Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 159

ตอนที่ 159

หลังจากอ่านข้อมูลสกิลเสร็จแล้ว วาห์นก็เริ่มสำรวจทุกอย่างที่อยู่รอบตัว

เขามองเห็นแม้กระทั่งอนุภาคในอากาศ และเมื่อไหร่ก็ตามที่โบกมือผ่านก็ตระหนักว่าสิ่งที่เห็นก็คืออากาศนั่นแหละ!

มันคล้ายกับตอนที่วาห์นมองดูพื้นผิวโลหะที่ปล่อยไอความร้อนออกมา แต่ตอนนี้เขากลับมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยอื่นๆ

เมื่อหันและเพ่งสายตาไปทางเอวานเจลีน วาห์นก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น

ร่างกายของเธอนั้นดูเหมือนภาพ ‘เนกาทีฟ’ โดยที่สีทั้งหมดดูสลับด้านกัน และเขายังสามารถมองทะลุชั้นเสื้อผ้าและผิวหนังบนร่างกายของเธอได้ในเวลาสั้นๆ ก่อนที่ภาพจะตัดเข้าไปด้านในและกลายเป็นภาพของกระแสมานาที่ถูกบีบอัดอยู่ในแต่ละเซลล์อย่างแจ่มชัด

จู่ๆ เอวานเจลีนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขณะหันไปมองวาห์น

เธอมองห็นแสงสีฟ้าอ่อนภายในดวงตาของเด็กหนุ่มซึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

ราวกับว่าวาห์นสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างของเธอได้อย่างไร้สิ่งปิดบัง

เธอรู้ว่ามีพลังบางอย่างตื่นขึ้นมาในดวงตาของเขา และตอนนี้ก็สงสัยว่าการใช้สกิลนั้นอาจเป็นบางอย่างที่คล้ายกับ ‘การมองทะลุ’ สิ่งต่างๆ

หากไม่ใช่เพราะสีหน้าอยากรู้และดูครุ่นคิดของวาห์น เอวานเจลีนคงจะตบหน้าเด็กหนุ่มไปแล้วโทษฐานที่มาจ้องเธอด้วยสกิลแปลกๆ

เมื่อเอวานเจลีนหันมาหา วาห์นก็มองสีหน้าของเธอไม่ออกเลยเพราะจากสายตาของเขานั้น ตอนนี้เธอดูเหมือนกับมวลแสงมานาสีฟ้าที่ส่องสว่างไปทั่ว

วาห์นหยุดเพ่งสายตาและเห็นท่าทางตกอกตกใจของเธอ

“…สรุปแล้วตาของนายทำอะไรได้บ้าง!?” คำถามของหญิงสาวเหมือนจะอยากรู้แต่น้ำเสียงกลับฟังดูตรงกันข้ามเลย

หลังจากรวบรวมและแยกแยะสิ่งที่จะพูดเสร็จแล้ว เขาก็ตอบให้เธอหายข้องใจ

“เท่าที่พอเข้าใจ มันทำให้ฉันมองเห็นองค์ประกอบเวทมนตร์ภายในสิ่งต่างๆ เช่นอากาศและจากตัวคน

ฉันมองเห็นมานาจำนวนมหาศาลที่อยู่ภายในร่างกายของเธอจนอึ้งไปพักหนึ่งเลย

…ถ้าทำให้ไม่สบายใจก็ขอโทษด้วยนะ”

แม้ว่ามันจะเบามาก แต่วาห์นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเอวานเจลีนก่อนที่เธอจะหันกลับไปจ้องหนังสืออีกครั้ง

ขณะหยิบปากกาและกำลังจะเขียนต่อ เธอก็พูดขึ้นเสียก่อน

“เมื่อกี้นี้… ฉันนึกว่านายมองทะลุเสื้อผ้าได้ซะอีก

ขออะไรอย่างนะ อย่าเอาไอ้สายตานั่นมาใช้มองฉัน ห้าม-เด็ด-ขาด”

เอวานเจลีนพูดออกมาอย่างชัดเจน แต่วาห์นรู้ว่านั่นเป็น ‘การเตือน’ แบบ ‘หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ได้’

วาห์นไม่แน่ใจว่าเธอเข้าใจคำอธิบายครบถ้วนดีหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ไปถามต่อคงจะเป็นการดีที่สุด

หลังจากยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย วาห์นก็เริ่มแปรรูปวัตถุดิบต่อเพื่อฝึกฝนการควบคุม ‘เพลิงนิรันดร์’ อีกครั้งก่อนที่เวลาจะหมดลง

แม้จะเหลือเวลามากพอที่จะสร้างอุปกรณ์ง่ายๆ ได้สองสามชิ้น แต่เขาก็อยากลองสร้างอะไรที่คล้ายกับ [อเมซอนเริงระบำ] แบบเมื่อกี้นี้มากกว่า

เนื่องจากไม่มีเวลาพอที่จะทำแบบนั้นแล้ว วาห์นจึงใช้เวลาที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงไปกับการเตรียมสิ่งของสำหรับการมาเยือนครั้งต่อไป

อีกไม่นานเขาก็จะได้กลับมาที่นี่ และมีเวลาสามวันเต็มเพื่อสร้างไอเท็มต่ออีกครั้ง

พอเหลือเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง เอวานเจลีนก็วางปากกาลงและหันมาพูดกับวาห์น

“อีกเดี๋ยวนายก็ต้องออกไปแล้ว และฉันก็ใช้มานาไปมากพอสมควรกับการคงสภาพมิตินี้เอาไว้

แถมฉันยังใช้พลังไปไม่น้อยจากตอนที่ทดสอบอาวุธของนาย

เนื่องจากรอบนี้นายได้รับประโยชน์มากมาย ฉันหวังว่ารอบหน้าคงจะมีขนมกับหนังสือติดไม้ติดมือมามากกว่าเดิมนะ” เธอพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์สุดๆ

วาห์นฟังไปเรื่อยๆ พร้อมกับรวบรวมและจัดวางอุปกรณ์ภายใต้การจ้องมองของดวงตาสีฟ้าที่ดูเยือกเย็น

เมื่อวางเครื่องมือชิ้นสุดท้ายลงแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก

“ฉันเดินเองได้น่า ไม่ต้องมาบังคับกันหรอก”

เอวานเจลีนเมินเฉยกับคำพูดนั่นก่อนจะ ‘ยก’ เด็กหนุ่มมาที่เตียงและวางเขาลง

จากนั้นเธอก็คลานตามขึ้นมาก่อนจะนั่งลงบนตักและสบสายตาด้วยสีหน้าเฉยๆ

วาห์นจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปิดตาลงและวางแขนทั้งสองไว้รอบแผ่นหลังของแวมไพร์สาว

เอวานเจลีนวางมือลงบนไหล่ของเขาก่อนจะกัดที่ลำคอเพื่อดูดเลือด

เพราะนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอทำแบบนี้ วาห์นจึงเตรียมใจไว้เป็นอย่างดีจนไม่ได้รับผลกระทบจากการกัดหรือความอบอุ่นที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง

เนื่องจากเธอได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว เอวานเจลีนจึงไม่ได้พยายามดูดเลือดอย่างบ้าคลั่งเพื่อเอาชณะอัตราการฟื้นฟูของเขาอีก

ตอนนี้เธอกลับดูดเลือดในแบบที่ช้ามากๆ จนกระทั่งถึงตอนที่วาห์นใกล้จะถูกดีดออกไปจากลูกแก้ว

วาห์นรู้สึกดีกับกระบวนการนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดหรือปริปากบ่นแต่อย่างใดจนร่างกายของตัวเองเริ่มสลายหายไป

เนื่องจากกระบวนการสลายจะเริ่มจากขาก่อน ร่างของเอวานเจลีนจึงหล่นลงมาบนเตียงขณะเดียวกับที่ขาของวาห์นหายไป

เธอมองไปยังร่างที่กำลังหายไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่าและพูดเตือนเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“อย่าลืมเรื่องของในครั้งหน้าด้วยล่ะ หนังสือพวกนี้อยู่ได้ไม่ถึงสีปีหรอกนะ

แล้วก็ฉันอยากได้ไวน์กับขนมแบบอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่เค้กอย่างเดียว”

วาห์นถอนหายใจอย่างขบขันขณะยิ้มให้เอวานเจลีน

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ลืมแน่นอน เอวานเจลีน”

มาถึงตอนนี้ ลำตัวของวาห์นก็สลายไปแล้ว แต่ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาก็ยื่นมือออกมาและลูบหัวของหญิงสาวตัวน้อย

เธอขมวดคิ้วในทันทีก่อนจะปัดมือออกไปและพูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน

“อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กนะ และเรียกฉันว่ามาสเตอร์ด้วย! ม-า-ส-เ-ต-อ-ร์!”

วาห์นได้แต่หัวเราะก่อนส่วนที่เหลือของร่างกายจะหายไป

เขาอยากจะตอกเธอกลับไปว่าหลังจากความฝันเมื่อกี้นี้ เขาก็เห็นว่าเธอเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเด็กน้อยที่ตนต้องมาคอยเอาใจ

แน่นอนว่าเขาได้แต่คิดในใจเท่านั้น และไม่มีทางพูดมันออกมาเด็ดขาด

วาห์นรู้ว่าแผลใจของเธอนั้นเกิดจากการมีชีวิตยืนยาวภายใต้ร่างกายของเด็กเล็กๆ และนั่นก็เป็นอีกอย่างที่เขาจะไม่พูดแน่นอน

เนื่องจากเธอปฏิบัติกับเขาดีขึ้น เขาจึงจะตั้งใจว่าจะหาของหวานที่สาวๆ คนอื่นน่าจะชอบก่อนจะนำกลับมาให้เอวานเจลีนลองชิมดู

วาห์นเปิดตาขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงและมองไปรอบๆ ซึ่งคล้ายกับตอนที่เข้าไปในลูกแก้ว

ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างที่อยู่รอบตัวได้อย่างละเอียด

ไม่เพียงแค่อากาศเท่านั้น แต่วาห์นยังมองเห็นอนุภาคสีรุ้งที่ลอยไปมาหากเพ่งสายตาไปมากกว่าเดิมด้วย

วาห์นเข้าใจว่าพวกมันคือพลังงานธาตุที่อยู่ภายในโลกใบนี้ และมีแนวโน้มว่าเขาสามารถควบคุมพวกมันได้บ้างหากขยายพลังเขตแดนออกไป

ตอนนี้เขาสามารถจัดการกับพลังธาตุไฟได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังสามารถควบคุมพลังธาตุอื่นๆ ได้เล็กน้อยเช่นกัน

หลังจากเพ่งมองอยู่สองสามนาที วาห์นก็รู้สึกเหมือนดวงตาของเขาจะ ‘บวม’ ขึ้นขณะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากด้านในจนต้องหยุดการทดลองนี้ลง

เขาพบว่ายิ่งเพ่งมากเท่าไร ร่างกายก็จะใช้พลังงานไปมากขึ้นเท่านั้น

วาห์นสับสนอยู่บ้างว่าทำไมสกิลติดตัวนี้ถึงต้องใช้พลังงานในการคงสภาพด้วย

เขาเชื่อว่าตนอาจทำผิดพลาดเพราะยังใช้มันได้ไม่ได้ดีพอ

หลังครุ่นคิดเสร็จแล้ว วาห์นจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกเนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่

น่าแปลกใจมาก เพราะตอนออกจากห้อง วาห์นกลับไม่พบแม้แต่เงาของอนูบิส

พอเพ่งเข้าไปที่ห้องข้าง วาห์นก็พบว่าตัวเองไม่สามารถตรวจจับออร่าของเธอแบบตอนก่อนหน้านี้ได้เลย

วาห์นรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงขยายพลังเขตแดนออกไปปกคลุมพื้นที่กว่า 300 เมตร ซึ่งใหญ่พอที่จะครอบคลุมบ้านได้ทั้งหลัง

เขาปิดตาลงเพื่อตั้งสมาธิและตระหนักว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตัวเอง

เขาหันไปดูแผนที่ย่อ และพบว่าสัญลักษณ์สีฟ้าที่เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวกันนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในตอนนี้ แม้จะเป็นเวลา 7 โมงเช้า แต่ก็ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยแม้แต่คนเดียว

วาห์นเริ่มมองไปรอบๆ และถึงกับเข้าไปสำรวจห้องที่เด็กๆ ทั้งสองกลุ่มใช้พักอาศัย

เมื่อเห็นว่าไม่มีความเสียหายหรือร่องรอยการต่อสู้ วาห์นก็สันนิษฐานว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพวกเด็กๆ อาจจะถูกอนูบิสพาไปที่ไหนสักแห่ง

เนื่องจากนี่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และเป็นเวลาพัก วาห์นจึงคิดว่ากรณีนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า

เขาเริ่มจะคุ้นชินกับอนูบิสจากช่วงหลายวันมานี้และรู้สึกแปลกๆ เมื่อไม่มีเธอมาคอยเดินตาม

ขณะกำลังเดินไปที่ลานฝึก วาห์นก็ตระหนักว่าเขาน่าจะตรวจจับสิ่งแปลกปลอมได้หากเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากตนมักจะเปิดพลังเขตแดนทิ้งไว้ก่อนนอน

แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเลย และเวลาที่เขาใช้ภายในลูกแก้วนั้นก็แค่สองสามวินาทีในโลกจริงเท่านั้นเอง

เขายังคงรู้สึกงุนงงกับการสลับกระแสเวลาไปมาอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ออกมาจากลูกแก้ว

พอคลายความกังวลลงไปบ้างแล้ว วาห์นก็เพ่งสมาธิหลังเดินมาถึงลานฝึกเพื่อฟื้นฟูพลังงานกลับมา

เมื่อพลังฟื้นขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว วาห์นก็ลืมตาและอยากจะลองทดลองใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] ดู

คำอธิบายของมันค่อนข้างคลุมเครือ แต่เมื่อนึกถึงการเกิดใหม่และการทำลายล้างของจักรวาลในความฝัน วาห์นก็รู้สึกว่าสกิล ‘ว่างเปล่า’ นั้นต้องมีศักยภาพแอบแฝงอยู่มากกว่าที่คิดไว้แน่นอน

เขาแผ่พลังเขตแดนออกไปจนครอบคลุมลานฝึกทั้งหมดและเพ่งสายตาไปยังหินขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้เพื่อการฝึกยกน้ำหนัก

สีของหินค่อยๆ เปลี่ยนไป และวาห์นก็เริ่มมองเห็นโครงสร้างที่อยู่ภายในของมันซึ่งประกอบไปด้วยสสารมากมายและพลังงานธาตุดิน

มันดูค่อนข้างคงที่ แต่ก็ยากที่จะเพ่งสมาธิได้นานเนื่องจากมีความแปรผันในองค์ประกอบและความหนาของหินก้อนนี้

มันเหมือนกับว่าการมองเห็นของเขาสามารถทะลุผ่านวัตถุได้ราวกับกำลังพุ่งผ่านอนุภาคของเม็ดทราย (TL: นึกไม่ออก? ไปดู Ant-Man เลย)

วาห์นสูดหายใจเข้าหลายครั้งและพยายามเพ่งไปที่จุดๆ หนึ่งภายในหินขณะเริ่มใช้งาน ‘ว่างเปล่า’

ตอนที่เปิดใช้งานสกิล เขาก็มองเห็นแสงขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาภายในก้อนหิน แต่ในช่วงที่จ้องเข้าไปหา แสงนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและตามมาด้วยอากาศปวดหัวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพลังงานที่หายไปเป็นจำนวนมาก

วาห์นใช้เวลาไปอีกไม่กี่นาที แต่ในที่สุดเขาก็สามารถฟื้นตัวและปรับลมหายใจให้คงที่ได้อีกครั้ง

วาห์นสับสนกับการทดลองเมื่อกี้มาก จนเขาต้องพยายามอ่านคำอธิบายซ้ำหลายครั้ง

ขณะพยายามทำความเข้าใจกับหลักการที่ถูกซ่อนอยู่ แสงที่เขามองเห็นนั้นทำให้นึกถึงแสงขนาดเล็กตอนที่จักรวาลถือกำเนิด และวาห์นก็หวังจริงๆ ว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น

ถ้าเขา ‘บังเอิญ’ สร้างจักรวาลขึ้นมาภายในหินจริงๆ ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงมากจนเรคคอร์ดนี้ถูกทำลายไปพร้อมกันกับเขา

เมื่อพิจารณาถึงระดับดวงวิญญาณในปัจจุบันของตัวเองและความแข็งแกร่งของสกิลแฝงแล้ว วาห์นก็เดาว่ามันไม่น่าจะทำได้ขนาดนั้น

แต่เขายังรู้สึกกังวลนิดๆ เนื่องจากดวงแสงขนาดเล็กได้กลืนพลังงานของเขาไปเกือบครึ่ง

หลังจากฟื้่นคืนพลังกลับแล้ว วาห์นก็เริ่มวิเคราะห์หินด้วยการเพ่งสายตาอีกครั้งเพื่อดูว่าจะพบการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะจ้องนานขนาดไหน เขาก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างและองค์ประกอบของมันเลย

วาห์นหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับการใช้พลังงานจำนวนมาก และพยายามจดจ่อไปที่ตำแหน่งๆ หนึ่งขณะทวนคำอธิบายของ ‘ว่างเปล่า’ ที่ระบุไว้ว่า ‘ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่า’

วาห์นรู้สึกเหมือนกุญแจสำคัญจะอยู่ตรง ‘เกิด’ และ ‘กลับคืนสู่’ ดังนั้นเขาจึงเพ่งไปที่ ‘กลับคืนสู่’ พร้อมกับเพ่งมันใส่ก้อนหิน เพราะเดาว่าแสงที่เห็นก่อนหน้านี้ก็คือ ‘เกิด’ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยากจะใช้หลักการตรงกันข้ามกัน

ทันทีที่ใช้สกิลออกไป วาห์นก็มองเห็นทรงกลมสีดำขยายออกจากตำแหน่งที่เขาจ้องมอง

วาห์นรู้สึกว่าพลังงานเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่ทรงกลมขยายใหญ่ขึ้น ดังนั้นเขาจึงหยุดส่งพลังเข้าไปและพบว่ามันหายวับไปในทันที

วาห์นถอนหายใจก่อนจะล้มลงกับพื้นขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามฟื้นฟูพลังงานที่สูญเสียไป

เมื่อลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาก็นั่งขัดสมาธิและพยายามเพ่งจิตไปที่ [มนตราแห่งอนันตกาล]

แม้จะยังไม่เข้าใจมันเลย แต่วาห์นก็พบว่าการเพ่งสมาธิไปที่วิชานี้จะช่วยฟื้นฟูพลังได้เร็วยิ่งขึ้น

หลังจากฟื้นพลังงานกลับมาแล้ว วาห์นก็เพ่งสายตาไปที่ก้อนหินอีกครั้งเพื่อมองว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า

ทันทีที่การมองเห็นของเขาแทรกซึมไปถึงแกนกลางของหิน วาห์นก็พบว่าตอนนี้กลับมีช่องว่างอยู่ภายในนั้น

ด้วยความอยากรู้ วาห์นจึงเข้าไปใกล้ก้อนหินและผ่ามันออกเป็นสองส่วนด้วยการฟาดมืออย่างรวดเร็ว

ด้วยสกิล [เพลงหมัดโจมตี] ที่ได้มาจากทีโอน่า วาห์นสามารถส่งพลังงานไว้ที่มือทั้งสองข้างและเปลี่ยนรูปร่างของมันได้ดั่งใจนึก

ตอนนี้เขาเปลี่ยนรูปร่างของพลังงานให้เป็นคบดาบและใช้มันผ่าก้อนหินอย่างง่ายดาย

อย่างที่คาดเอาไว้ วาห์นยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นความจริง

ตอนนี้ภายในของก้อนหินเกิดช่องว่างรูปทรงกลมซึ่งไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว

วาห์นยืนยันวิธีใช้สกิล ‘ว่างเปล่า’ ได้หนึ่งแบบ ซึ่งดูเหมือนมันจะมอบความสามารถในการ ‘กลับคืนสู่’ หรือก็คือการ ‘ทำลาย’ สสารต่างๆ

ไม่มีแม้แต่ฝุ่นอยู่ภายในนี้เลยแม้แต่เม็ดเดียว และส่วนที่ถูกคว้านออกไปนั้นดูไที่ติมาก รางกับว่ามันถูกขัดอยู่หลายชั่วโมงจนมีสภาพเรียบเนียน

ตอนนี้เขายืนยันความสามารถได้อย่างหนึ่งแล้ว วาห์นจึงอยากจะลองใช้ความสามารถในการ ‘เกิด’ หรือก็คือ ‘การสร้าง’ ดูบ้าง

หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง วาห์นก็ตัดสินใจเพ่งสายตาไปที่อากาศแทนที่จะเป็นภายในวัตถุ

เนื่องจากไม่มีจุดดึงดูดสายตา มันจึงยากกว่าการทดลองที่แล้วมาก

หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดวาห์นก็ทำได้สำเร็จและใช้ ‘ว่างเปล่า’ อีกครั้ง

เนื่องจากยังรู้สึกกลัวๆ เรื่องการเผลอ ‘สร้างจักรวาล’ วาห์นจึงพยายามนึกถึงวัตถุดิบอย่างหนึ่ง

ตรงที่วาห์นเพ่งสายไปนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏจุดสีฟ้าที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

มันแตกต่างไปจากทรงทรงกลมสีดำมาก และพลังงานที่จุดสีฟ้าดึงไปนั้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อมันขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับลูกแก้วเล็กๆ วาห์นก็เกือบจะถลำเข้าสู่สภาวะ ‘พลังงานหมด’

หลังจากที่เขาหยุดใช้ความสามารถ แสงสีฟ้าจึงค่อยๆ หายไปพร้อมกับที่ทรงกลมขนาดเล็กตกลงมาจากอากาศ

แม้จะยังปรับลมหายใจไม่เสร็จ แต่วาห์นก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าและหยิบโลหะสีเงินไร้ที่ติที่ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าขึ้นมาถือไว้

วัตถุดิบที่เขานึกถึงคือแร่เหล็ก และวาห์นก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ประมาณ 10 กรัมโดยที่ใช้พลังงานไปเกือบหมด

A/N: เหล็กบริสุทธิ์จะมีรูปร่างและเนื้อผิวคล้ายกับแร่เงิน แต่ว่าแววาวน้อยกว่า ลอง Google หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ)

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท