกคนรู้ไว้ก่อนที่ปัญหาจะตามมามากกว่าเดิม
พวกเด็กๆ กำลังรอคอยการมาถึงของเขา และวาห์นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทุกคนตื่นมากันตั้งแต่ตอนไหน
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาน่าจะต้องตื่นประมาณตี 4 เพื่อมาให้ทันเวลา
มันต่างไปจากครั้งก่อนๆ ที่เด็กพากันมาเข้าแถว เพราะตอนนี้นานูกำลังรออยู่ตรงด้านข้างของจุดที่วาห์นมักจะยืนตามปกติ
หลังจากรับคำทักทายของพวกเด็กๆ แล้ว วาห์นก็ให้ทุกคนนั่งลงขณะที่เขาอธิบายแผนในอนาคต
ก่อนที่จะพูดขึ้น วาห์นก็สบตากับเด็กแต่ละคนรวมไปถึงนานูด้วย
“ฉันได้ตระหนักถึงหลายๆ เรื่องภายในไม่กี่วันที่เราได้อยู่ด้วยกัน
ถึงฉันจะพยายามทำหน้าที่เป็น ‘จ่าฝูง’ ให้ดีที่สุด แต่ความจริงก็คือ… ฉันไม่ได้รู้เรื่องวัฒนธรรมของพวกเธอมากเท่าที่ควร
ฉันจะทำผิดพลาดหลายอย่าง และหวังว่าทุกคนจะคอยช่วยอธิบายเรื่องที่ฉันอาจเข้าใจผิดไป”
เด็กทุกคนฟังเขาอย่างตั้งใจขณะพยักหน้าตามก่อนที่วาห์นจะพูดต่อ
“แต่ว่านะ ขณะที่ฉันจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับทุกคน… พวกเธอเองก็ต้องพยายามปรับตัวเช่นเดียวกัน
ฉันจะไม่ขอให้พวกเธอเปลี่ยนความเชื่อหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่พวกเธอก็ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตของคนอื่นไว้บ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต
ฉันแน่ใจว่ามีบางครั้งที่พวกเธอต้องเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ถูกต้องหรือเปล่า?”
เด็กทุกคนพนักหน้าและวาห์นเห็นว่าพวกเขากำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในใจขณะที่ออร่าของแต่ละคนเริ่มสั่นไหว
หลังจากที่ทุกคนสงบลงแล้ว วาห์นก็พูดต่อ
“จากนี้ไป การฝึกของพวกเธอจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ในตอนเช้า พวกเธอจะทำการฝึกฝนแบบที่ผ่านๆ มา
ในขณะที่ตอนบ่าย พวกเธอจะต้องศึกษาหาความรู้และฝึกพัฒนาความถนัดด้านวิชาชีพ
ตอนนี้พวกเธอเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 และยังมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่แต่ละคนจะได้รับฉายาและสามารถรับภารกิจจากทางกิลด์ได้
จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันต้องการให้ทุกคนเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและปรับความคิดเสียใหม่เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งในอนาคต”
วาห์นมองไปทางอนูบิสและเห็นเธอยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะรับฟังคำพูดของเขา
เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางเด็กๆ และอธิบายต่อ
“อนูบิสจะรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนในช่วงบ่าย แต่ฉันก็อยากให้ทุกคนเลือกหัวข้อที่ตัวเองรู้สึกสนใจไว้ด้วย
พวกเธอควรให้ความสนใจกับเรื่องที่แตกต่างกัน เพราะแบบนั้นจะได้ช่วยกันสอนและแบ่งปันความรู้ให้กันในภายหลังได้
ฉันขอพูดแบบชัดๆ เลยนะ ว่าถ้าพวกเธอมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเรียนหรือเรื่องของอนาคต ฉันก็อยากจะให้ทุกคนเข้ามาถามฉันโดยตรง
ฉันไม่ได้จะบอกให้พวกเธอละเลยเรื่องลำดับชั้น แต่ปัญหาอาจจะเพิ่มขึ้นหากพวกเธอปล่อยมันไว้เฉยๆ หรือไม่กล้าพูดมันออกมา”
หลังจากอธิบายเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว วาห์นก็รู้สึกพอใจและเริ่มฝึกช่วงเช้าต่อเลย
วาห์นไม่ได้รู้เรื่องต่างๆ มากพอที่จะแนะนำได้ว่าแต่ละคนควรศึกษาอะไร แต่เขาก็มั่นใจว่าอนูบิสคงจะจัดการเรื่องนี้ได้แน่
แม้จะชอบทำตัวแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เธอก็เป็นเทพธิดาที่ชาญฉลาดและชอบหาหนังสือมาศึกษาเพิ่มเติม (TL: หึๆ)
หากวาห์นขอให้เธอสอนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้กับเด็กๆ อย่างจริงจังล่ะก็ เธอคงเต็มใจช่วยอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากเรื่องที่นานูมาซ้อมคู่กับเขาอีกครั้ง ทุกอย่างในตอนเช้าก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
ทุกคนทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนจะเริ่มทำความสะอาดจานและมุ่งหน้าไปยังห้องของอนูบิสเพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อ
วาห์นพบว่าเขาสามารถซื้อตำราและบทสรุปต่างๆ จากระบบได้ในราคาที่ถูกมาก
เขาส่งตำรามากมายให้กับอนูบิสเช่น ประวัติศาสตร์ ตำนานเทพนิยาย และเรื่องที่เขาสนใจเช่นดาราศาสตร์กับวิชาแขนงต่างๆ
อนูบิสรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับหนังสือมาเป็นจำนวนมาก แต่เธอก็ไม่ได้ถามวาห์นว่าเขาได้พวกมาจากไหน
(TL: ไปถามคนแต่งมาแล้วว่า ระบบ ‘ให้ของขวัญ’ แบบเดือนล่ะครั้งนี่มันเฉพาะพวกไอเท็มที่มีเกรดอย่างเดียว ของจิปาถะนั้นจะแจกจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ผู้เขียนบอกว่าจะให้ซื้อดินออกมาถมโอราริโอ้ให้จมเลยก็ยังได้ถ้า OP มากพอ)
เธอคิดว่าเขาคงซื้อมันไว้อยู่แล้วเพราะต้องการการศึกษาด้วยตัวเอง
พอคิดว่าวาห์นเองก็เป็นพวกรักเรียนเช่นกันก็ทำให้เธอเคารพเขายิ่งขึ้น และในที่สุดค่าความภักดีของอนูบิสที่มีต่อวาห์นก็มาถึง 100 แต้ม
วาห์นคาดว่าจะได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ แต่พี่สาวกลับแจ้งว่าจำนวน 100 นั้นเป็นค่าสูงสุดสำหรับความชื่นชอบเท่านั้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ค่าสถานะแฝง’ อื่นๆ
ตัวค่าสถานะแฝงสามารถเพิ่มได้เรื่อยๆ อย่างไม่จำกัด
หลังจากแยกทางกับอนูบิสและพวกเด็กๆ วาห์นก็มุ่งหน้ามาที่ห้องทำงานกับนานู
พอเข้ามาถึง เธอก็พยายามกลับไปทำงานต่อทันที แต่วาห์นก็ขัดเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าคาดหวัง
จิตใจของเธอเริ่มดีขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน และวาห์นก็ดีใจที่เห็นเธอกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาอยากบอกให้เธอรู้ไว้และพอจัดระเบียบความคิดเสร็จแล้ววาห์นก็เริ่มพูด
“ฉันต้องอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานะ”
สีหน้าของนานูเปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็นกังวลขณะที่หูของเธอตกลงมาขนานกับพื้นและรอฟังเขาพูดต่อ
วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ก่อนที่ฉันจะพูดเรื่องนี้ ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็จะไม่ทอดทิ้งเธอแน่นอน
…แต่เธอก็ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าฉันไม่ได้พยายามจะจีบเธอตั้งแต่แรก
ฉันจะไม่ใช้มันเป็นข้ออ้างและจะปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิม แต่เธอก็ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างที่ฉันทำไปนั้นเกิดจากความใส่ใจ ไม่ใช่ความรักแบบคู่รัก”
ความกังวลบนสีหน้าของนานูยิ่งเพิ่มมากขึ้นขณะที่เธอถามเสียงเบา
“หมายความว่านายท่านไม่ได้ชอบฉันเลยเหรอคะ?
ฉันนึกว่า… ทุกอย่างที่นายท่านทำ…”
ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่วาห์นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
“อย่าไปคิดถึงมันเลย ถึงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ฉันก็จะไม่ปัดความรับผิดชอบแน่นอน
ฉันแค่อยากให้เธอรู้เรื่องนี้ไว้ก่อน แทนที่จะต้องมารู้ทีหลังและรู้สึกผิดหวังกว่าเดิม
ตอนนี้ฉันก็ยอมรับเธอแล้ว ดังนั้นฉันตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของเธอด้วย
แต่เธอเองก็ต้องมองจากมุมของฉันบ้าง ไม่ใช่แค่มองจากธรรมเนียมปฏิบัติของเธออย่างเดียว
เข้าใจหรือเปล่า?”
นานูพยักหน้าช้าๆ และพิจารณาทุกคำที่วาห์นพูดออกมา
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เขาไม่ได้พยายามตามจีบเธอจริงๆ และละอายมากที่เข้าใจการกระทำของเขาผิดไป
ความภาคภูมิใจของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนัก และนานูก็รู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรที่จะได้รับความใส่ใจของเขาตั้งแต่แรกเลย
ขณะที่ความรู้สึกผิดเริ่มเข้ามากัดกินจิตใจ นานูก็เห็นวาห์นทำบางอย่างก่อนจะบังเกิดเป็นเปลวไฟเล็กๆ ในมือของเขา
วาห์นยื่น ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ที่เขาสร้างขึ้นจากสกิล [โพรมีธีอุส] ออกมาข้างหน้า
เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นี่เป็นเมล็ดที่พิเศษมาก… ถ้าเธอยอมให้ฉันใส่มันเข้าไปในร่างกาย ความสามารถของเธอก็จะเติบโตเร็วขึ้นแบบก้าวกระโดด
เธอจะมีค่าสถานะที่มากกว่าเดิม หรืออาจจะได้รับสกิลที่คล้ายกันกับของฉัน
การสร้างเมล็ดนี่ขึ้นมาเป็นเรื่องที่ยากมาก และมันจะส่งผลกับฉันทันทีที่ใส่มันเข้าไปในตัวเธอ
ฉันอยากจะให้เรื่องนี้เป็นเครื่องยืนยันว่ายังไงก็ไม่ละทิ้งเธอแน่นอน
ขอให้เธอมั่นได้แล้วก็พยายามก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
ตอนที่เธอดูร่าเริงน่ะ… มันน่ารักมากเลยนะ รู้ไหม?”
ความเศร้าโศกในใจของนานูเริ่มหายไปทันทีที่จ้องมองเมล็ดเล็กๆ ในมือของวาห์นด้วยความคาดหวังและปลื้มปิติ
แม้ว่าความสัมพันธ์ในปัจจุบันของทั้งสองจะเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด แต่การที่วาห์นยอมทำถึงขนาดนี้นั้นทำให้เธอมีความสุขมาก
เธอจ้องประสานตากับวาห์นและถามด้วยเสียงที่ฟังดูตื่นเต้น
“นายท่าน โปรดบอกฉันมาเถอะค่ะ ว่าต้องทำยังไงบ้าง!”
วาห์นยิ้มตอบเธอก่อนจะอธิบายเพิ่ม
“เธอแค่ต้องอยู่นิ่งๆ ในขณะที่ฉันวางเมล็ดนี่เอาไว้ที่ตำแหน่งหัวใจเท่านั้นเอง
ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะทำให้รู้สึกอึดอัดหรือเปล่า ดังนั้นก็เตรียมใจให้ดีๆ ล่ะ”
ในขณะที่คำพูดของเขาจบลง นานูก็ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกและยื่นหน้าอกออกมาหาวาห์นก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันพร้อมแล้วค่ะ นายท่าน! ต่อให้มันมันมาแผดเผาร่างกาย ฉันก็จะไม่ดิ้นแม้แต่นิดเดียว”
หลังจากพยักหน้าให้อย่างชื่นชม วาห์นก็ยื่นมือออกมาและวางมันไว้ที่ตำแหน่งเหนือหัวใจของนานู
เขาสังเกตเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นจึงขยับฝ่ามือเข้ามาใกล้ขึ้นอีกจนเสื้อของนานูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีไหม้เกรียมเล็กน้อยบนเนื้อผ้าที่มีสีดำอยู่แล้ว
นานูเฝ้ามองการกระทำของเขาและพอเห็นเสื้อของตนเริ่มมีควันขึ้น เธอก็คว้าชายเสื้อและรีบถอดมันออกในพริบตา
วาห์นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการกระทำของเธอ เพราะเขาเองก็ไม่คิดเลยว่าเสื้อผ้าของเธอจะไหม้ขณะที่เขาพยายามใส่ ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ลงไป
หลังถอดเสื้อออกแล้ว นานูก็เลิกยกทรงขึ้นก่อนจะหันไปหาวาห์นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ทำต่อได้เลยค่ะ นายท่าน”
วาห์นได้แต่ถอนใจข้างในขณะยื่นมือมาข้างหน้าอีกครั้งจนกระทั่งมันสัมผัสกับบริเวณที่อยู่เหนือหน้าอกข้างซ้ายของเธอ
แม้เมล็ดจะไม่ค่อยถูกกับเสื้อผ้า แต่ดูเหมือนมันจะผ่านเข้าไปในผิวหนังของเธอได้อย่างสบายๆ ด้วยเหตุผลที่วาห์นไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
บริเวณรอบๆ ตำแหน่งที่ฝังมันลงไปนั้นเริ่มส่องแสงสีแดงออกมาเรื่อยๆ
วาห์นเกือบจะมองเห็นหัวใจของเธอ รวมไปถึงส่วนที่เป็นกระดูกซี่โครงในขณะที่ ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ฝังตัวเข้าไปในหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
นานูดูเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทั้งสิ้น แต่เธอก็จ้องมองวาห์นด้วยแววตาเร่าร้อนจนกระทั่งเขาดึงมือออกไป
วาห์นจ้องมองแสงที่ส่องประกายด้วยความสนใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาใช้สกิลนี้
เขาตระหนักอยู่บ้างว่านานูกำลังพยายามเข้ามาใกล้มากขึ้น
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ร่างของวาห์นก็ถูกความเจ็บปวดมหาศาลเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน
ร่างกายทุกส่วนของวาห์นกระตุกขึ้นเล็กน้อยและทำให้เด็กสาวที่ตกอยู่ในภวังค์เริ่มตื่นกลัวแทน ขณะจะเข้ามาช่วยพยุงข้างๆ
วาห์นยกมือห้ามและพยายามอธิบายให้ฟัง
“นี่แหละ ผลต่อร่างกายที่ฉันพูดถึง ไม่ต้องกังวลหรอก เด๋วคงดีขึ้นพร้อมกับตอนที่แสงตรงหน้าอกของเธอจางหายไป”
จากนั้นอีกประมาณสิบนาที แสงก็เริ่มจางลงจนกระทั่งเหลือแค่ผิวสีน้ำตาลมะกอกที่ดูเปล่งปลั่งและรอยซีดๆ จากตรงที่ใส่เมล็ดลงไปเท่านั้น
ความเจ็บปวดของวาห์นเองก็เริ่มหายไปด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้ฉันจะดูว่าค่าสถานะของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน หันหลังมาสิ”
นานูดีใจที่วาห์นหายเจ็บแล้วและก็ต้องมาสับสนจากคำพูดของเขาแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
วาห์นวางมือบนแผ่นหลังเล็กๆ และเริ่มทำพิธีเพื่ออัพเดทค่าสถานะในขณะที่นานูยืนนิ่งๆ แต่ในใจนั้นรู้สึกช็อคไปแล้ว
แม้จะไม่มีการศึกษาที่สูงอะไรนัก แต่เธอก็รู้ว่ามีเพียงทวยเทพเท่านั้นที่สามารถอัพเดทค่าสถานะได้
จู่ๆ การยับยั้งชั่งใจที่หลงเหลือมาจากจากคำอธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่จากตอนก่อนหน้านี้ก็บินออกนอกหน้าต่างไปหมด ขณะที่นานูคิดในใจว่าคู่ครองในอนาคตของเธอนั้นเป็นเทพหรือไม่ก็ลูกครึ่งเทพ
ความภาคภูมิใจที่หายไปเริ่มกลับคืนมาอีกครั้งและแววตาของเชียนโธรปน้อยก็เริ่มส่องประกายขึ้นมาบ้าง
เนื่องจากการอัพเดทค่าสถานะนั้นจะแสดงค่าที่มีอยู่เดิมด้วย วาห์นจึงคำนวณได้ว่านานูมีค่าสถานะเพิ่มขึ้นมาประมาณ 10 – 20%
ศักยภาพของเธอน่าจะเพิ่มขึ้นมาพอสมควร และวาห์นก็คาดหวังกับเธอไว้ค่อนข้างสูง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสกิล [ช่างตีเหล็ก] ได้เพิ่มขึ้นจากระดับ F เป็น D แถมนานูยังได้รับสกิลใหม่ที่มีชื่อว่า [พรแห่งโพรมีธีอุส] ด้วย
[พรแห่งโพรมีธีอุส]
ระดับ:A
อัตราการเติบโตจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ที่เป็นคนใช้สกิลนี้ให้
ตราบใดที่ผู้ใช้สกิลยังมีชีวิตอยู่ ผู้รับพรนี้จะมีเติบโตที่รวดเร็วโดยขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่มีต่อผู้ใช้สกิล
หากความรู้สึกจืดจางลง เมล็ดเปลวเพลิงที่อยู่ภายในหัวใจก็จะเริ่มจางหายไปเช่นกัน