ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักเมื่อวาห์นเปิดตาขึ้นมาในโลกจริง ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะเวลาด้านนอกเพิ่งผ่านไปเพียงสองสามวินาทีเท่านั้นเอง
ทีน่ายังคงขดตัวอยู่ข้างกายในชุดนอนสีฟ้าอ่อนและดูราวกับเป็นนางฟ้าแมวตัวน้อยน่ารัก
วาห์นโน้มตัวเข้าไปจูบบนหน้าผากของเธออีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและยืดเส้นยืดสาย
ถึงวาห์นจะไม่ค่อยได้ใช้ผ้าห่ม แต่เมื่อคืนทั้งสองอยู่ใต้ผ้าห่มหนาผืนเดียวกันเนื่องจากเป็นความต้องการของทีน่า
เมื่อเขาลุกออกมา ผ้าห่มก็ถูกเลิกขึ้นและทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเด็กสาวจากท่านอนของเธอได้อย่างชัดเจน
วาห์นยื่นมือออกไปจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสะกิดไหล่เบาๆ เพื่อปลุกให้เธอตื่น
หลังจากความอบอุ่นของวาห์นหายไป ทีน่าก็ขดตัวเป็นลูกบอลเล็กๆ ขณะที่วาห์นพยายามปลุกต่อไปและร้องเรียกเธอเบาๆ
ดูเหมือนทีน่าจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ และวาห์นกังวลว่าพวกเขาจะไปฝึกในช่วงเช้าไม่ทันหากเธอยังนอนต่อไปแบบนี้
เขาโน้มตัวไปบีบหูแมวนุ่มฟูซึ่งทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง แต่ก่อนที่เขาจะถอนมือกลับก็ได้ยินทีน่าพึมพำอย่างสะลึมสะลือ
“ปะป๊า…”
มือของวาห์นแข็งทื่อขณะจ้องมองเด็กสาวตัวจ้อยซึ่งยังขดตัวเป็นลูกบอลอยู่เช่นเดิม
เขามองเห็นคิ้วที่ขมวดและคราบน้ำตาจากดวงตาที่ปิดอยู่
ทันใดนั้นวาห์นก็รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและปวดร้ายภายในใจ และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วของตัวเองขึ้นบ้าง
แทนที่จะจับหูของเธอต่อ เขาเริ่มขยับมือมาไว้บนหัวของทีน่าและส่งพลัง [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เข้าไปช่วยเด็กสาว
วาห์นไม่ได้พยายามปลุกเธออีกและทำการลูบหัวต่อไปอย่างอ่อนโยนจนในที่สุดทีน่าก็ตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปเกือบ 10 นาที
จู่ๆ ทีน่าก็รู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่นที่ศีรษะและราวกับว่าฝันร้ายได้ถูกขจัดออกไปด้วยพลังเดียวกันนั้นเอง
เธอลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียและเห็นใบหน้าของวาห์นที่กำลังจ้องมาด้วยสีหน้าอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
ทีน่ารู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคงเห็นเธอกำลังฝันร้าย เขาจึงเข้ามาลูบหัวและหูอย่างอ่อนโยนเพื่อทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
แทนที่จะรู้สึกแค่ตรงส่วนที่ถูกลูบ เธอยังรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาภายในใจขณะเพลิดเพลินไปกับความเอ็นดูที่เขามอบให้ต่อไปอีกหน่อย
ตอนนี้สาวน้อยตื่นขึ้นมาพักหนึ่งแล้ว และวาห์นเองก็พบว่าสีหน้าง่วงๆ ของทีน่านั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาถอนมือออกไปและพูดขึ้น
“คงต้องไปกันแล้วล่ะทีน่า คนอื่นกำลังรอพวกเราอยู่…”
เมื่อพูดจบ วาห์นก็เริ่มขยับออกจากเตียงและเปลี่ยนเสื้อผ้าขณะปล่อยให้เด็กสาวตัวน้อยนอนเหม่อลอยด้วยความงุนงง
ทีน่ายังคงเฝ้ามองแผ่นหลังของวาห์นต่อไปอีกชั่วครู่ก่อนจะคลานลงมาจากเตียง
เธอเดินเตาะแตะไปยังตู้เสื้อผ้าที่วาห์นซื้อให้เมื่อคืนและหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนโดยไม่พูดอะไรต่อ
วาห์นพอมองเห็นเธอได้จากมุมสายตา เขาจึงย้ายตำแหน่งออกมาเล็กน้อยและแต่งตัวต่อไป
หลังเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกจากห้องและพบกับอนูบิสที่กำลังเฝ้ารออย่างใจเย็น
วาห์นลูบหัวของเทพสาวอย่างแผ่วเบาก่อนที่ทั้งสามจะมุ่งหน้าไปทางลานฝึก
เหล่าเด็กๆ ทั้งเจ็ดคนได้มารอกันอยู่แล้ว และวาห์นก็เอ่ยปากขอโทษที่ตนมาสายไปบ้างก่อนจะที่ทุกคนจะเริ่มต้นการฝึกประจำวัน
เพราะทีน่าเองก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน เธอจึงเข้าร่วมฝึกกับพวกเด็กๆ และยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากนานูอีกด้วย
วาห์นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการกระทำของนานู และพอเข้าใจว่าทีน่าคงกระโดดข้ามไปอยู่ในลำดับชั้นที่สูงมากๆ ภายในชั่วข้ามคืน
เด็กคนอื่นๆ เองก็ปฏิบัติกับทีน่าเป็นอย่างดี และไม่นานทุกคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น
แม้จะดูขัดๆ อยู่บ้าง แต่ทีน่าก็ไม่เคยหลีกหนีจากการพูดคุยกับทุกคนและดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเรื่อง ‘ลำดับชั้น’ เลยแม้แต่น้อย
ทั้งวาห์นและอนูบิสต่างพบว่านี่เป็นเรื่องที่ดีเนื่อง
ต่อไปทีน่าจะมาเป็นแบบอย่างของคนอื่นและค่อยๆ ทำลายข้อจำกัดที่กีดกันไม่ให้เหล่าสุนัขล่าเนื้อกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้มันยังช่วยลดภาระที่วาห์นแบกรับไปได้พอสมควร เนื่องจากเด็กๆ จะพึ่งพาเขาน้อยลง
หลังช่วงฝึกจบลงแล้ว ทั้งกลุ่มก็เพลิดเพลินไปกับอาหารเช้าแสนอร่อยก่อนที่อนูบิสและทีน่าจะพาเด็กคนอื่นอีกหกคนไปเรียนหนังสือและเรื่องต่างๆ
นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเด็กๆ จะได้รับการศึกษาจากทั้งอนูบิสและทีน่า
เนื่องจากทำงานเป็นพนักงานโรมแรมมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ทีน่าจึงเหมาะที่จะมาเป็นคนสอนการใช้ชีวิตทั่วไปให้กับเด็กๆ รวมถึงวิธีคิดและการปฏิบัติตัวตอนอยู่กับคนอื่นด้วย
เธอสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับพวกเขาและยังสอนสิ่งจำเป็นต่างๆ ได้อย่างไม่ติดขัด
คนเดียวที่ไม่ได้ไปร่วมเรียนด้วยก็คือนานู เนื่องจากเธอนั้นถือได้ว่าเป็น ‘ลูกศิษย์’ ของวาห์นและกำลังเรียนรู้ทักษะช่างตีเหล็กจากเขาโดยตรง
เนื่องจากได้ฝึกฝนอย่างหนักมาแล้วตอนอยู่ในลูกแก้ว วาห์นจึงใช้ครึ่งแรกของวันเพื่อชี้แนะและสอนนานูแบบเต็มเวลา
ตั้งแต่ได้รับการเสริมพลังจาก [โพรมีธีอุส] สกิล [ช่างตีเหล็ก] ของเด็กสาวก็พัฒนาขึ้นมาแบบก้าวกระโดด แถมตอนนี้วาห์นยังช่วยขัดเกลาให้มันพัฒนาไปเร็วกว่าเดิมอีกด้วย
ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขกับเรื่องนี้มากจนทำให้หางแกว่งไปมาไม่หยุดขณะฟังวาห์นอธิบายเกี่ยวกับวิธีต่างๆ ในการหลอมโลหะและวัตถุดิบจากมอนสเตอร์
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน วาห์นก็บอกกับนานูว่าต่อไปนี้เขาจะออกไปข้างนอกในช่วงบ่าย
เขาให้เธอเลือกว่าจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ หรือจะไปอยู่กับเด็กคนอื่นๆ และทีน่าซึ่งส่วนตัวแล้ววาห์นอยากให้เธอเลือกอันหลังมากกว่า
ถึงเด็กสาวจะวางแผนติดตามเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือ แต่วาห์นก็อยากให้เธอได้รับการศึกษาและสามารถเข้าสังคมทั่วไปแบบคนอื่นได้
เขาหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธออาจจะไม่รู้สึกผูกพันกับธรรมเนียมเก่าแก่และเลิกคิดที่จะปลิดชีพตัวเองหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
หลังบอกอนูบิสและทีน่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปทานมื้อกลางวันที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ต่อด้วยการเดินเที่ยวรอบเมือง ทั้งสองก็ยอมตกลง
ตอนแรกวาห์นนึกว่าทีน่าจะขอติดมาด้วย แต่เด็กสาวกลับบอกว่าหน้าที่ของตนจะครอบคลุมแค่ตอนที่เขาอยู่บ้านเท่านั้น
สาวๆ ทุกคนลงความเห็นว่าวาห์นควรจะมีอิสระบ้าง และหวังว่าเขาจะไม่ไปทำเรื่องเสียๆ หายๆ ในที่สาธารณะ แต่มนุษย์แมวตัวจ้อยก็หวังว่าเด็กหนุ่มจะเล่าเรื่องต่างๆ ที่พบเจอให้ฟังหลังกลับมาถึงบ้าน
หลังได้รับการอบรมสั้นๆ วาห์นก็ออกมาในช่วงบ่ายโมงกว่าๆ และมาถึงด้านนอกของ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ตอนบ่ายสองพอดี
เขาไม่ได้เดินเอื่อยเฉื่อยแต่ก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรนักเพราะอยากลองเดินแบบ ‘ปกติ’ และดูว่าจะใช้เวลามากแค่ไหน
วาห์นพอใจกับเวลาที่ใช้และเดินเข้าร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
วันนี้เขาหวังว่าจะได้พบกับโคลอี้ และพอเข้าไปข้างในก็ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
มามามีอาเห็นวาห์นเดินเข้ามาและเนื่องจากยังไม่มีใครออกไปต้อนรับ เธอจึงตะโกนไปทางโคลอี้
“นี่โคลอี้ แฟนเธอมามานู่นแล้วแหนะ!”
เธอยิ้มกว้างขณะที่เสียงดังกังวานนั่นก็ทำเอาแมวสาวสะดุ้งไปเลย
ทว่าหลังจากที่รวบรวมสติได้ เธอก็หันมามองตรงประตูและเดินออกมาจากโต๊ะของลูกค้ากำลังดูแลอยู่แม้ว่าพวกเขาจะยังสั่งอาหารไม่เสร็จเลย
ดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่พอใจกับการกระทำของเธอมากและพยายามเรียกเธอกลับมา
แต่ขณะที่เขาลุกขึ้นและยื่นมือออกมานั้น ถาดอาหารของริวก็เข้ามาขวางไว้ขณะที่เธอเข้ามารับออเดอร์ให้แทน
แม้ลูกค้าคนนั้นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สายตาเย็นชาของริวก็ทำให้เขานั่งกลับลงไปก่อนจะสั่งอาหารด้วยเสียงแผ่วเบา
วาห์นมองไปตรงนั้นแต่แรก เขาจึงเห็นการกระทำของโคลอี้และริวจนอยากจะหัวเราะออกมา แต่สุดท้ายก็เอาแต่ยิ้มกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยขณะที่โคลอี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าและเอนตัวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มร่าเริง
“วันนี้มาคนเดียวเหรอ~?”
วาห์นพยักหน้าเป็นการตอบและทันทีที่ทำแบบนั้น โคลอี้ก็จับมือของเด็กหนุ่มก่อนจะลากเขาไปบูธส่วนตัวที่ไว้ใช้ต้อนรับลูกค้า VIP ทันที
การกระทำของเธอดึงดูดสายตาของใครหลายคน ซึ่งรวมถึงหญิงสาวอีกสามคนขณะที่ทั้งคู่หายเข้าไปในห้องด้านข้าง
พอเข้ามากันแล้ว โคลอี้ก็หันหลังกลับและเริ่มสำรวจร่างกายของวาห์นโดยไม่พูดอะไร
เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่อการสัมผัสของหญิงสาวแล้ว วาห์นจึงยอมให้เธอสัมผัสร่างกายของเขาไปเรื่อยๆ ก่อนที่โคลอี้จะพูดขึ้น
“นายโตขึ้นมาเยอะเลยนะ แบบนี้ออกจะน่าเสียดายหน่อยๆ แฮะ เนียะฮะฮ่า~”
วาห์นยิ้มให้กับการกระทำของโคลอี้และยื่นมือออกไปกุมรอบเอวของหญิงสาวเอาไว้เพื่อให้ดึงเธอเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก่อนจะพูดบ้าง
“ฉันคงเป็นเด็กตลอดไปไม่ได้หรอก… มีคนตั้งมากมายที่คอยพึ่งพาฉัน
ฉันพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นแล้วนะ โคลอี้…”
ช่วงที่วาห์นเข้ามากุมรอบเอวของเธอไว้ หางของโคลอี้ก็เริ่มส่ายขึ้นลงขณะมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มและพยายามทำความเข้าใจกับอะไรบางอย่าง
หลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ เธอก็หรี่ตาเล็กน้อยและเอ่ยปากถาม
“วาห์น นายอยากจะทำอะไรต่อไปในอนาคตเหรอ?”
ตอนนี้วาห์นสูงกว่าเธอแล้ว โคลอี้จึงต้องเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาแทน
วาห์นเอียงศีรษะแต่ยังไม่ละสายตาจากเธอขณะครุ่นคิดคำตอบของตัวเอง
ภาพทั้งหมดที่เคยประสบมาในอดีตเริ่มแล่นเข้ามาเรื่อยๆ และวาห์นก็สงสัยมากว่าจะตอบคำถามนั่นยังไงดี
พอผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกก่อนจะตอบกลับไป
“ฉันอยากจะมีความสุข…”
พอพูดเสร็จ วาห์นก็กอดโคลอี้แน่นกว่าเดิมจนหางสีดำเริ่มแกว่งเร็วขึ้นขณะที่เธอพยายามอ่านสีหน้าของเขา
เธอถามด้วยเสียงกระซิบ
“แล้วอะไรทำให้นายมีความสุขล่ะ…?”
ครั้งนั้วาห์นครุ่นคิดเพียงครู่เดียวและตอบแบบตรงไปตรงมา
“ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะ… แต่ฉันรู้ว่าตัวเองจะมีความสุขเมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุข
ฉันอยากจะสร้างสถานที่ที่จะปกป้องความสุขนั่นไว้ ก็เลยอยากจะแข็งแกร่งมากกว่านี้… มากพอที่จะทำแบบนั้นได้
แม้ว่าครั้งนี้จะต้องแบกรับภาระของคนอื่นด้วย ฉันก็ไม่คิดว่านั่นเป็นปัญหาหรอก”
โคลอี้ถอนหายใจออกมาและหัวเราะเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง
เธอลดหัวลงเล็กน้อยเพื่อดมกลิ่นที่แผงคอของวาห์นก่อนจะลากผ่านไปที่ใบหูและปิดท้ายด้วยการเลียแก้มด้วยลิ้นที่หยาบกระด้างของตน
(TL: เผื่อใครไม่ทราบมาก่อน ลิ้นของแมวหยาบมากครับ คล้ายๆ กระดาษทรายเลย)
หัวใจของวาห์นสั่นไปเล็กน้อยจากการกระทำของเธอและเขาก็ยิ่งใส่แรงเข้าไปในอ้อมกอดมากขึ้น
เธอกระดุกกระดิกไปมาและใช้ฝ่ามือดันลำตัวของวาห์นหน่อยๆ
“ตอนนี้ดูนายใจกล้ามากไปหน่อยแล้วนะ… ฉันพอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเอน่ากับเฮเฟสตัสถึงต้องทำแบบนั้น
และถึงฉันจะไม่ชอบผู้หญิงบางคน แต่ถ้านายมีความสุข… ฉันก็คงไม่พูดอะไรหรอก”
วาห์นคลายมือออกเล็กน้อยและทำให้โคลอี้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยายามพูดต่อ
ทว่าก่อนได้ทำแบบนั้น วาห์นก็เอนตัวเข้ามาและมอบจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างกะทันหัน
การกระทำของเขาทำให้เธออึ้งไป แต่ก่อนจะได้เปล่งเสียง วาห์นก็ลงมืออีกครั้งและมากระซิบข้างหู
“ฉันขอใช้หนี้ที่ติดเธอไว้ตอนเดตล่าสุดของเรานะ”
ขณะที่ที่โคลอี้จะเปิดปากพูดอีกครั้ง วาห์นก็ตัดหน้าเธออีกเป็นครั้งที่สามโดยคราวนี้เป็นการจูบแบบล้ำลึกและเต็มไปด้วยความรู้สึก
โคลอี้ดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมแขนของวาห์นไม่หยุด แต่เธอก็ไม่อาจหลุดออกมาจากอ้อมกอดของเด็กหนุ่มขณะที่ทั้งหูและหางเริ่มกระตุกไม่หยุด
วาห์นยังคงจูบเธอต่ออีกเกือบครึ่งนาทีก่อนที่เขาจะปล่อยเธอไป
ตอนนี้เธอได้รับบทเรียนแล้วและรีบหลบหนีจากการเกาะกุมของเขาก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนว้าวุ่น
“ครั้งหลังนี่คงไม่ใช่หนี้ที่ติดไว้หรอกนะ~เมี้ยว?”
วาห์นยิ้มกริ่มให้กับคำถามนั้นและพูดต่อ
“ครั้งหลังนี่… เพราะฉันชอบเธอมานานแล้วไงล่ะ โคลอี้
จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำให้นั
ฉันยังรู้สึกเสียใจหน่อยๆ ด้วยที่ตอนนั้นไม่ได้สารภาพรักกับเธอไป”
เมื่อเห็นสีหน้ารักใคร่และจริงใจของวาห์น โคลอี้ก็รู้ว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง
แม้อยากจะเป็นคนชักนำให้เขากลับมาอยู่ในโลกของคนปกติ แต่โคลอี้ก็ไม่คิดเลยว่าท้ายสุดแล้ววาห์นจะเป็นฝ่ายชักชวนให้เธอไปอยู่ในโลกของเขาแทน
แม้จะรู้สึกคาดหวังอยู่บ้างและถึงกับสงสัยว่าจะเป็นยังไงนะถ้ามีเด็กหนุ่มมาคอยตามเอาใจ แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดต่อวาห์นอยู่บ้างหลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นอีกหนึ่งหรือสองปีล่ะก็ เธออาจจะรู้สึกผิดน้อยกว่านี้มาก…
วาห์นสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ กับความผันผวนในออร่าของโคลอี้และพอเข้าใจว่าเธอคงกำลังสับสนอยู่
เพื่อลดความกังวลของหญิงสาว วาห์นจึงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถึงเธอยังไม่พร้อมที่จะตอบตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่อยากให้เธอรู้ไว้ว่าฉันรู้สึกยังไง
หากมีโอกาส ฉันก็อยากจะไปออกเดตกับเธออีกครั้งนะ
…แต่ถ้าเธอไม่ต้องการ แค่เป็นเพื่อนและยังได้คุยเล่นเหมือนที่เราเคยทำก็ไม่ได้แย่นักหรอก”
โคลอี้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาเรื่อยๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดหน่อยๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทั้งสองไม่ได้พบกัน วาห์นนั้นดูเป็น ‘ลูกผู้ชาย’ มากขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและไม่ดีสำหรับเธอ
โคลอี้คิดถึงเด็กน้อยร่างกายบอบบางและมีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งแฝงไปด้วยความเศร้านิดๆ แต่วาห์นคนใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเองก็ดูไม่เลวเหมือนกัน (TL: นางจะออกไปทางแนวโชะตะคอน)
เขายังคงมีใบหน้าที่ดูเด็กและแม้จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นิสัยบางอย่างก็ยังทำให้เธอรู้สึกใจเต้นได้อยู่
ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเข้าหาเธอบ้าง และหญิงสาวดูท่าจะต้านทานการบุกครั้งนี้ได้ไม่ยืดเท่าไหร่
หลังลังเลอยู่เล็กน้อย เธอก็มองเข้าไปในดวงตาของด้วยสีหน้าจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
“ฉันจะไปเดตกับนาย… แต่ว่านะ ถ้านายอยากจะมีอะไรด้วย… ฉันก็จะไม่ปฏิเสธ
แต่หลังจากที่เราทำแบบนั้นไปแล้ว ฉันก็จะไม่ไปเดตกับนายอีกเลย
ฉันไม่อยากเป็นแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ของนายนะ… เข้าใจใช่ไหม?”
นี่คืออีกเหตุผลที่โคลอี้หลีกเลี่ยงไม่ยอมให้เขาสารภาพรักในเดตครั้งนั้น
หากยอมรับความรู้สึกของเด็กหนุ่มในตอนนั้น หญิงสาวกลัวว่าวาห์นจะอุทิศตนให้กับเธอและไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้าอีกเลย
ตอนนี้เขาค้นพบเส้นทางของตัวเองแล้ว เธอจึงไม่อยากเป็นคนที่จะไปขัดขวางหรือฉุดรั้งเขาเอาไว้แทน
“ขอบคุณนะ โคลอี้” วาห์นยิ้มให้และตอบเธอแบบสั้นๆ
เขารู้ว่าเธอเองก็น่าจะไป ‘งานประชุม’ เช่นกัน และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับชีวิตปกติ
แม้กิจกรรมที่ทำกับทีโอน่าและไอส์นั้นจะทำให้วาห์นรู้สึกดี แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวก็ทำให้เขารู้ว่าการพึ่งพาเรื่องพวกนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก โดยเฉพาะถ้าไปเสพติดมันเข้าล่ะก็…
เพราะวาห์นรู้ว่าโอกาสไม่ได้จะบินหายไปไหน เขาจึงไม่จำเป็นต้องมาเร่งรัดไปกับเรื่องนั้นเลย
แค่ได้ใช้เวลาและพูดคุยกับผู้คนที่เขาชื่นชอบก็ทำให้วาห์นมีความสุขมากพอแล้ว
หลังจากได้พูดคุยกันต่ออีกหน่อย โคลอี้ก็รับออเดอร์ของวาห์นก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มคุยเล่นกันต่ออีกเกือบชั่วโมง
เนื่องจากนี่เป็นบูธส่วนตัว แถมโคลอี้ยังได้รับอนุญาตให้มาบริการแบบส่วนตัว วาห์นจึงทิปแบบหนักสุดๆ เพื่อเป็นการชดใช้และขอบคุณมามามีอาที่เปิดโอกาสให้พวกเขามากขนาดนี้
ก่อนออกจากบูธ วาห์นก็สวมกอดโคลอี้อีกครั้งและทำสิ่งที่เขารู้ดีว่ามันเกือบจะถือเป็น ‘เรื่องต้องห้าม’ สำหรับเผ่ามนุษย์แมว
เขายื่นมือออกไปที่แผ่นหลังเล็กๆ ก่อนจะจับตรงโคนหางของเธออย่างอ่อนโยนและรูดมันไปจนสุดปลายอีกด้าน
การกระทำของวาห์นทำให้แผ่นหลังของโคลอี้สั่นเทิ้มจนต้องกัดที่เสื้อของเขาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียงครางหลุดออกมา
เธอมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเหมือนจะเป็นไข้
“ทำแล้วต้องรับผิดชอบด้วยนะ…”
—
วาห์นออกมาจาก ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิมกว่าตอนขามามาก
การสารภาพรักกับโคลอี้เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมานานแล้ว และพอได้ทำลงไปจริงๆ มันก็เมื่อกับได้ยกภูเขาออกจากอก
วาห์นรู้สึกว่าเท้าของตัวเองเบาขึ้นมากและเริ่มมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างมีความสุข
ตอนที่กลับออกไปนั้น เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีหลายสายตาหลายคู่ที่มองตามมาติดๆ
แน่นอนว่าโคลอี้มองตามวาห์นไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่เธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้นเพราะทั้งริวและซีลเองก็ให้ความสนใจกับทั้งสองเช่นกัน
พอวาห์นออกไปแล้ว ซีลก็เดินเข้ามาใกล้และถามโคลอี้ด้วยน้ำเสียงร่าเริงและอยากรู้อยากเห็น
“ฉันสงสัยจังเลยว่าพวกเธอคุยอะไรกันอยู่ในนั้นตั้งนานสองนานนะ~?”