เนื่องจากโรงแรมที่วาห์นพักนั้นใช้ถนนเส้นเดียวกับเจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อมและจัตุรัสบาเบล ทั้งสองจึงเดินมาถึงด้านนอกร้านภายใน 10 นาที
ตลอดช่วงการเดินทาง วาห์นกุมมือของโคลอี้ไว้คล้ายกับตอนที่พวกเขาไปออกเดตเมื่อนานมาแล้ว
สำหรับผู้ที่พบเห็น ทั้งสองดูเหมือนคู่รักหนุ่มสาวที่มาเดินเล่นในเมืองและเพลิดเพลินไปกับการใช้เวลาร่วมกัน
แม้ว่าแท้จริงแล้วจะต้องรีบแบบสุดๆ แต่โคลอี้ก็ยืนรอวาห์นอยู่นอกโรงแรมก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเดินทางอย่างช้าๆ ภายใต้อากาศอันอบอุ่น
หลังเข้ามาใกล้เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม โคลอี้ก็เดินไปที่ทางเข้าด้านข้างเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดพนักงานเสิร์ฟ
เธอบอกว่าถ้าเดินเข้าไปทางหน้าร้านพร้อมกับวาห์นในชุดนี้ล่ะก็… ได้ตายจริงๆ แน่
เพราะมาเข้างานสาย โคลอี้จึงไม่อยากทำให้มามามีอาหน้ายักษ์ไปมากกว่าเดิม
แต่ก่อนที่หญิงจะผละออกไป วาห์นก็ใช้ [เครื่องพิสูจน์ความรัก] ที่ได้รับมาตอนค่าความชื่นชอบของโคลอี้ขึ้นถึงจุดสูงสุด
ไอเท็มที่ปรากฏออกมาก็คือริบบิ้นสีน้ำเงินสวยงาม
ถึงวาห์นจะพบว่ามันค่อนข้างแปลกที่สิ่งที่โคลอี้ต้องการมากที่สุดจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายแบบนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะดีใจมากเมื่อได้รับมันพลางยิ้มอย่างร่าเริง
เธอนำริบบิ้นมาแนบกับใบหน้าขณะหลับตาพริ้มราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด
จากนั้นหญิงสาวก็มองวาห์นด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะส่งริบบิ้นคืนกลับไป
วาห์นค่อนข้างสับสนจนกระทั่งโคลอี้หันหลังให้และพูดขึ้น
“ใส่ให้หน่อยสิ…”
วาห์นเริ่มขุดคุ้ยข้อมูลภายในหัวเพื่อดูว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร แต่กลับไม่มีเนื้อหาในหนังสือเล่มไหนเลยที่พูดถึงริบบิ้นและเผ่ามนุษย์คนแมวเลย
เพราะไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงต่อ วาห์นจึงรับริบบิ้นสีน้ำเงินมาถือไว้แบบงงๆ จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าหางของโคลอี้กำลังส่ายไปมาขณะที่เจ้าตัวยังคงมองไปทางอื่นและไม่ได้พูดอะไร
วาห์นค่อยๆ เอื้อมมือไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณและผูกริบบิ้นใกล้กับโคนหางของโคลอี้อย่างเบามือ
แม้จะไม่ค่อยเข้ากับสีชุด แต่วาห์นเห็นว่าอย่างน้อยสีน้ำเงินก็เข้ากับสีผมและหางของเธอเป็นอย่างดี
ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด โคลอี้ก็พูดขึ้นเบาๆ
“ต้องผูกให้แน่นกว่านี้นะ ไม่งั้นมันจะหลุดเอาน่ะ~เมี๊ยว”
วาห์นทำตามคำพูดของเธอและดึงริบบิ้นให้แน่นขึ้นอีกจนมันจมเข้าไปในขนหาง
เมื่อเขาทำเสร็จแล้ว หางของโคลอี้ก็ส่ายแรงขึ้นก่อนที่เธอจะหันกลับมาและโอบรอบคอของวาห์นเพื่อจูบเขาอย่างแนบแน่น
วาห์นกอดเอวบางและแสดงความรักตอบจนกระทั่งหญิงสาวถอยออกหลังผ่านไปหลายอึดใจ
เธอใช้นิ้วแตะริบบิ้นเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันติดแน่นดีแล้วก่อนจะหัวเราะเบาๆ และเดินเข้าไปข้างในโดยไม่พูดอะไรต่อ
วาห์นตัดสินใจว่าจะถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลังหรือไม่ก็ไปถามมนุษย์แมวคนอื่นที่เขารู้จักว่าการผูกริบบิ้นที่หางนั้นมีความหมายแฝงอะไรหรือเปล่า
เนื่องจากมิลานและทีน่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยปกติ นั่นก็หมายความว่าคนเดียวที่เขาพอจะถามเรื่องนี้ได้ก็คืออาเนีย
เมื่อเขาเดินผ่านประตูหน้าเข้าไปในร้าน วาห์นก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเดินมาที่บาร์เพื่ออธิบายสถานการณ์ให้มามามีอาฟัง
เธอได้ฟังเรื่องนี้จากซีลมาแล้วดังคาด แต่วาห์นก็ยังให้ทิปเธอเพื่อเป็นการชดเชย
เธอรับเงินมาพลางหัวเราะเสียงดังและเอ่ยชมว่าเขากำลังเติบโตขึ้นเป็น ‘ชายหนุ่มที่ดี’ มากเลยจริงๆ
หลังจากนั้นวาห์นก็ทานอาหารกลางวันกับมิลานกับทีน่าและขอให้อาเนียมาเป็นสาวเซิร์ฟ
ดูเหมือนเธอจะประหลาดใจกับคำขอของเขามากและทำตัวกระวนกระวายเล็กน้อยก่อนจะตกปากรับคำ
ตลอดช่วงที่ให้บริการทั้งสาม อาเนียนั้นมีท่าทางสงบเสงี่ยมและซุ่มซ่ามมากจนถึงขั้นทำเหยือกน้ำผลไม้ที่พวกเขาสั่งตกแตก
วาห์นเข้าจัดการอย่างรวดเร็วด้วยการใช้ผ้าขนหนูจากช่องเก็บของในขณะที่อาเนียขอโทษขอโพยอย่างเขินๆ
เมื่อจบช่วงอาหารกลางวัน วาห์นก็บอกลามิลานกับทีน่าและตัดสินใจถามอาเนียเรื่องริบบิ้นเพราะไหนๆ ก็เหลือพวกเขากันอยู่แค่สองคนแล้ว
เขาเดินเข้ามาหาหญิงสาวและถามขึ้นแบบเบาๆ
“อาเนีย พอจะรู้เรื่องมนุษย์แมวกับริบบิ้นที่หางหรือเปล่า?”
อาเนียทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วและเธอก็เอียงหัวไปมาราวกับกำลังสับสนในคำถามของเขา
เพราะเป็นคนที่ซุ่มซ่ามและสมองช้ากว่าใครเพื่อน อาเนียจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าใจคำถาม
เธอถามกลับด้วยความสงสัยขณะยังเอียงศีรษะไม่เลิกและทำหน้าครุ่นคิด
“มันก็แล้วกรณีแต่นะ~เมี๊ยว?
นายผูกมันไว้ตรงไหนเหรอ?”
วาห์นชี้ไปที่หางสีน้ำตาลเล็กๆ ของ อาเนียแทนคำตอบและพูดต่อ
“ตรงนั้น”
อาเนียเอียงหัวไปอีกด้านและประมวลผลถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดก่อนจะมองหางของตัวเองอย่างงุนงง
ผ่านไปอีกไม่กี่วินาที เธอก็ทำหน้าตื่นและเริ่มโบกไม้โบกมือจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งขณะพูดตะกุกตะกัก
“มะ-มะ-มะ-เมี๊ยว ฉะ-ฉันยังไม่พร้อมทำแบบนั้นหรอกนะ~!”
โดยไม่อยู่อธิบายต่อว่าเธอ ‘ยังไม่พร้อม’ เรื่องอะไร อาเนียก็รีบวิ่งออกจากบูธส่วนตัวราวกับกำลังหนีเอาชีวิตรอด
เธอส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ และทำท่าทางสติแตกซึ่งสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยจนมามามีอาต้องขว้างจุกไม้ก๊อกใส่หัว
วาห์นเฝ้าดูทุกอย่างแบบงงๆ แถมสถานการณ์ยังยิ่งแย่กว่าเดิมเมื่อเขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนและหันไปตรวจสอบข้อมูลจากระบบ
ค่าความชื่นชอบของอาเนียนั้นมักจะอยู่ในช่วง 70 ต้นๆ แต่ตอนนี้มันพุ่งขึ้นไปที่ 80 ปลายๆ หลังจากที่เขาถามเกี่ยวกับริบบิ้น
เพราะเธอไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ ‘แบบนั้น’ ความสับสนของวาห์นก็เลยพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
เขาเกือบจะหลุดออกไปว่าเธอกำลังเข้าใจผิด แต่อาเนียนั้นมักถูกล้อว่าเป็นคนบ้าๆ บอๆ จากคนรอบข้างและเขาก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอเข้าไปอีก
เมื่อเห็นว่าค่าความชื่นชอบของเธอเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างต่อเนื่องพร้อมกับที่สถานะยังคงสลับไปมาระหว่าง (อยากรู้อยากเห็น) และ (หลงรัก?) วาห์นก็เลยพูดอะไรไม่ออก (A/N: ใช่ครับ เป็นคำว่าหลงรักกับเครื่องหมายคำถามด้านหลัง xD)
ซีลเดินผ่านประตูเข้ามาขณะที่วาห์นกำลังสับสน เขาจึงตัดสินใจอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟังพร้อมกับถามเรื่องริบบิ้นไปด้วยเลย
คำถามของเขาทำให้คิ้วได้รูปเลิกสูงขึ้นก่อนที่เธอจะหัวเราะอย่างร่าเริงขณะเอามือป้องปาก
วาห์นมองเห็นความแวววาวในสายตาของหญิงสาวได้อย่างชัดเจนขณะที่เธออธิบาย
“ฉันเห็นริบบิ้นสีน้ำเงินของโคลอี้แล้ว นายเป็นคนผูกมันให้เธอใช่ไหม?
ถึงมันจะดูไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่เผ่ามนุษย์แมวบางคนจะให้คู่รักผูกริบบิ้นไว้ที่โคนหางของตัวเอง
มันเป็นวิธีที่จะแสดงให้คนอื่นว่าพวกเธอมีเจ้าของแล้ว… หลังจากที่ทำเครื่องหมายให้กับอีกฝ่าย”
พอพูดถึงตรงนั้น ซีลก็วางมือบนคอเสื้อของวาห์นก่อนจะขยับมันออกไปข้างๆ เพื่อตรวจสอบ ‘เครื่องหมาย’ ที่โคลอี้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน
วาห์นจับข้อมือของหญิงสาวและค่อยๆ ดึงมันออกไปขณะที่เธอมองเขาแบบแปลกๆ พลางยิ้มให้เล็กน้อย
ตอนนี้วาห์นรู้แล้วว่าทำไมอาเนียถึง ‘สติแตก’ เพราะคงคิดว่าเขากำลังขอให้เธอทิ้งเครื่องหมายไว้ให้เช่นกัน
เนื่องจากอาเนียเห็นว่าตัวเองกับโคลอี้เป็น ‘คู่สาวแมวเหมียว’ แห่งเจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม บางครั้งเธอจึงทำตัวคล้ายกันกับโคลอี้
นั่นคือเหตุผลที่เธอมาบริการให้เขาในวันที่โคลอี้ไม่ได้เข้าเวรและทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว
เพราะอาเนียหายเข้าไปด้านหลังร้านที่ซึ่งโคลอี้กำลังล้างจานเพื่อเป็นการ ‘ลงโทษ’ วาห์นจึงเดาว่าเธอคงได้เห็นริบบิ้นของเพื่อนสาวและคลี่คลายเรื่องเข้าใจผิดกันไปเอง
เพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้น เขายังขอให้ซีลเข้าไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาเนียฟังด้วย
การที่อาเนียมาชอบนั้นไม่ได้ทำให้วาห์นคิดมาก แต่เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์นี้เริ่มขึ้นจากความเข้าใจผิด
เขาได้รับบทเรียนนั้นแล้วจากเรื่องของนานูและต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติหากเป็นไปได้
หลังแยกกับซีลและออกจากเจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม เป็นอีกครั้งที่วาห์นไม่รู้จะทำอะไรดีจนได้แต่เดินเตร่ไปทั่วเมืองและดูสถานที่ให้ซื้อหรือเช่าไปเรื่อยๆ
ถึงตั้งใจไว้ว่าจะพาเฮสเทียมาเดินดูด้วย แต่การตรวจสอบล่วงหน้าก็คงจะไม่เสียหายอะไร
สถานที่บางแห่งยังมีการตั้งข่ายป้องกันหรือแม้กระทั่งอุโมงค์ลับไว้ใช้หลบหนีซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกใช้โดยกลุ่มอาชญากรรมหรือพวกที่ทางการต้องการตัว
วาห์นได้ยืนยันข้อสงสัยนี้เมื่อเขาพบกลุ่มคนสี่คนออกมาจากบ้านที่ควรจะไม่มีผู้อยู่อาศัย
เนื่องจากทั้งสี่มีออร่าสีเทาหม่นหมอง วาห์นจึงตัดสินใจสะกดรอบตามเพื่อยับยั้งเรื่องไม่คาดฝัน
แม้จะไม่ได้คิดตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยเพื่อกวาดล้างคนชั่ว แต่เขาก็ไม่อาจมองข้ามมันได้หากมีบางอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
แถมตอนนี้เขายังเบื่อแบบสุดๆ เด็กหนุ่มจึงค้นหาเรื่องน่าสนใจเพื่อฆ่าเวลาไปในตัว
ในที่สุดทั้งสี่ก็เข้าไปในอาคารที่ดูคล้ายกับบาร์และวาห์นยังตรวจพบออร่าอีกหลายจุดในสถานที่แห่งนั้น
ทุกคนไม่ได้มีออร่าสีเทาเหมือนกันหมดและยังมีออร่าสีอบอุ่นปะปนอยู่ด้วย
หลังผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน วาห์นก็รู้สึกได้ว่าออร่าของทั้งสี่เริ่มสว่างขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงเคาน์เตอร์
พอตระหนักว่าพวกเขาแค่มาหาอะไรดื่มกัน วาห์นจึงส่ายหัวและตัดสินใจปิดคดีนี้ลง
เดี๋ยวเขาค่อยไปบอกกับทางกิลด์ว่ามีทางเดินลับซ่อนอยู่ตรงนี้และให้พวกเขามาตรวจสอบกันเองรวมไปถึงกลุ่มคนที่ใช้มันด้วย
แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน วาห์นเดินกลับไปที่อาคารแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด
ดูเหมือนจะไม่มีกับดักหรือคนอื่นอยู่ในอาคารนั้นอีก วาห์นจึงเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงอาคารร้างอีกหลัง
ชายสี่คนนั้นน่าจะรู้จักเครือข่ายอุโมงค์หลายแห่งและใช้มันเป็นทางลัดเพื่อหลบเลี่ยงผู้สัญจรจากด้านบน
เมื่อออกจากอาคาร วาห์นก็มองไปรอบๆ และไม่พบอะไรน่าสงสัยแม้จะขยายพลังเขตแดนออกไปตรวจสอบแล้วก็ตาม
มีคนหลายร้อยคนกำลังเดินอยู่บนถนนในเวลานี้และออร่ามากมายมหาศาลนั่นอาจหมายถึงอะไรก็ได้
เนื่องจากไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีก วาห์นเลยตัดสินใจออกจากที่นั่นและเดินดูรอบๆ อีกหน่อย
มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับวาห์นเพราะเขารู้สึกเหมือนเป็นนักสืบที่กำลังติดตามไขความลี้ลับแม้จะไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสอะไรเลย
เมื่อถึงเวลาห้าโมงเห็น วาห์นก็กลับไปที่โรงแรมเพื่อเข้าสู่ลูกแก้วและใช้เวลากับเอวาตามปกติ
แม้จะค้นหาไปรอบๆ ถึงสามชั่วโมง แต่วาห์นก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัยจนเกินไปนัก ดังนั้นเขาจึงไปรายงานเรื่องอุโมงค์ลับให้พวกทหารยามทราบ
ถึงพวกเขายังอยากจะซักถามอะไรเพิ่มเติม แต่วาห์นก็ใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อ ‘หายตัว’ ออกมาโดยกล่าวลาสั้นๆ และทิ้งให้เหล่าทหารยามทำหน้างงกันเป็นแถบๆ
ภายในลูกแก้ว วาห์นยังคงพัฒนาสกิลตีเหล็กต่อไปและยังมีโอกาสได้เป็นแบบภาพวาดให้กับแวมไพร์สาวด้วย
เมื่อวาดรูปเสร็จแล้ว เอวาก็พยายามเชียร์ให้วาห์นวาดภาพของเธอบ้าง แต่เขาไม่มีความสามารถหรือเทคนิคที่เกี่ยวกับศิลปะอยู่เลย
มันต่างจากตัวเธอที่ได้พัฒนาทักษะด้านงานฝีมือหลายอย่างมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในฐานะชินโซแวมไพร์ แต่สุดท้าแล้วยวาห์นก็ต้องลองวาดดู
ทว่าทุกอย่างเริ่มซับซ้อนเกินเหตุเพราะเขาพยายามลงรายละเอียดมากเกินไปและคอยแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยไปมา
การวาดใบหน้าของหญิงสาวเป็นเรื่องที่ง่ายจนวาห์นคิดว่าตัวเองอาจจะสนุกกับการวาดภาพในอนาคตก็เป็นได้
แต่เมื่อวาดต่อไปที่ส่วนของรูปร่าง เขาก็ทำออกมาได้ไม่ดีนักและเกิดข้อผิดพลาดขึ้นหลายจุด
พอใกล้ถึงเวลาออกจากลูกแก้ว วาห์นก็ได้สร้างผลงานที่ถือว่าเป็น ‘งานศิลปะสมัยใหม่’ ซึ่งแน่นอนว่าตัวคนวาดยอมไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้แน่นอน
เขาออกจากโรงแรมและกลับมาที่เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อมเพื่อทานอาหารเย็นกับคู่แม่ลูกโดยมีทั้งโคลอี้และอาเนียมาคอยให้บริการ
อาเนียยังคงมีท่าทางกระวนกระวายและโคลอี้ก็คอยแกล้งเธอตลอดช่วงอาหารเย็นขณะเล่นกับทีน่าไปด้วย
เด็กสาวตัวน้อยเริ่มสนิทกับสาวๆ คนอื่นในร้านแล้วและวาห์นดีใจที่เธอไม่ได้ติดเขามากจนเกินไปนัก
มิลานยิ้มหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลาและวาห์นมองออกว่าเธอยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในอดีตเช่นเดิม
หลังช่วงอาหารเย็น โคลอี้ก็เข้ามาหาขณะจับไหล่ของอาเนียไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้เธอหนี
เธอเผยรอยยิ้มชั่วร้ายหน่อยๆ ขณะดันให้อาเนียมายืนอยู่ตรงหน้าวาห์น
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของโคลอี้ วาห์นก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างน่าปวดหัวกำลังจะเกิดขึ้นขณะที่เขาหันไปจ้องอาเนียแทน
พอเห็นดวงตาสีน้ำทะเลหันมามอง เธอก็เอาแต่ก้มหน้าพลางนำนิ้วชี้มาถูกันในแบบที่ใครมองก็รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกลังเล
วาห์นถอนหายใจสั้นๆ และถามขึ้น
“ซีลกับโคลอี้อธิบายให้ฟังแล้วใช่ไหม?”
วาห์นค่อนข้างกังวลว่าอาจไม่มีใครไปอธิบายเรื่องเข้าใจผิดหรือมันอาจ (จงใจ) ถูกมองข้ามไป เขาก็เลยอยากยืนยันเรื่องนี้เป็นอันดับแรก
คำถามนั่นทำให้อาเนียตัวสั่นเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
ทุกอย่างนั้นกระจ่างแล้วสำหรับเธอ แต่อาเนียก็หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้จนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนับตั้งแต่ตอนนั้น
เนื่องจากอาเนียยังใบ้กินอยู่ โคลอี้จึงเข้ามาอธิบายแทนว่าเธอกับซีลได้พูดคุยกับหญิงสาวไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อาเนียยังอยากพูดกับวาห์นในภายหลังด้วย
ราวกับได้รับการกระตุ้นจากคำพูดของโคลอี้ อาเนียเริ่มหันมามองที่ใบหน้าของวาห์นก่อนจะพูดขึ้น
“นายช่วย… ลูบหัวฉันหน่อยได้ไหม~เมี๊ยว?”
ถึงจะค่อนข้างลังเล แต่วาห์นก็ยิ้มแห้งๆ ขณะวางมือบนหัวของอาเนียตามคำขอ
เนื่องจากเธอต้องการให้เขา ‘ลูบ’ วาห์นเลยลูบทั้งผมและใบหูอย่างอ่อนโยนขณะที่เธอหลับตาและทำสีหน้าอึดอัดหน่อยๆ
ยิ่งเขาลูบหัวเธอนานขึ้น จำนวนการแจ้งเตือนเรื่องค่าความชื่นชอบของเธอก็ดังถี่ขึ้นตามไปด้วย
วาห์นเริ่มรู้สึกวิตกจนต้องดึงมือออกเมื่อค่าความชื่นชอบขึ้นมาถึง 93 แต้มเพราะกลัวว่ามันอาจเต็มร้อยหากยังลูบต่อไปแบบนี้
เมื่อมือของเขาหยุดลง สีหน้าอึดอัดบนใบหน้าของอาเนียก็ไม่ได้จางหายไปขณะที่เธอยกมือขึ้นมาแตะหัวตัวเองและขยี้แรงๆ ราวกับไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงดี
ในที่สุดโคลอี้ก็เริ่มหัวเราะกับการกระทำนั้นก่อนจะช่วยพูดเสริม
“อาเนีย เธอไม่ต้องรีบคิดเรื่องนี้ก็ได้ วาห์นต้องมาที่นี่บ่อยอยู่แล้ว
เผลอๆ อาจจะได้มาอีกหลายปีเลย กลับไปพักแล้วค่อยๆ คิดก็ได้นะ~เมี๊ยว”
ราวกับได้รับการช่วยชีวิต อาเนียดูเหมือนเพิ่งจะประมวลผลเสร็จและเริ่มหัวเราะเสียงดัง
เธอมองมาที่วาห์นก่อนจะเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยและชูนิ้วชี้ขึ้นราวกับกำลังจะพูดจาสั่งสอน
“ถ้าอยากชนะใจฉันล่ะก็ นายต้องลูบหัวให้เก่งกว่านี้ก่อนนะ~เมี๊ยว!”
วาห์นเกือบจะย้อนออกไปว่าถ้าเมื่อกี้เขาไม่หยุดมือเอง อาเนียนั่นแหละที่จะงานเข้า
แต่เขาก็เอาแต่หัวเราะกับคำพูดของหญิงสาวก่อนจะพูดตอบ
“ได้สิ ต่อไปจะลูบให้ดีกว่านี้อีกนะ”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำเอาตาของอาเนียแทบจะถลนออกมาขณะที่เธอยืนแข็งเป็นหินในท่าสั่งสอนเช่นเดิม
หลังผ่านไปชั่วอึดใจเธอก็ประมวลผลคำพูดของเขาเสร็จก่อนจะรีบวิ่งหนีตายอีกครั้งพลางตะโกนไปตลอดทาง
“มะ-มะ-เมี๊ยววว ฉันจะไม่ให้นายมาลูบง่ายๆ แบบนั้นหรอก~เมี๊ยว!”
คำพูดของเธอสร้างความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งแถมรอบนี้ในร้านยังมีคนเยอะกว่าเดิมด้วย
มามามีอาก็เลยตะโกนเสียงดังพลางดีดจุกไม้ก๊อกเล็กๆ สามนัดมาที่หัวของอาเนีย โคลอี้ และวาห์น
เด็กหนุ่มอยากจะหลบซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แต่พอเห็นสีหน้า ‘เกรี้ยวกราด’ ของมามามีอา เขาก็เลยปล่อยให้มันกระทบหน้าผากและได้ยินเสียงตะโกนที่ตามหลังมา
“ที่นี่เราไม่มีบริการแบบนั้นนะ ไอ้หนู!”