หลังจากสติเริ่มกลับคืนมาแล้ว มิลานก็สังเกตเห็นว่าวาห์นกำลังกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลขณะจ้องมองมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เธอยิ้มนิดๆ แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ไปช่วยทีน่ามาแล้วเหรอ?”
แม้จะมีความสุขและรู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่มิลานก็ยังไม่อาจผ่อนคลายได้จนกว่าจะเห็นว่าลูกสาวปลอดภัย
เธอลุกขึ้นจากอ้อมแขนของวาห์นก่อนจะมองไปรอบๆ และเห็นร่างทั้งเจ็ดที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่
วาห์นวางมือลงบนศีรษะของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วง ฉันเห็นเธอแล้ว จะไปช่วยทีน่าตอนนี้เลยก็ได้… แต่จะปล่อยเธอไว้แบบนี้คนเดียวก็ไม่ได้เหมือน”
คำพูดนั่นทำให้มิลานรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยระงับความกังวลของเธอลงเลย
มิลานเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มอยู่ ก่อนจะนำมือของวาห์นออกจากศีรษะและสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แปลกประหลาดมาก
หางที่เธอเสียไปนั้นกลับมาแล้ว!? และแม้ว่าจะขาดขนสีน้ำตาลไปแต่มิลานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก
ขณะที่หญิงสาวยังงงๆ อยู่ วาห์นก็ยืนขึ้นมากอดเธอไว้ก่อนจะลูบหลังด้วยความห่วงใย
“…ออกไปทางหน้าต่างแล้วก็ตามคนอื่นมาที่นี่นะ
เฮเฟสตัสได้ระดมทีมช่วยเหลือเอาไว้แล้วและคงกำลังตามหาที่นี่อยู่
เข้าใจว่าเธอคงเป็นห่วงทีน่ามาก แต่รับรองว่าพวกมันไหวตัวไม่ทันแน่นอนถ้าฉันอำพรางตัวเข้าไปคนเดียว
แต่ถ้าไม่อยากออกไปจริงๆ เธอจะรออยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้”
ขณะที่พูด วาห์นก็ดึงดาบสั้นเล่มหนึ่งของมาจากช่องเก็บของ
มิลานอยากจะปฏิเสธคำพูดของเด็กหนุ่มแต่พอเห็นสีหน้าจริงจังนั่นแล้วก็ทำไม่ลง
แม้จะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว แต่จิตใจของเธอก็อยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคงและรู้ตัวว่าคงช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก
เนื่องจากเธอไม่อยากรออยู่ใน ‘ห้องนี้’ มิลานจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของวาห์นและไปตามคนมาช่วย
ทว่าก่อนจะออกไป เธอก็มองไปที่สายตาเย็นชาและเศร้าหมองของเด็กหนุ่มซึ่งแม้แต่ท่าทางและคำพูดอ่อนโยนก็ไม่อาจปกปิดมันได้เลย
มิลานรู้ว่าวาห์นคงกล่าวโทษตัวเองกับเรื่องที่เกิดขึ้นและอยากจะพูดให้เขาสบายใจ แต่เธอก็สรรหาคำพูดที่จะใช้ไม่เจอเลย
วาห์นเห็นท่าทางลังเลนั่น เขาจึงส่ายหัวก่อนจะวางมือลงบนหัวของเธออีกครั้งและลูบหูไร้เส้นขนซึ่งก็เป็นเครื่องตอกย้ำความล้มเหลวของตนเองได้อย่างดี
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าแต่ก็แฝงไปด้วยความโกรธ
“สิ่งที่ฉันรู้สึกเสียใจ… ก็คือความอ่อนแอของตัวเองที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ฉันจะทำให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม… ให้เป็นตัวอย่างกับคนอื่นที่คิดจะทำแบบเดียวกันด้วย”
ความเย็นยะเยือกแทบจะเปล่งออกมาจากดวงตาของเขาขณะจ้องมองผ่านผนังไปทางออร่าของทีน่า
เมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงที่พูดออกมา มิลานก็เริ่มขมวดคิ้วก่อนจะสวมกอดวาห์นแรงๆ
แม้จะสับสนเล็กน้อยแต่วาห์นก็กอดตอบก่อนจะได้ยินคำพูดของหญิงสาว
“อย่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบพวกมัน… เข้าไปช่วยทีน่า… นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
อย่าลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกันเพราะนายจะเสียใจไปตลอด
นั่นไม่ใช่เส้นทางสู่ความแข็งแกร่ง… นั่นคือเส้นทางสู่ความโหดร้าย… อย่าสูญเสียจิตใจที่อ่อนโยนให้กับคนพวกนั้นไปเลยนะ”
คำพูดของมิลานทำให้วาห์นรู้สึกแย่มาก และทำให้ความเย็นยะเยือกที่สะสมมาจนถึงตอนนี้เริ่มสั่นคลอน
เขาเริ่มรู้สึกว้าวุ่นแทน แต่แล้วมันก็ถูกความเย็นสงบกดทับเอาไว้อีกที
แม้จะรู้ว่าเธอพูดถูก แต่เขาคงไม่ยอมปล่อยพวกมันไปง่ายๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
วาห์นรู้สึกว่าถ้าเขาแสดงความเมตตาออกมาในตอนนี้ ต่อไปก็อาจมีคนคิดทำแบบเดียวกันมากขึ้นอีก
ขณะให้ความสนใจกับสีหน้าของเขา มิลานก็เห็นความขัดแย้งในดวงตาสีน้ำทะเลก่อนที่เธอจะเข้ามาประคองใบหน้านั่นไว้
“ให้พวกมันชดใช้กรรมในคุกไปตลอดชีวิตเถอะ อย่าเป็นฝ่ายลงมือเองเลยนะวาห์น
แค่หาคนบงการให้เจอและส่งเขาไปให้ทางการก็พอแล้ว… แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือช่วยทีน่าออกมาให้ได้
เธอต้องการวีรบุรุษนะ ไม่ใช่คนที่ไร้ความปราณี
อย่าปล่อยให้เธอเก็บภาพนายทรมานคนอื่นไว้ในใจ แม้ว่ามันจะดูสมควรแค่ไหนก็ตาม”
คำพูดของมิลานทำให้วาห์นนึกภาพทีน่ามองเขาด้วยความหวาดกลัวในอนาคต
และแม้เด็กสาวจะไม่รู้สึกแบบนั้น แต่วาห์นก็ไม่อยากให้เธอมาโอเคกับการที่เขาสังหารผู้คนไปต่อหน้าต่อตา
แม้ความเย็นยะเยือกในใจจะยังไม่จาลหายไปหมด แต่มันก็ลดลงเล็กน้อยขณะที่วาห์นถอนหายใจอย่างเศร้าๆ
เพราะสังหารพวกที่ทรมานมิลานไปแล้วและตราบใดที่ช่วยทีน่าได้สำเร็จ เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษคนที่เหลือด้วยตนเอง
ยังมีผู้เกี่ยวข้องอย่างโลกิและเฮเฟสตัสอยู่อีก วาห์นจึงไม่ต้องทำตัวเป็นศาลเตี้ยเพื่อผดุงความยุติธรรมแทน
เขาแค่อยากปกป้องคนที่ห่วงใยก็เท่านั้นเอง…
เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มสงบลง มิลานก็ยิ้มให้ก่อนจะจูบที่แก้มเบาๆ
ก่อนออกไปทางหน้าต่าง เธอก็หันกลับมาอีกครั้งและพูดขึ้น
“ไปเถอะ เธอกำลังรอนายอยู่… แล้วก็… ขอบคุณนะที่ช่วยรักษาหางให้
พอขนงอกกลับมาแล้ว… เดี๋ยวจะให้จับเล่นเป็นรางวัลละกัน”
แม้อาจดูไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ แต่มิลานก็อยากทำให้วาห์นรู้สึกดีขึ้นผ่านการให้กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ
วาห์นพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนจะยิ้มและพูดตอบ
“สัญญาแล้วนะ…”
เขาเห็นออร่าของหญิงสาวผันผวนไปบ้างและรู้ว่าเธอไม่ได้พยายามเข้าหาแบบจริงๆ จังๆ
วาห์นรู้ว่าเธอแค่พยายามช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น ก็เลยตอบกลับด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกันก่อนจะหันหลังให้พร้อมกันกับที่เธอโดดออกไปนอกหน้าต่าง
แม้อาจจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นในอนาคต แต่วาห์นก็ต้องกลับมาสนใจปัจจุบันก่อนและหาทางจบเรื่องนี้ให้ได้
—
มียามอยู่สองคนที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องของทีน่า ส่วนออร่าจุดอื่นๆ นั้นอยู่กระจัดกระจายกันออกไปภายในตัวอาคาร
แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่มีออร่าสีดำ แต่วาห์นก็สัมผัสได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นออร่าด้านลบทั้งสิ้น
นั่นก็หมายความว่าแม้บางคนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขาในตอนนี้ แต่มันอาจเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็ได้
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาก็คือออร่าขนาดใหญ่สี่จุดที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินซึ่งลึกยิ่งกว่าห้องที่ทีน่าถูกคุมตัวไว้เสียอีก
ถึงจะดูแผนผังของตัวอาคารไว้แล้ว แต่วาห์นก็รู้ว่ายังมีอีกหลายส่วนที่อยู่นอกเหนือระยะพลังเขตแดนของเขา
ระบบแผนที่ย่อนั้นดูไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ แถมมันยังระบุสิ่งที่อยู่หลังผนังไม่ได้ด้วยหากเขาไม่ใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง]
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในร่างเต่า เขาจึงไม่มีสายตาที่มองเห็นในที่มืดแต่ก็ยังมองผ่านห้องที่มีแสงไฟเล็กน้อยได้อย่างชัดเจน
เป็นเรื่องบังเอิญอีกอย่างที่ร่างเต่านั้นมีสีดำ เขาจึงดูกลมกลืนไปกับความมืดแถมยังมีสกิล [อำพรางตัว] และพลังเขตแดนเข้าช่วยอีกแรง
ทันทีที่เข้ามาในระยะห้องของทีน่า วาห์นก็ใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาทันที
ยามทั้งสองนั้นดูไม่ค่อยระวังตัวเท่าไหร่เพราะที่นี่คือใจกลางฐานหลัก พวกมันจึงไม่ได้เตรียมตัวรับมือเด็กหนุ่มที่โผล่มาตรงหน้าและใช้ [เพลงหมัดโจมตี] ใส่จนได้แต่หมดสติไปตามๆ กัน
เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดเสียงดัง วาห์นจึงใช้ความสามารถของร่างเต่าเพื่อส่งคลื่นกระแทกเข้าไปที่สมองของพวกมันโดยตรง
ถึงจะใส่พลังลงไปไม่มาก แต่มันก็แรงพอที่จะทำให้สมองของทั้งสองสั่นราวกับกระดิ่ง
หากโชคร้ายหน่อย พวกมันก็จะพิการทางสมองไปตลอดแต่นั่นก็ถือว่ายังดีกว่าสิ่งที่วาห์นคิดไว้ตอนแรกมาก
หลังจากทำให้พวกมัน ‘หมดสติ’ แบบเงียบๆ วาห์นก็รวมพลังงานธาตุไฟไว้ในมือก่อนจะเริ่มละลายล็อคที่ประตู
ถึงจะลองหากุญแจที่ตัวยามดูก็ได้ แต่วาห์นก็ไม่อยากเสียเวลามากกว่าเดิมและคิดว่าวิธีนี้รวดเร็วที่สุดแล้ว
พอจัดการตัวล็อคเรียบร้อย เขาก็ก้าวเข้าไปในห้องเล็กๆ และเห็นทีน่าที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
แม้เธอจะไม่ได้อยู่ห่างอะไรนัก แต่วาห์นก็ใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาก่อนจะนำร่างของเด็กสาวมาไว้ในอ้อมแขน
โชคยังดีเพราะนอกเหนือจากแผลถลอกและรอยบวมเล็กน้อยที่แก้มแล้ว ทีน่าก็ดูปลอดภัยดี
ความรู้สึกเย็นยะเยือกของเด็กหนุ่มเริ่มละลายหายไปเป็นจำนวนมาก และวาห์นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอกขณะลูบหัวของมนุษย์แมวตัวน้อยพร้อมกับใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ไปด้วย
ถึงจะรักษาแบบธรรมดาก็ได้ แต่วาห์นก็ยังใช้ [เคลื่อนย้ายบาดแผล] เพราะคิดว่ามันเหมาะสมแล้วที่เขาจะต้องรู้สึกถึงความทรมานแบบเดียวกันกับเธอ
หลังจากรักษาไปได้ไม่นานบวกกับการส่งพลังงานเขาไปอย่างต่อเนื่อง ทีน่าก็เริ่มฟื้นขึ้นก่อนจะดิ้นไปมาหลังรู้ว่ากำลังถูกกอดอยู่
เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็สงบลงหลังเห็นว่าคนที่กอดอยู่นั้นคือวาห์นนั่นเอง
แม้ว่าเธอควรจะจำเขาได้ตั้งแต่ตอนรู้สึกถึงพลังงานอบอุ่นแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นทำให้เด็กสาวรวนไปหมด
พอรู้แล้วว่าเป็นวาห์น ทีน่าก็กอดร่างของเขาและเริ่มร้องไห้เสียงดัง
วาห์นบีบอัดพลังเขตแดนให้เล็กที่สุดและใช้คุณสมบัติในการเก็บเสียงของ [อำพรางตัว] เพื่อเก็บเสียงร้องไห้ขณะพยายามเข้าปลอบประโลม
เขาบอกเธอว่ามิลานนั้นได้รับการช่วยเหลือแล้วและ ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงคราวที่เด็กสาวจะได้ออกไปจากที่นี่เช่นกัน
เมื่อทีน่าได้ยินคำปลอบของวาห์น เธอก็เริ่มกลั้นเสียงร้องก่อนจะสะอื้นอยู่กับแผงอกของเด็กหนุ่มไปอีกหลายนาที
แม้จะรู้สึกโล่งใจมากขึ้นหลังได้ฟังคำอธิบาย แต่ความหวาดกลัวที่เด็กสาวสั่งสมไว้นั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย
แม้ว่าอ้อมกอดของวาห์นจะช่วยทำให้จิตใจสงบลงไปบ้าง แต่เธอก็ยังไม่อาจผ่อนคลายได้จนกว่าได้เห็นผู้เป็นแม่อีกครั้ง
หลังจากเห็นมิลานถูกพาตัวไปในสภาพสะบักสะบอม ทีน่าจึงได้รับการกระทบจิตใจอย่างรุนแรงและไม่อยากจะเชื่ออะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้เห็นกับตา
วาห์นยังคงปลอบเธออย่างใจเย็นจนกระทั่งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของจุดออร่ารอบๆ ตัว
มีจุดออร่าขนาดใหญ่แยกตัวออกจากสามคนที่เหลือและเริ่มวิ่งไปทั่วอาคารเพื่อแจ้งเตือนคนอื่นๆ
ออร่าสามจุดเหลือเริ่มถอยห่างเข้าไปในพื้นที่ที่วาห์นสัมผัสไม่ถึง
แม้จะไม่ถูกตรวจพบ แต่วาห์นก็สันนิษฐานว่าตัวหัวหน้าคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างบนแล้ว
ตอนนี้มีหลายกลุ่มที่นำโดยเฮเฟสตัสแฟมิเลียเริ่มเข้ามาใกล้ที่นี่ตามการชี้นำของมิลาน
ทีมหลักจากโลกิแฟมิเลียเองก็เริ่มเคลื่อนไหวนับตั้งแต่ที่วาห์นพบกับเฮเฟสตัส
ถึงจะไม่แน่ใจว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วาห์นก็พอเดาได้จากสถานการณ์รอบๆ ตัว
ก่อนที่พวกมันส่วนหนึ่งจะมาถึงที่นี่ วาห์นก็ดึงตัวทีน่าออกไปเล็กน้อยและมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
แม้เด็กสาวจะยังกลัวและรู้สึกวิตกกังวลอยู่บ้าง แต่เธอก็หยุดสะอื้นทันทีขณะจ้องตอบ
วาห์นเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่แพ้สายตา
“ตอนนี่พวกคนไม่ดีกำลังมาทางนี้ ดังนั้นฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่ก่อน
พรรคพวกของเรารวมถึงแม่ของเธอก็กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว พวกเขาจะปกป้องเธอเอง”
“แล้วนายล่ะ…?” ทีน่าพยักหน้าและถามด้วยเสียงสะอื้น
วาห์นยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะขยี้ผมของเธอและพูดต่อ
“ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวการหนีไปง่ายๆ
แม้แต่ตอนนี้ พวกมันก็กำลังหาทางหนีออกไปจากที่นี่
ฉันจะเข้าไปสกัดไว้และซื้อเวลาให้ทีมช่วยเหลือ ดังนั้นฉันอยากให้เธอตั้งสติดีๆ และออกไปพบพวกเขาข้างนอก
ไม่ต้องกลัวนะทีน่า ฉันจะไม่ให้เธอเดินออกไปคนเดียวแน่นอน…”
พอพูดจบ เขาก็มองไปที่เพดานก่อนจะสวมกอดทีน่าอีกครั้ง
“ฟาฟเนียร์! เปิดช่องให้อากาศเข้ามาในที่บ้าๆ นี่ทีสิ
ขอสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยเถอะ…”
หลังสั่งการออกไปแล้ว ฟาฟเนียร์ก็โผล่ขึ้นมาจากเงามืดบนพื้นและพุ่งต่อไปยังด้านบนก่อนจะทลายเพดานและหลังคาราวกับว่าพวกมันเป็นแค่กระดาษบางๆ
แม้จะมีซากปรักหักพังร่วงหล่นลงมาราวกับห่าฝน แต่วาห์นก็สามารถปกป้องทีน่าที่อยู่ในอ้อมแขนได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการสลายแรงทุกอย่างออกไปรอบๆ ตัว
แม้แต่ซากอาคารขนาดใหญ่ก็ยังต้องกลิ้งหลบออกไปเมื่อเจอกับพลังของร่างเต่าดำ
ทีน่ากลัวฉากที่วุ่นวายนี่มาก แต่เธอก็กอดเอวของวาห์นไว้แน่นและหลับตาปี๋โดยเชื่อว่าเขาสามารถปกป้องเธอได้
แม้จะดูเหมือนว่าท้องฟ้ากำลังถล่มลงมาใส่ แต่เธอก็เชื่ออย่างสนิทใจจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มที่กอดอยู่นั้นจะสามารถต้านทานได้ทุกอย่าง
ผ่านไปอีกไม่กี่วินาที ทีน่าก็ได้สัมผัสกับอากาศยามค่ำคืนอันเย็นยะเยือกขณะที่วาห์นใช้พลังเขตแดนเพื่อสร้างแรงกดดันเล็กๆ และผลักฝุ่นผงที่เหลือออกไป
เขาอุ้มเธอขึ้นก่อนจะกระโดดผ่านรูที่ฟาฟเนียร์ทำไว้ขึ้นไปยังชั้นต่างๆ จนมาถึงหลังคา
วาห์นหันไปหามังกรที่ลอยอยู่ในอากาศและยื่นทีน่าไปทางมัน
“ฟาฟเนียร์ ปกป้องเธอแบบสุดความสามารถ
พาเธอไปหาคนอื่นๆ ก่อนจะกลับไปซ่อนในเงา
ถ้ามีใครพยายามทำร้ายเธอหรือมิลานล่ะก็… ไม่ต้องปล่อยไว้”
ฟาฟเนียร์พยักหน้าก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงเด็กๆ
(*สบายมากนายท่าน เดี๋ยวจัดให้เอง~!*)
จากนั้นเจ้ามังกรก็ก้มตัวลงและปรับเกล็ดให้เป็นที่นั่งขนาดพอดีตัวกับทีน่า
แม้ตอนแรกจะรู้สึกกลัวมาก แต่พอทีน่าได้ยินเสียงน่ารักที่มันคุยกับวาห์นแล้วก็นึกขำหน่อยๆ
ถึงรูปร่างจะดู ‘ชั่วร้าย’ แต่เธอก็รู้สึกกลัวน้อยลงขณะยอมให้วาห์นวางตนลงบน ‘ที่นั่ง’
วาห์นลูบหัวของเด็กสาวอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจูบที่หน้าผากและพูดขึ้น
“มิลานกำลังรออยู่ รีบไปหาเธอเถอะ…”
ทีน่าพยักหน้าก่อนจะโอบรอบคอของวาห์นไปอีกครู่หนึ่ง
ในที่สุดเด็กสาวก็ยอมปล่อยมือก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าสะอื้น
“อย่าเป็นอะไรไปนะ ขอร้องล่ะ…”
วาห์นกุมมือเธอไว้ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ดูมั่นใจที่สุดที่พอจะทำได้
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะกลับมาหาเธอแน่นอน
เตรียมอาหารเผื่อไว้ให้ด้วยนะ… แล้วเราก็มานั่งทานแบบสามคนพร้อมหน้ากันเหมือนตอนนั้น”
จากนั้นวาห์นก็ขยี้ผมของเธออีกครั้งก่อนจะโดดกลับลงไปในรูที่ฟาฟเนียร์ทำไว้
แม้จะมีพวกตัวแสบมากมายที่โผล่มายังห้องขังของทีน่า แต่ทันทีที่เห็นรูขนาดใหญ่และฟาฟเนียร์ พวกมันก็เผ่นแบบไม่คิดชีวิต
วาห์นตั้งใจจะตามพวกมันไปเพราะถ้าเราไล่ตามหางของงูไปเรื่อยๆ ไม่นานก็คงได้เจอกับส่วนหัวแน่นอน
จากช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในป่านั้นวาห์นได้เรียนรู้มาแล้วว่าวิธีฆ่างูที่ดีที่สุดก็คือการตัดหัวมันออกก่อน…