หลังจากอ่านข้อมูลสกิลเสร็จแล้ว วาห์นก็เริ่มสำรวจทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
เขามองเห็นแม้กระทั่งอนุภาคในอากาศ และเมื่อไหร่ก็ตามที่โบกมือผ่านก็ตระหนักว่าสิ่งที่เห็นก็คืออากาศนั่นแหละ!
มันคล้ายกับตอนที่วาห์นมองดูพื้นผิวโลหะที่ปล่อยไอความร้อนออกมา แต่ตอนนี้เขากลับมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยอื่นๆ
เมื่อหันและเพ่งสายตาไปทางเอวานเจลีน วาห์นก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น
ร่างกายของเธอนั้นดูเหมือนภาพ ‘เนกาทีฟ’ โดยที่สีทั้งหมดดูสลับด้านกัน และเขายังสามารถมองทะลุชั้นเสื้อผ้าและผิวหนังบนร่างกายของเธอได้ในเวลาสั้นๆ ก่อนที่ภาพจะตัดเข้าไปด้านในและกลายเป็นภาพของกระแสมานาที่ถูกบีบอัดอยู่ในแต่ละเซลล์อย่างแจ่มชัด
จู่ๆ เอวานเจลีนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขณะหันไปมองวาห์น
เธอมองห็นแสงสีฟ้าอ่อนภายในดวงตาของเด็กหนุ่มซึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
ราวกับว่าวาห์นสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างของเธอได้อย่างไร้สิ่งปิดบัง
เธอรู้ว่ามีพลังบางอย่างตื่นขึ้นมาในดวงตาของเขา และตอนนี้ก็สงสัยว่าการใช้สกิลนั้นอาจเป็นบางอย่างที่คล้ายกับ ‘การมองทะลุ’ สิ่งต่างๆ
หากไม่ใช่เพราะสีหน้าอยากรู้และดูครุ่นคิดของวาห์น เอวานเจลีนคงจะตบหน้าเด็กหนุ่มไปแล้วโทษฐานที่มาจ้องเธอด้วยสกิลแปลกๆ
เมื่อเอวานเจลีนหันมาหา วาห์นก็มองสีหน้าของเธอไม่ออกเลยเพราะจากสายตาของเขานั้น ตอนนี้เธอดูเหมือนกับมวลแสงมานาสีฟ้าที่ส่องสว่างไปทั่ว
วาห์นหยุดเพ่งสายตาและเห็นท่าทางตกอกตกใจของเธอ
“…สรุปแล้วตาของนายทำอะไรได้บ้าง!?” คำถามของหญิงสาวเหมือนจะอยากรู้แต่น้ำเสียงกลับฟังดูตรงกันข้ามเลย
หลังจากรวบรวมและแยกแยะสิ่งที่จะพูดเสร็จแล้ว เขาก็ตอบให้เธอหายข้องใจ
“เท่าที่พอเข้าใจ มันทำให้ฉันมองเห็นองค์ประกอบเวทมนตร์ภายในสิ่งต่างๆ เช่นอากาศและจากตัวคน
ฉันมองเห็นมานาจำนวนมหาศาลที่อยู่ภายในร่างกายของเธอจนอึ้งไปพักหนึ่งเลย
…ถ้าทำให้ไม่สบายใจก็ขอโทษด้วยนะ”
แม้ว่ามันจะเบามาก แต่วาห์นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเอวานเจลีนก่อนที่เธอจะหันกลับไปจ้องหนังสืออีกครั้ง
ขณะหยิบปากกาและกำลังจะเขียนต่อ เธอก็พูดขึ้นเสียก่อน
“เมื่อกี้นี้… ฉันนึกว่านายมองทะลุเสื้อผ้าได้ซะอีก
ขออะไรอย่างนะ อย่าเอาไอ้สายตานั่นมาใช้มองฉัน ห้าม-เด็ด-ขาด”
เอวานเจลีนพูดออกมาอย่างชัดเจน แต่วาห์นรู้ว่านั่นเป็น ‘การเตือน’ แบบ ‘หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ได้’
วาห์นไม่แน่ใจว่าเธอเข้าใจคำอธิบายครบถ้วนดีหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ไปถามต่อคงจะเป็นการดีที่สุด
หลังจากยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย วาห์นก็เริ่มแปรรูปวัตถุดิบต่อเพื่อฝึกฝนการควบคุม ‘เพลิงนิรันดร์’ อีกครั้งก่อนที่เวลาจะหมดลง
แม้จะเหลือเวลามากพอที่จะสร้างอุปกรณ์ง่ายๆ ได้สองสามชิ้น แต่เขาก็อยากลองสร้างอะไรที่คล้ายกับ [อเมซอนเริงระบำ] แบบเมื่อกี้นี้มากกว่า
เนื่องจากไม่มีเวลาพอที่จะทำแบบนั้นแล้ว วาห์นจึงใช้เวลาที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงไปกับการเตรียมสิ่งของสำหรับการมาเยือนครั้งต่อไป
อีกไม่นานเขาก็จะได้กลับมาที่นี่ และมีเวลาสามวันเต็มเพื่อสร้างไอเท็มต่ออีกครั้ง
พอเหลือเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง เอวานเจลีนก็วางปากกาลงและหันมาพูดกับวาห์น
“อีกเดี๋ยวนายก็ต้องออกไปแล้ว และฉันก็ใช้มานาไปมากพอสมควรกับการคงสภาพมิตินี้เอาไว้
แถมฉันยังใช้พลังไปไม่น้อยจากตอนที่ทดสอบอาวุธของนาย
เนื่องจากรอบนี้นายได้รับประโยชน์มากมาย ฉันหวังว่ารอบหน้าคงจะมีขนมกับหนังสือติดไม้ติดมือมามากกว่าเดิมนะ” เธอพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์สุดๆ
วาห์นฟังไปเรื่อยๆ พร้อมกับรวบรวมและจัดวางอุปกรณ์ภายใต้การจ้องมองของดวงตาสีฟ้าที่ดูเยือกเย็น
เมื่อวางเครื่องมือชิ้นสุดท้ายลงแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก
“ฉันเดินเองได้น่า ไม่ต้องมาบังคับกันหรอก”
เอวานเจลีนเมินเฉยกับคำพูดนั่นก่อนจะ ‘ยก’ เด็กหนุ่มมาที่เตียงและวางเขาลง
จากนั้นเธอก็คลานตามขึ้นมาก่อนจะนั่งลงบนตักและสบสายตาด้วยสีหน้าเฉยๆ
วาห์นจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปิดตาลงและวางแขนทั้งสองไว้รอบแผ่นหลังของแวมไพร์สาว
เอวานเจลีนวางมือลงบนไหล่ของเขาก่อนจะกัดที่ลำคอเพื่อดูดเลือด
เพราะนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอทำแบบนี้ วาห์นจึงเตรียมใจไว้เป็นอย่างดีจนไม่ได้รับผลกระทบจากการกัดหรือความอบอุ่นที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เนื่องจากเธอได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว เอวานเจลีนจึงไม่ได้พยายามดูดเลือดอย่างบ้าคลั่งเพื่อเอาชณะอัตราการฟื้นฟูของเขาอีก
ตอนนี้เธอกลับดูดเลือดในแบบที่ช้ามากๆ จนกระทั่งถึงตอนที่วาห์นใกล้จะถูกดีดออกไปจากลูกแก้ว
วาห์นรู้สึกดีกับกระบวนการนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดหรือปริปากบ่นแต่อย่างใดจนร่างกายของตัวเองเริ่มสลายหายไป
เนื่องจากกระบวนการสลายจะเริ่มจากขาก่อน ร่างของเอวานเจลีนจึงหล่นลงมาบนเตียงขณะเดียวกับที่ขาของวาห์นหายไป
เธอมองไปยังร่างที่กำลังหายไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่าและพูดเตือนเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“อย่าลืมเรื่องของในครั้งหน้าด้วยล่ะ หนังสือพวกนี้อยู่ได้ไม่ถึงสีปีหรอกนะ
แล้วก็ฉันอยากได้ไวน์กับขนมแบบอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่เค้กอย่างเดียว”
วาห์นถอนหายใจอย่างขบขันขณะยิ้มให้เอวานเจลีน
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ลืมแน่นอน เอวานเจลีน”
มาถึงตอนนี้ ลำตัวของวาห์นก็สลายไปแล้ว แต่ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาก็ยื่นมือออกมาและลูบหัวของหญิงสาวตัวน้อย
เธอขมวดคิ้วในทันทีก่อนจะปัดมือออกไปและพูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กนะ และเรียกฉันว่ามาสเตอร์ด้วย! ม-า-ส-เ-ต-อ-ร์!”
วาห์นได้แต่หัวเราะก่อนส่วนที่เหลือของร่างกายจะหายไป
เขาอยากจะตอกเธอกลับไปว่าหลังจากความฝันเมื่อกี้นี้ เขาก็เห็นว่าเธอเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเด็กน้อยที่ตนต้องมาคอยเอาใจ
แน่นอนว่าเขาได้แต่คิดในใจเท่านั้น และไม่มีทางพูดมันออกมาเด็ดขาด
วาห์นรู้ว่าแผลใจของเธอนั้นเกิดจากการมีชีวิตยืนยาวภายใต้ร่างกายของเด็กเล็กๆ และนั่นก็เป็นอีกอย่างที่เขาจะไม่พูดแน่นอน
เนื่องจากเธอปฏิบัติกับเขาดีขึ้น เขาจึงจะตั้งใจว่าจะหาของหวานที่สาวๆ คนอื่นน่าจะชอบก่อนจะนำกลับมาให้เอวานเจลีนลองชิมดู
วาห์นเปิดตาขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงและมองไปรอบๆ ซึ่งคล้ายกับตอนที่เข้าไปในลูกแก้ว
ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างที่อยู่รอบตัวได้อย่างละเอียด
ไม่เพียงแค่อากาศเท่านั้น แต่วาห์นยังมองเห็นอนุภาคสีรุ้งที่ลอยไปมาหากเพ่งสายตาไปมากกว่าเดิมด้วย
วาห์นเข้าใจว่าพวกมันคือพลังงานธาตุที่อยู่ภายในโลกใบนี้ และมีแนวโน้มว่าเขาสามารถควบคุมพวกมันได้บ้างหากขยายพลังเขตแดนออกไป
ตอนนี้เขาสามารถจัดการกับพลังธาตุไฟได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังสามารถควบคุมพลังธาตุอื่นๆ ได้เล็กน้อยเช่นกัน
หลังจากเพ่งมองอยู่สองสามนาที วาห์นก็รู้สึกเหมือนดวงตาของเขาจะ ‘บวม’ ขึ้นขณะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากด้านในจนต้องหยุดการทดลองนี้ลง
เขาพบว่ายิ่งเพ่งมากเท่าไร ร่างกายก็จะใช้พลังงานไปมากขึ้นเท่านั้น
วาห์นสับสนอยู่บ้างว่าทำไมสกิลติดตัวนี้ถึงต้องใช้พลังงานในการคงสภาพด้วย
เขาเชื่อว่าตนอาจทำผิดพลาดเพราะยังใช้มันได้ไม่ได้ดีพอ
หลังครุ่นคิดเสร็จแล้ว วาห์นจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกเนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่
น่าแปลกใจมาก เพราะตอนออกจากห้อง วาห์นกลับไม่พบแม้แต่เงาของอนูบิส
พอเพ่งเข้าไปที่ห้องข้าง วาห์นก็พบว่าตัวเองไม่สามารถตรวจจับออร่าของเธอแบบตอนก่อนหน้านี้ได้เลย
วาห์นรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงขยายพลังเขตแดนออกไปปกคลุมพื้นที่กว่า 300 เมตร ซึ่งใหญ่พอที่จะครอบคลุมบ้านได้ทั้งหลัง
เขาปิดตาลงเพื่อตั้งสมาธิและตระหนักว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตัวเอง
เขาหันไปดูแผนที่ย่อ และพบว่าสัญลักษณ์สีฟ้าที่เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวกันนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนนี้ แม้จะเป็นเวลา 7 โมงเช้า แต่ก็ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยแม้แต่คนเดียว
วาห์นเริ่มมองไปรอบๆ และถึงกับเข้าไปสำรวจห้องที่เด็กๆ ทั้งสองกลุ่มใช้พักอาศัย
เมื่อเห็นว่าไม่มีความเสียหายหรือร่องรอยการต่อสู้ วาห์นก็สันนิษฐานว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพวกเด็กๆ อาจจะถูกอนูบิสพาไปที่ไหนสักแห่ง
เนื่องจากนี่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และเป็นเวลาพัก วาห์นจึงคิดว่ากรณีนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
เขาเริ่มจะคุ้นชินกับอนูบิสจากช่วงหลายวันมานี้และรู้สึกแปลกๆ เมื่อไม่มีเธอมาคอยเดินตาม
ขณะกำลังเดินไปที่ลานฝึก วาห์นก็ตระหนักว่าเขาน่าจะตรวจจับสิ่งแปลกปลอมได้หากเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากตนมักจะเปิดพลังเขตแดนทิ้งไว้ก่อนนอน
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเลย และเวลาที่เขาใช้ภายในลูกแก้วนั้นก็แค่สองสามวินาทีในโลกจริงเท่านั้นเอง
เขายังคงรู้สึกงุนงงกับการสลับกระแสเวลาไปมาอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ออกมาจากลูกแก้ว
พอคลายความกังวลลงไปบ้างแล้ว วาห์นก็เพ่งสมาธิหลังเดินมาถึงลานฝึกเพื่อฟื้นฟูพลังงานกลับมา
เมื่อพลังฟื้นขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว วาห์นก็ลืมตาและอยากจะลองทดลองใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] ดู
คำอธิบายของมันค่อนข้างคลุมเครือ แต่เมื่อนึกถึงการเกิดใหม่และการทำลายล้างของจักรวาลในความฝัน วาห์นก็รู้สึกว่าสกิล ‘ว่างเปล่า’ นั้นต้องมีศักยภาพแอบแฝงอยู่มากกว่าที่คิดไว้แน่นอน
เขาแผ่พลังเขตแดนออกไปจนครอบคลุมลานฝึกทั้งหมดและเพ่งสายตาไปยังหินขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้เพื่อการฝึกยกน้ำหนัก
สีของหินค่อยๆ เปลี่ยนไป และวาห์นก็เริ่มมองเห็นโครงสร้างที่อยู่ภายในของมันซึ่งประกอบไปด้วยสสารมากมายและพลังงานธาตุดิน
มันดูค่อนข้างคงที่ แต่ก็ยากที่จะเพ่งสมาธิได้นานเนื่องจากมีความแปรผันในองค์ประกอบและความหนาของหินก้อนนี้
มันเหมือนกับว่าการมองเห็นของเขาสามารถทะลุผ่านวัตถุได้ราวกับกำลังพุ่งผ่านอนุภาคของเม็ดทราย (TL: นึกไม่ออก? ไปดู Ant-Man เลย)
วาห์นสูดหายใจเข้าหลายครั้งและพยายามเพ่งไปที่จุดๆ หนึ่งภายในหินขณะเริ่มใช้งาน ‘ว่างเปล่า’
ตอนที่เปิดใช้งานสกิล เขาก็มองเห็นแสงขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาภายในก้อนหิน แต่ในช่วงที่จ้องเข้าไปหา แสงนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและตามมาด้วยอากาศปวดหัวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพลังงานที่หายไปเป็นจำนวนมาก
วาห์นใช้เวลาไปอีกไม่กี่นาที แต่ในที่สุดเขาก็สามารถฟื้นตัวและปรับลมหายใจให้คงที่ได้อีกครั้ง
วาห์นสับสนกับการทดลองเมื่อกี้มาก จนเขาต้องพยายามอ่านคำอธิบายซ้ำหลายครั้ง
ขณะพยายามทำความเข้าใจกับหลักการที่ถูกซ่อนอยู่ แสงที่เขามองเห็นนั้นทำให้นึกถึงแสงขนาดเล็กตอนที่จักรวาลถือกำเนิด และวาห์นก็หวังจริงๆ ว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น
ถ้าเขา ‘บังเอิญ’ สร้างจักรวาลขึ้นมาภายในหินจริงๆ ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงมากจนเรคคอร์ดนี้ถูกทำลายไปพร้อมกันกับเขา
เมื่อพิจารณาถึงระดับดวงวิญญาณในปัจจุบันของตัวเองและความแข็งแกร่งของสกิลแฝงแล้ว วาห์นก็เดาว่ามันไม่น่าจะทำได้ขนาดนั้น
แต่เขายังรู้สึกกังวลนิดๆ เนื่องจากดวงแสงขนาดเล็กได้กลืนพลังงานของเขาไปเกือบครึ่ง
หลังจากฟื้่นคืนพลังกลับแล้ว วาห์นก็เริ่มวิเคราะห์หินด้วยการเพ่งสายตาอีกครั้งเพื่อดูว่าจะพบการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะจ้องนานขนาดไหน เขาก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างและองค์ประกอบของมันเลย
วาห์นหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับการใช้พลังงานจำนวนมาก และพยายามจดจ่อไปที่ตำแหน่งๆ หนึ่งขณะทวนคำอธิบายของ ‘ว่างเปล่า’ ที่ระบุไว้ว่า ‘ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่า’
วาห์นรู้สึกเหมือนกุญแจสำคัญจะอยู่ตรง ‘เกิด’ และ ‘กลับคืนสู่’ ดังนั้นเขาจึงเพ่งไปที่ ‘กลับคืนสู่’ พร้อมกับเพ่งมันใส่ก้อนหิน เพราะเดาว่าแสงที่เห็นก่อนหน้านี้ก็คือ ‘เกิด’ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยากจะใช้หลักการตรงกันข้ามกัน
ทันทีที่ใช้สกิลออกไป วาห์นก็มองเห็นทรงกลมสีดำขยายออกจากตำแหน่งที่เขาจ้องมอง
วาห์นรู้สึกว่าพลังงานเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่ทรงกลมขยายใหญ่ขึ้น ดังนั้นเขาจึงหยุดส่งพลังเข้าไปและพบว่ามันหายวับไปในทันที
วาห์นถอนหายใจก่อนจะล้มลงกับพื้นขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามฟื้นฟูพลังงานที่สูญเสียไป
เมื่อลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาก็นั่งขัดสมาธิและพยายามเพ่งจิตไปที่ [มนตราแห่งอนันตกาล]
แม้จะยังไม่เข้าใจมันเลย แต่วาห์นก็พบว่าการเพ่งสมาธิไปที่วิชานี้จะช่วยฟื้นฟูพลังได้เร็วยิ่งขึ้น
หลังจากฟื้นพลังงานกลับมาแล้ว วาห์นก็เพ่งสายตาไปที่ก้อนหินอีกครั้งเพื่อมองว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ทันทีที่การมองเห็นของเขาแทรกซึมไปถึงแกนกลางของหิน วาห์นก็พบว่าตอนนี้กลับมีช่องว่างอยู่ภายในนั้น
ด้วยความอยากรู้ วาห์นจึงเข้าไปใกล้ก้อนหินและผ่ามันออกเป็นสองส่วนด้วยการฟาดมืออย่างรวดเร็ว
ด้วยสกิล [เพลงหมัดโจมตี] ที่ได้มาจากทีโอน่า วาห์นสามารถส่งพลังงานไว้ที่มือทั้งสองข้างและเปลี่ยนรูปร่างของมันได้ดั่งใจนึก
ตอนนี้เขาเปลี่ยนรูปร่างของพลังงานให้เป็นคบดาบและใช้มันผ่าก้อนหินอย่างง่ายดาย
อย่างที่คาดเอาไว้ วาห์นยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นความจริง
ตอนนี้ภายในของก้อนหินเกิดช่องว่างรูปทรงกลมซึ่งไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว
วาห์นยืนยันวิธีใช้สกิล ‘ว่างเปล่า’ ได้หนึ่งแบบ ซึ่งดูเหมือนมันจะมอบความสามารถในการ ‘กลับคืนสู่’ หรือก็คือการ ‘ทำลาย’ สสารต่างๆ
ไม่มีแม้แต่ฝุ่นอยู่ภายในนี้เลยแม้แต่เม็ดเดียว และส่วนที่ถูกคว้านออกไปนั้นดูไที่ติมาก รางกับว่ามันถูกขัดอยู่หลายชั่วโมงจนมีสภาพเรียบเนียน
ตอนนี้เขายืนยันความสามารถได้อย่างหนึ่งแล้ว วาห์นจึงอยากจะลองใช้ความสามารถในการ ‘เกิด’ หรือก็คือ ‘การสร้าง’ ดูบ้าง
หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง วาห์นก็ตัดสินใจเพ่งสายตาไปที่อากาศแทนที่จะเป็นภายในวัตถุ
เนื่องจากไม่มีจุดดึงดูดสายตา มันจึงยากกว่าการทดลองที่แล้วมาก
หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดวาห์นก็ทำได้สำเร็จและใช้ ‘ว่างเปล่า’ อีกครั้ง
เนื่องจากยังรู้สึกกลัวๆ เรื่องการเผลอ ‘สร้างจักรวาล’ วาห์นจึงพยายามนึกถึงวัตถุดิบอย่างหนึ่ง
ตรงที่วาห์นเพ่งสายไปนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏจุดสีฟ้าที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
มันแตกต่างไปจากทรงทรงกลมสีดำมาก และพลังงานที่จุดสีฟ้าดึงไปนั้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อมันขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับลูกแก้วเล็กๆ วาห์นก็เกือบจะถลำเข้าสู่สภาวะ ‘พลังงานหมด’
หลังจากที่เขาหยุดใช้ความสามารถ แสงสีฟ้าจึงค่อยๆ หายไปพร้อมกับที่ทรงกลมขนาดเล็กตกลงมาจากอากาศ
แม้จะยังปรับลมหายใจไม่เสร็จ แต่วาห์นก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าและหยิบโลหะสีเงินไร้ที่ติที่ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าขึ้นมาถือไว้
วัตถุดิบที่เขานึกถึงคือแร่เหล็ก และวาห์นก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ประมาณ 10 กรัมโดยที่ใช้พลังงานไปเกือบหมด
A/N: เหล็กบริสุทธิ์จะมีรูปร่างและเนื้อผิวคล้ายกับแร่เงิน แต่ว่าแววาวน้อยกว่า ลอง Google หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ)