หลังจากดูแลอนูบิสเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็ไม่มีอะไรทำไปอีกสองสามชั่วโมง
เขาจึงทำสมาธิและพยายามทำความเข้าใจกับ [มนตราแห่งอนันตกาล]
ถึงตอนนี้จะยังไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่คำเดียว แต่เขาก็ได้รับประโยชน์ทางอ้อมด้วยการใช้ [จิตแห่งราชัน] เพื่อทำให้จิตว่างและหวังว่าสักวันจะเข้าใจสกิลนี้มากขึ้น
แม้จะยังไม่ง่วงเท่าไหร่ แต่วาห์นก็ตัดสินใจเข้านอนเพื่อเตรียมรับวันใหม่ที่จะมาถึง
ในขณะที่หลับ วาห์นก็ฝันว่ากำลังลอยอยู่เหนือโลกในสภาพไร้น้ำหนัก
ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลายมาก และสิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือยื่นมือออกไปราวกับจะคว้าโลกทั้งใบเอาไว้ในมือ
มันเป็นการกระทำที่เรื่อยเปื่อยและดูไร้สาระ
ลูกโลกกลมๆ สีน้ำเงินแวววาวช่างดูงดงามมากจนเขาอยากจะนำมันมาเก็บเอาไว้เอง
วาห์นรู้สึกเหมือนโลกใบนี้คือกล่องสมบัติเล็กๆ ที่บรรจุไอเท็มมีค่ามากมายซึ่งเขาอยากจะรักษาและปกป้องมันไว้…
วาห์นตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสนแต่ก็มีความสุขขณะที่ร่างกายผ่อนคลายลงไปมาก
มันเหมือนกับว่าจิตใจของเขาตื่นขึ้นมาเร็วกว่าร่างกายและพยายามกระตุ้นให้ส่วนต่างๆ กลับมาขยับได้อีกครั้ง
วาห์นถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะดึงลูกแก้วสีดำออกมาและเพ่งจิตเข้าไป
เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาก็เพราะตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้อีกครั้งและเพียงอึดใจเดียวก็ได้เข้ามาอยู่ในมิติขาวดำแล้ว
โชคยังดีที่ดูเหมือนเขาจะมาอยู่ตรงพื้นที่เดียวกันกับที่ออกไปก่อนหน้านี้
เมื่อมองไปรอบๆ วาห์นจึงตระหนักว่าแม้ของบางชิ้นจะถูกเคลื่อนย้าย แต่ก็ไม่มีอะไรหายไป
เขาเป็นห่วงว่าเอวานเจลีนอาจมายุ่งวุ่นวายและทำให้ตนหงุดหงิดกว่าเดิม แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
เมื่อนึกถึงเอวานเจลีน หญิงสาวตัวน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขาเท่าไหร่
เขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ในร่างผู้ใหญ่ แต่ดูเหมือนจะกลับมาอารมณ์เสียครั้งแล้ว
เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดสุดๆ
“มิตินี้ไม่ได้มีไว้ให้นายใช้สอยได้ตามสะดวกนะ
เมื่อนายเข้ามาในนี้ พลังเวทของฉันก็จะถูกใช้เพื่อทำให้ที่นี่เสถียร และจุดประสงค์ดั้งเดิมของมันก็คือการส่งต่อวิชาของฉันให้กับคนรุ่นต่อไป
ถ้านายจะยังเล่นเห็นแก่ตัวแบบนี้ ต่อไปฉันจะไม่ยอมให้นายเข้ามาแล้ว”
วาห์นขมวดคิ้วกับคำพูดนั่น แต่เขาก็ไม่ได้พูดตอบอะไรขณะพยายามพิจารณาจากมุมมองของเอวานเจลีน
แม้ว่าจะไม่ใช่ร่างต้น แต่เธอก็มีความทรงจำ ความคิด และการตัดสินใจที่เป็นของตัวเอง
เพราะเขาเป็นคนปฏิเสธจุดมุ่งหมายที่ทำให้เธอมาอยู่ในนี้ วาห์นจะมาโทษที่เธอโมโหมันก็คงไม่ถูก
วาห์นลองจินตนาการว่าจะเป็นยังไงถ้าเขาสร้างพื้นที่ส่วนตัวเพื่อถ่ายทอดวิชาให้ใครบางคน แต่คนๆ นั้นกลับไม่สนใจและเริ่มทำอย่างอื่นแทน
การที่วาห์นจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นต่อไปได้ก็คือคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เขารู้สึกชื่นชอบหรือไม่ก็สงสารมาก
ทว่าวาห์นกลับไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ให้กับหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังจ้องเขาด้วยสายตาอาฆาตขณะรอฟังคำตอบ
วาห์นเริ่มอธิบายจากฝั่งของตัวเองบ้าง
“มันไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของฉันที่จะใช้มิตินี้ตามใจชอบนะ
ฉันต้องขอโทษด้วยที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ แต่ว่าฉันเหลือเวลาอีกไม่มากในการพัฒนาสกิลและนี่ก็เป็นทางเดียวที่ฉันจะทำตามสัญญาได้ทันเวลา”
สีหน้าของเอวานเจลีนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อวาห์นเริ่มขอโทษ แต่พอถึงตอนที่เด็กหนุ่มเริ่มแก้ตัว เธอก็อดถามออกมาไม่ได้
“เป็นเพราะผู้หญิงของนายใช่ไหม?”
วาห์นพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและพยายามอธิบายสถานการณ์ของเฮเฟสตัสให้ฟัง
เขาไม่คาดคิดเลยว่าเอวานเจลีนจะยอมฟังจนจบโดยไม่ขัดจังหวะเลยสักนิด
เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลานับตั้งแต่ที่เธอฟาดงวงฟาดงาใส่เขา วาห์นก็รู้สึกสับสนหน่อยๆ กับการที่เธอเปลี่ยนไปในช่วงเวลาสั้นๆ…
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาในหัว
ดวงตาของวาห์นเริ่มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยจนต้องหันไปถาม
“เอวานเจลีน เวลาในนี้จะยังเดินต่อหลังจากที่ฉันออกไปแล้วด้วยเหรอ?”
คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าคล้ายตุ๊กตาเริ่มขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“เพิ่งจะรู้ตัวเหรอ? นายนี่เป็นลูกศิษย์ที่งี่เง่าที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย ฉันนี่ช่างโชคร้ายเสียจริง!”
เมื่อได้รับการยืนยันจากเธอ วาห์นก็ขอให้พี่สาวคำนวณเวลาดู
แล้วเขาก็พบว่าไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่ข้างนอก เอวานเจลีนนั้นต้องรออยู่ในนี้ไปถึงสี่ปีเต็ม
แม้พวกเขาจะกัดกันอยู่บ่อยครั้ง แต่พอจินตนาการว่าเธอต้องมาติดอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าโดยไม่มีอะไรทำเป็นปีๆ วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเธอ
เอวานเจลีนเห็นสีหน้านั่นและรีบพูดตัดหน้า
“ไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันไม่อยากได้ความสงสารของนายหรอก
ถ้ารู้สึกเสียใจจริงๆ ก็เตรียมมาฝึกวิชากับฉันแทนที่จะเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นได้แล้ว”
วาห์นถอนหายใจด้วยท่าทางดื้อดึง
“ฉันอยากฝึกจริงๆ นะ แต่ยังไงก็ยังต้องฝึกสร้างไอเท็มก่อน
อย่างที่บอกไปแล้ว ถ้าฉันยังพัฒนาสกิล [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] ก่อนเดนาตัสครั้งต่อไปไม่ทัน เฮเฟสตัสก็จะถูกเทพคนอื่นๆ วิพากษ์วิจารณ์
ฉันจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ยังไงก็ไม่ยอม!”
ตอนนี้สายตาของวาห์นอัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นขณะจ้องค้อนในมือซึ่งคนที่สร้างและมอบมันให้เขาก็คือเฮเฟสตัสนั่นเอง
ดูเหมือนว่าเอวานเจลีนจะยังหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรไปหลายนาทีขณะกำลังครุ่นคิดในใจ
วาห์นรอให้เธอพูดขึ้นมาอย่างอดทน แต่หลังจากผ่านไปเกือบสิบนาทีเขาก็เริ่มอยากจะกลับไปทำงานต่อ
แม้ว่าจะมองว่าเอวานเจลีนนั้นหน้าตาน่ารักจนจ้องยังไงก็ไม่เบื่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาเข้ามาในนี้
ขณะที่เขาไม่อยากจะรอต่อไปอีกแล้ว เอวานเจลีนก็หันมามองและพูดขึ้น
“ก็ได้ ฉันจะยอมให้นายใช้ที่นี่ทำงานไปก่อน
แต่นายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเพื่อแลกกับความอดทนของฉัน
แล้วก็… หลังจากที่ได้ ‘สกิล’ [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] มาแล้ว นายต้องสาบานว่าจะตั้งใจฝึกวิชากับฉันแบบจริงจังที่สุดเลยนะ”
วาห์นพิจารณาคำพูดของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับ
“ฉันเข้าใจว่าทำไมเธอถึงขอค่าชดเชย แต่จะให้ฉันทำอะไรนอกเหนือจากเรื่องบริจาคเลือดด้วยเหรอ?”
เมื่อวาห์นพูดถึงเรื่องเลือดด้วยสีหน้าปกติ เอวานเจลีนก็ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายทางจิตเล็กน้อย
เธอก้มหัวลงอยู่หลายอึดใจก่อนที่จะสงบลงและพูดต่อ
“ฉันสังเกตเห็นว่าสิ่งของที่นายนำเข้ามาในนี้เป็นของจริง มีสสารทางกายภาพครบถ้วน และไม่ใช่โครงสร้างทางวิญญาณ
ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจหลักการเพราะดูเหมือนมันจะไม่ใช่ระบบเวทมนตร์ด้วยซ้ำ แต่ฉันก็รู้ว่านายมีวิธีเชื่อมต่อมิตินี้กับโลกภายนอกได้”
เมื่อพิจารณาว่าเธอมีเวลาถึงสี่ปีในการคิดเรื่องนี้ก็ไม่มีทางเลยที่วาห์นจะปฏิเสธคำพูดของเธอได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ายอมรับทันที
เอวานเจลีนเห็นท่าทางของเขาและยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องค่าชดเชยก็หายห่วง
ฉันติดอยู่ในนี้โดยไม่มีอะไรทำมานานมากๆ นานจนไม่รู้จะบรรยายยังไงดี
แค่นายเอาของจากโลกของนายมาช่วยฉันแก้เบื่อก็พอแล้ว
ฉันไม่สนใจว่าหรอกว่าจะเอาอะไรออกมา หนังสือ เกม อาหาร หรืออะไรก็ได้”
วาห์นคิดพิจารณาดู ก่อนจะนำหนังสือทั้งหมดที่เขาเก็บไว้ในช่องเก็บของออกมาให้เธอ
มันมีอยู่ด้วยกันหลายร้อยเล่ม และเมื่อเขาเอามันออกมาหมดแล้ว ดวงตาของเอวานเจลีนก็เบิกกว้างก่อนจะเดินไปหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่ง
“นี่เป็นหนังสือจากโลกของนายเหรอ?”
วาห์นพยักหน้าขณะที่เธอค่อยๆ เปิดมันทีละหน้าด้วยสายตาใคร่รู้
หลังจากเปิดดูไปครึ่งเล่ม เอวานเจลีนก็พูดขึ้น
“ฉันอ่านมันไม่ออก”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่น วาห์นก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่รู้ว่าการทำแบบนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะโดนทุบหัวและถูกไล่ตะเพิดออกไปจากมิติ
เขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องการอ่านเขียนในเรคคอร์ดนี้มาก่อน เพราะ ‘เดอะพาธ’ ทำให้เขาสามารถเข้าใจภาษาต่างๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียนก็ตาม
ขณะที่เขาพยายามคิดหาทางออก เอวานเจลีนก็โบกมือและทำให้หนังสือทั้งหมดหายเข้าไปในความว่างเปล่า
พอทำเสร็จแล้ว หนังสือที่เหลือก็คือเล่มที่อยู่ในมือของเธอเท่านั้น
“นี่มันหนังสือเกี่ยวกับอะไรงั้นเหรอ?”
วาห์นเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเธอกำลังชูหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของชนเผ่าทางใต้ ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้ฟัง
เอวานเจลีนฟังไปเรื่อยๆ ก่อนจะพึมพำเบาๆ
“งั้นโลกของนายก็มีเผ่ากึ่งมนุษย์และเผ่าสัตว์อสูรด้วยสินะ?
บางทีโลกของเราอาจจะไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้นก็ได้…”
ก่อนที่วาห์นจะได้ถามอะไร เอวานเจลีนก็พยักหน้า
“ฉันอยากได้สมุด ปากกา โต๊ะ เก้าอี้นั่งสบาย แล้วก็เตียงนอนด้วย
ถ้านายมีอาหารหรือขนมที่น่าสนใจ ฉันก็อยากจะลองชิมดูเหมือนกัน”
เพราะของที่เธอร่ายมานั้นใช้ OP น้องมาก วาห์นจึงสนองให้ตามความประสงค์และเริ่มซื้อทุกอย่างผ่านระบบ
เมื่อเขาดึงเตียงขนาดใหญ่พิเศษพร้อมผ้าปูที่นอนสีชมพู ผ้าห่ม และหมอนสองสามใบออกมา อารมณ์ของเอวานเจลีนก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ก่อนที่วาห์นจะได้ทำเตียงให้มันดีๆ แวมไพร์สาวก็โดดขึ้นมานอนกลิ้งพร้อมกับกอดหนังสือในมือไปมา
เอวานเจลีนทำแบบนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
“ในที่สุดก็ทำตัวเหมือนกับลูกศิษย์ขึ้นมาหน่อย
ถ้านายมีขนมอบหรือของหวานก็ทิ้งมันไว้บนโต๊ะก่อนจะออกไปทำงานด้วยล่ะ
ต่อไปก็ให้เตรียมขนมไว้เยอะๆ ด้วยนะ ไม่งั้นฉันอาจเปลี่ยนใจทีหลังก็ได้~
ตอนนี้ฉันจะเรียนรู้ภาษาของนายจากหนังสือนี่ไปก่อน”
วาห์นอยากจะสวนไปว่าหนังสือนี่ให้ยืมเท่านั้น ไม่ใช่ให้แล้วให้เลย แต่เอวานเจลีนก็เริ่มนั่งไขว่ห้างบนเตียงและอ่านหนังสืออย่างตั้งใจสุดๆ
เพราะไม่อยากขัดจังหวะ วาห์นจึงได้แต่ส่ายหัวก่อนจะกลับไปที่ห้องทำงาน
ระหว่างทาง เขาก็ทิ้งเค้กช็อคโกแลตที่เขาซื้อมา 5OP เพื่อที่เธอจะได้ไม่มาบ่นทีหลัง
หลังทำตามความต้องการของเอวานเจลีนเสร็จก็ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว แต่วาห์นรู้สึกว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหากเธอจะปล่อยให้เขาทำตามใจชอบไปพักหนึ่ง
ทว่าเกือบทุกครั้งที่เขาใกล้จะเตรียมวัตถุดิบชุดใหม่เสร็จ เอวานเจลีนก็จะเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
แม้วาห์นจะติดรำคาญนิดๆ แต่เขาก็รู้สึกประหลาดใจกับความเร็วในการเรียนภาษาของเธอและสิ่งที่เธอถามนั้นมักจะเป็นประเด็นสำคัญอยู่เสมอ
เอวานเจลีนนั้นราวกับเป็นฟองน้ำที่ดูดซับความรู้และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลาที่วาห์นหยุดพัก เธอก็ศึกษาโครงสร้างหลักของภาษาเขียนเสร็จแล้วและเริ่มแปลหนังสือเล่มอื่นต่อทันที
เอวานเจลีนสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มได้วางเครื่องมือลงโดยที่ตนยังไม่ได้หันไปถามอะไร เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะหยุดพักจากงานแล้ว
วาห์นทำงานไปเกือบสิบแปดชั่วโมงและจะหยุดมือก็ต่อเมื่อถูกเธอถามเท่านั้น
ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดกับอยู่ แต่เอวานเจลีนก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการอุทิศตัวให้กับงานของวาห์น
เธอสงสัยจริงๆ ว่าเฮเฟสตัสนั้นเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ถึงต้องให้คนรักมาลำบากขนาดนี้เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกขายหน้า
แต่เดิมนั้นวาห์นคิดจะนั่งทานอาหารและนอนงีบสักครู่ แต่เมื่อร่างกายแตะพื้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกดึงผ่านอากาศอย่างช้าๆ ก่อนจะถูกปล่อยลงข้างเตียง
เอวานเจลีนที่กำลังนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานและเขียนสมุดจุกจิกก็พูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“นอนลงซะ”
แม้ว่าน้ำเสียงนั่นจะฟังดูเย็นชา แต่ออร่าของเธอนั้นดูอ่อนโยนมากขณะยอมให้เขาใช้เตียงเพื่อพักผ่อน
แน่นอนว่ามันนุ่มสบายกว่าการนอนบนพื้นอยู่แล้ว และพอวาห์นทานอาหารเสร็จ เขาก็นอนลงบนเตียงในท่าเหยียดแขนขาออก
การสร้างไอเท็มเป็นงานที่เหนื่อยมาก และมันไม่ง่ายเลยที่จะเตรียมวัตถุดิบนับร้อยชิ้นโดยเสียสมาธิ
พอตั้งเวลาปลุกไว้ในหัวเสร็จแล้ว เขาก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
เอวานเจลีนขยับปากกาไปมาอีกกว่ายี่สิบนาทีก่อนจะหยุดลง
เธอมองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าวาห์นยังคงรักษาพลังเขตแดนเอาไว้แม้จะหลับอยู่ก่อตาม
ถึงเธอจะเห็นเขาทำแบบเดียวกันมาหลายครั้งแล้ว แต่มันก็ยังทำให้เธอประหลาดใจมากที่เห็นว่าเด็กหนุ่มสามารถใช้วิชาขั้นสูงขนาดนี้ได้แม้กระทั่งตอนหลับพักผ่อน
เธอเริ่มโบกมือผ่านอากาศ และความว่างเปล่าก็ปริแตกเล็กน้อยขณะที่หญิงสาวค่อยๆ ส่งพลังเวทของตัวเองผ่านเข้าไปในพลังเขตแดนของเด็กหนุ่ม