ขณะที่เฟนเรียร์เคี้ยวคริสตัลเวทมนตร์อย่างเอร็ดอร่อย วาห์นก็กำลังรวบรวมวัสดุต่างๆ (ที่เฟนเรียร์ยังไม่ได้กิน) เข้าไปในช่องเก็บของ
ถึงจะไม่ได้นำไปใช้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยวาห์นก็สามารถเก็บของพวกนี้ไว้เป็น ‘ของว่าง’ สำหรับเฟนเรียร์ได้
เด็กสาวไม่เพียงแค่สนุกไปกับการเคี้ยวของแข็งๆ เท่านั้น เพราะเขามองออกว่าพลังงานในร่างกายของเธอเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยเมื่อได้กินบางอย่างเข้าไป
อาจดูน้อยมากจนแทบสังเกตไม่ได้ แต่วาห์นก็รู้ว่ามันไม่ได้เป็นการสูญเปล่า
หลังกินทุกอย่างที่ขวางหน้าหมดแล้ว เฟนเรียร์ก็ลุกขึ้นจนวาห์นได้เห็นเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดและรอยฉีกขาดมากมาย
ที่จริงเขาเห็นตั้งแต่ตอนสู้เสร็จแล้วแต่ก็ไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะเวลา ‘อาหารว่าง’ ของเธอ
“คงต้องหาเสื้อผ้าใหม่อีกรอบแล้วล่ะ” วาห์นเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ
เฟนเรียร์มองลงไปที่ร่างกายของตัวเองขณะใช่อุ้งมือลูบคลำเสื้ออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มันฉีกขาดเพิ่ม
“เสื้อผ้าไม่ดี เฟนเรียร์ไม่ชอบ!”
เนื่องจากไม่เคยต้องสวมอะไรตอนยังเป็นโคโบลด์ เฟนเรียร์เลยไม่ชอบการใส่เสื้อผ้าแบบสุดๆ
นอกจากจะไปจำกัดการเคลื่อนไหวแล้ว พวกมันยังเลอะและเสียหายได้ง่ายจนเธอแทบอยากจะฉีกทิ้งให้หมดเลย
“เฟนเรียร์ รู้ไหมว่าอะไรทำให้เธอมีความสุขที่สุด?” วาห์นถามขณะช่วยเธอถอดเสื้อออก
ตอนนี้เด็กสาวเหลือเสื้อผ้าติดตัวอยู่เพียงชิ้นเดียว (กางเกงในชุ่มเลือด) ขณะกำลังครุ่นคิดคำถามของผู้เป็นนาย
วาห์นขมวดคิ้วให้กับภาพที่เห็นก่อนจะเริ่มทำความสะอาดตัวของเฟนเรียร์ด้วยผ้าเช็ดตัวเปียก
ผ่านไปเกือบนาที เฟนเรียร์ก็คิดคำตอบเสร็จ
“เฟนเรียร์ชอบไม่หิว เกลียดความหิว รู้สึกไม่ดี ทำให้โมโห…”
เพราะมันเป็นคำตอบที่คาดไว้อยู่แล้ว วาห์นจึงพยักหน้าและถามต่อ
“แล้วอย่างอื่นล่ะ มีอะไรอีกไหม?”
เฟนเรียร์ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“หิวแย่ที่สุด อาหารดี เฟนเรียร์มีความสุข!
เจ้านายให้อาหารเฟนเรียร์ เฟนเรียร์ดีใจ!”
วาห์นถอนหายใจพร้อมกับทำความสะอาดเสร็จพอดี
แย่หน่อยที่เขาไม่สามารถขจัดคราบเลือดตรงส่วนแขนและขาของเธอออกไปได้อย่างหมดจด ตอนนี้ส่วนที่เป็นเส้นขนสีน้ำเงินจึงดูเข้มขึ้นกว่าเดิมมาก
หลังจากใช่เวลาคิดต่ออีกหน่อย วาห์นก็เริ่มมองหาชุดใหม่ให้กับเฟนเรียร์และซื้อเสื้อยืดรัดรูปสีเทาปนน้ำเงินออกมาจากระบบร้านค้า
มันทำจากผ้ายืดแบบสามชั้นที่มีคุณสมบัติกันน้ำตรงส่วนนอก ทว่าส่วนในนั้นก็ยังดูดซับของเหลวต่างๆ (เช่นเหงื่อ) ได้ดี
แม้ว่าตอนสวมใส่จะลำบากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนเฟนเรียร์จะชอบเสื้อแบบโชว์หน้าท้องมากกว่าเสื้อตัวก่อน
แน่นอนว่าช่วงล่างของเธอยังเป็นปัญหาอยู่ วาห์นเลยซื้อกางเกงรัดรูปขาสั้นที่มีสีและทำมาจากวัสดุแบบเดียวกันออกมาให้ด้วย
เสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาหามานั้นอยู่ในหมวดหมู่ชุดของชาวอเมซอน นั่นทำให้เฟนเรียร์ดูปราดเปียวมากแถมสีชุดยังเข้ากับสีขนของเธอและขับให้มันดูเด่นกว่าเดิม
“ดีจัง ดีกว่าเดิม เฟนเรียร์ชอบผ้ายืดๆ ไม่ขวางตอนสู้”
ราวกับอยากจะอวดให้เขาเห็นเพราะเด็กสาวเริ่มวิ่งวนไปรอบๆ (แบบ 4 ขา) จนวาห์นได้แต่กุมขมับ
ตอนนี้เธอใส่เสื้อผ้าที่ดูเปิดเผยมาก หากมีคนมาเห็นเข้าล่ะก็… งานบังเกิดแน่นอน
เด็กหนุ่มค่อยๆ นั่งพิงกำแพงและเรียกให้เฟนเรียร์มานั่งด้วย แต่แทนที่จะนั่งท่าเดียวกัน เธอกลับนั่ง ‘ท่าสุนัข’ โดยการนั่งยองๆ และเอามือออกมาเท้าด้านหน้า
วาห์นตระหนักแล้วว่ายังมีเรื่องที่เธอต้องเรียนรู้อีกเยอะ เขาจึงเริ่มอธิบายให้ฟังช้าๆ
ร่างเดิมของเฟนเรียร์มีพื้นฐานมาจากร่างของมอนสเตอร์ตัวผู้ แต่ที่จริงแล้วมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนนั้นเป็นแบบ ‘ไร้เพศ’ แทบทุกสายพันธุ์
พอ ‘มัน’ กลายมาเป็น ‘เธอ’ วาห์นเลยอยากอธิบายวิธีทำตัวให้เหมาะสมเมื่อเด็กสาวต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่น
เพราะเฟนเรียร์ไม่ชอบการกลับไปอยู่ในก้อนคริสตัล ทางเลือกเดียวของเธอก็คือต้องปลอมตัว
เมื่อเขาถามย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง เฟนเรียร์ก็ยืนกรานว่าจะไม่กลับเข้าคริสตัลหากไม่จำเป็นจริงๆ และยินยอมที่จะใส่เสื้อผ้าเพิ่มหากมันไม่ ‘รุงรัง’ จนเกินไปนัก
วาห์นนำไอเท็มออกมาให้ลองหลายชิ้น สุดท้ายเธอก็เลือกสวมผ้าคลุมยาวที่ปกปิดร่างกายแทบทุกส่วนยกเว้นตรงเท้า
เขาอยากให้เธอใส่เกราะขาด้วย แต่ครั้งนี้เฟนเรียร์ปฏิเสธแบบหัวชนฝาและอ้างว่ามันเป็นเรื่องของ ‘สัญชาตญาณ’ และไม่ชอบให้มีอะไรมา ‘พันธนาการ’ แขนกับขา
พอวาห์นถามเพิ่มว่าอะไรทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น เฟนเรียร์ก็ส่ายหัวและยืนยันคำเดิมว่ามันเป็น “สัญชาตญาณ” จนเขาต้องยอมแพ้
หนึ่งในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการโต้ตอบกับเฟนเรียร์ก็คือ แม้จะชอบทำมึนและไม่เข้าใจหลายๆ เรื่องแต่เธอนั้นไม่ได้โง่เลย
เธอเรียนรู้ได้เร็วมากและพยายามเลียนแบบคำพูดของเขาอยู่ตลอด
แม้จะโกรธและหงุดหงิดง่าย แต่ตราบใดที่เขาใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อทำให้เธอเย็นลง เฟนเรียร์ก็จะไม่บ่นเรื่องหิวเท่าไหร่นัก
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่พวกเขาได้มาอยู่กันแค่สองคน (โดยไม่มีเอวา) เฟนเรียร์ก็ไม่บ่นหิวอีกเลยจนกระทั่งเขาทำให้เธอหงุดหงิด
จากการเฝ้าสังเกตความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ความหิว’ กับ ‘อารมณ์’ ของเฟนเรียร์ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการทำให้เธอ ‘มีความสุข’ จนไม่ต้องทานเยอะแบบแต่ก่อนหรืออาจถึงขั้นไม่ต้องทานอะไรเลย
เขาเป็นห่วงว่าการให้อาหารมากไปนั้นอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะยิ่งรับพลังงานเข้าไปมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งต้องทานมากขึ้นเพื่อรักษาระดับของพลังงานนั่นเอาไว้
แม้จะถูกบัญญัติในเรคคอร์ดปิดกั้นพลังบางส่วน แต่ถ้าวันไหนที่เธอเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจนถึงขั้น ‘กลืนกิน’ แดนสวรรค์เข้าไป…
หลังจากหมดช่วงพักสั้นๆ ก็เป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้าแล้วและวาห์นอยากอยู่ต่ออีกหน่อยก่อนที่ทั้งคู่จะกลับขึ้นสู่ด้านบน
ไม่นานพวกเขาก็เดินมาเจอเข้ากับวอร์ชาโดว์ตัวหนึ่งพร้อมด้วยคิลเลอร์แอ๊นท์อีก 3 ตัว
เนื่องจากเฟนเรียร์มีรูปแบบพลังงานเดียวกันกับเขา วาห์นจึงสามารถซ่อนสัมผัสของเธอและของตัวเองได้โดยใช้พลังเขตแดนบวกกลับสกิล [อำพรางตัว]
ราวกับจดจำคำสั่งก่อนหน้านี้ได้ เฟนเรียร์เริ่มโก่งตัวไปข้างหลังและเตรียมที่จะหอนออกมา ทว่าวาห์นกลับเข้ามาจับหัวเธอไว้เสียก่อน
—————
สนับสนุน.นิยายอย่างถูกต้องได้ที่: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
เฟนเรียร์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยท่าทางสับสนและค่อยไม่พอใจนัก จนกระทั่งวาห์นเริ่มอธิบาย
“การทุ่มสุดตัวทุกครั้งมันไม่ใช่แผนที่ดีเสมอไปนะ
เธอต้องทำความเข้าใจกับความสามารถของศัตรูและถนอมแรงเผื่อไว้บ้าง
ส่วน [ดวงจันทร์ร่ำไห้] ก็ไม่ใช่สกิลที่เอามาใช้ได้ตลอดเพราะมันส่งผลกับสภาพจิตใจของเธอด้วย
สำหรับตอนนี้ให้ลองฝึกใช้ [นักล่า] ไปก่อน เธอจะได้ชินกับประสาทสัมผัสที่ถูกเสริมขึ้นมาจากผลของสกิลนี้”
คำสอนย่อมต้องมาพร้อมของเอาใจ และวาห์นก็ยื่นคริสตัลก้อนใหญ่ออกไปให้หลังพูดจบพอดี
ค่าความภักดีที่ลดลงจากการถูกรั้งตัวไว้นั้นฟื้นกลับมาทันที ในขณะเดียวกัน ขนกับเส้นผมของเด็กสาวก็เริ่มแหลมคมขึ้นจนตั้งชี้โด่เด่
เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว เฟนเรียร์ก็พุ่งออกมาจากพลังเขตแดนด้วยขาทั้ง 4 และเริ่มโจมตีมอนสเตอร์ทันที
เด็กสาวจัดการกับพวกคิลเลอร์แอ๊นท์ได้อย่างรวดเร็ว แต่วอร์ชาโดว์นั้นไม่ได้ของเคี้ยวง่ายๆ แถมมันยังตามความเร็วของเธอทันด้วย
แม้เฟนเรียร์จะเทียบเท่าได้กับนักผจญภัยเลเวล 2 แต่วอร์ชาโดว์เองก็มีค่าสถานะที่ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
ข้อได้เปรียบอีกอย่างก็คือมันกำลังสู้ในแบบที่ตัวเองถนัดซึ่งต่างจากท่าร่างแบบขัดๆ ของเฟนเรียร์ลิบลับ
ตอนแรกวาห์นตั้งใจว่าจะสอนนิดๆ หน่อยๆ แต่เขาอยากให้เฟนเรียร์ลองสู้เองอีกครั้งและดูว่าเธอจะพัฒนาตัวเองไปได้มากน้อยแค่ไหน
เจ้าวอร์ชาโดว์ยังมีช่วงแขนที่ยาวกว่าและสามารถโจมตีสวนกลับได้แบบสบายๆ ทว่าทุกครั้งที่คิดทำแบบนั้น วาห์นก็จะปล่อยแรงกดดันเข้าใส่จนมันนิ่งไปหลายวินาที
เฟนเรียร์ที่กำลังรอรับความเจ็บปวดอยู่นั้นเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเจ้านายกำลังช่วยเธอจากข้างสนาม
ความรู้สึกใจกล้าเพราะได้รับ ‘การปกป้อง’ ทำให้เธอโจมตีต่อไปโดยไม่สนเรื่องการป้องกันตัวเองอีก
วาห์นถอนหายใจให้กับความเป็นห่วงจนเกินเหตุของตน เพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เฟนเรียร์ก็คงไม่มีทางได้พัฒนาตัวเองแน่นอน
เขาหยุดการเคลื่อนไหวของวอร์ชาโดว์อีกครั้งก่อนจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อเข้ามาหยุดกรงเล็บที่กำลังจะเจาะผ่านหัวของมันอย่างทันท่วงที
ผมของเฟนเรียร์ยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิมขณะที่เธอเริ่มตะโกนเสียงดัง
“ไม่นะเจ้านาย! เฟนเรียร์จะฆ่ามัน!”
จากนั้นเธอก็พยายามอ้อมไปรอบๆ เพื่อโจมตีวอร์ชาโดว์ต่อ แต่วาห์นก็เข้ามาขวางอีกครั้งและเริ่มพูดเชิงตำหนิ
“เฟนเรียร์ ฉันพยายามช่วยฝึกเธออยู่นะ
ถ้าเอาแต่รอให้ฉันช่วย แบบนี้เธอจะไปสู้กับมอนสเตอร์เก่งๆ ด้วยตัวคนเดียวได้เหรอ!?
ฆ่าศัตรูได้แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าเธอไม่ได้พัฒนาฝีมือตัวเองเลย”
ดวงตาของเฟนเรียร์เริ่มเปล่งประกายสีแดงขณะที่เจ้าตัวยังเถียงต่อ
“มันต้องตาย! เฟนเรียร์ฆ่า กิน เดี๋ยวก็เก่งเอง!”
ถึงอยากสังหารเจ้าวอร์ชาโดว์ใจจะขาด แต่เฟนเรียร์ก็ไม่กล้าขยับไปไหนหลังจากที่วาห์นเข้ามาขวางรอบสอง
วาห์นพูดเสียงเข้มกว่าเดิมโดยไม่สนใจว่าเด็กสาวจะรู้สึกหงุดหงิดมากแค่ไหนก็ตาม
“ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ เลย
เดี๋ยวฉันจะสาธิตให้ดู”
เฟนเรียร์กัดฟันและเดินออกไปทางด้านข้างก่อนจะลงไปนั่งแบบสุนัขอย่างไม่เต็มใจนัก
วาห์นหันไปมองวอร์ชาโดว์และเริ่มขยายเขตแดนออกไปพร้อมกับที่มันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยกรงเล็บแหลมคม
ขนของเฟนเรียร์เริ่มตั้งชันขึ้นอีกครั้งเพราะ ‘สัญชาตญาณ’ กำลังบอกให้เธอเข้ามาปกป้องผู้เป็นนาย
แน่นอนว่าเด็กสาวคงได้แต่มองต่อไป เพราะวาห์นสามารถหลบการโจมตีของวอร์ชาโดว์ได้โดยไม่ต้องขยับไปไหนเลยซักนิด
ถึงเจ้าวอร์ชาโดว์จะพยายามตวัดแขนโจมตีแบบขนาบข้าง แต่วาห์นก็สามารถสกัดเอาไว้ได้ก่อนจะจับมันโยนออกไปกระแทกเข้ากับผนังของดันเจี้ยนอย่างรุนแรง
จุดแสงขนาดเล็กที่ผู้คนเรียกเล่นๆ ว่าเป็น ‘ดวงตา’ ของมันเริ่มอับแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
ที่จริงแล้วนั่นก็คือแกนกลางของวอร์ชาโดว์ซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกวาห์นโยนออกไปนั่นเอง
หลังจากเริ่มฟื้นตัว วอร์ชาโดว์ก็พยายามลอบโจมตีใส่ขาของเด็กหนุ่ม
วาห์นกะไว้แล้วว่ามันต้องมาไม้นี้ แต่แทนที่จะยกเท้าหลบเฉยๆ เขากลับกระทืบซ้ำลงไปที่แขนข้างนั้นเพื่อเป็นการแถมให้ด้วย
(TL: สงสัยยังเคืองเรื่องนาซ่าไม่หาย)
เมื่อมันพยายามยกแขนอีกข้าง วาห์นก็นำดาบสีดำออกมาแทงสวนและตรึงฝ่ามือของมันไว้กับพื้น
พอหันไปด้านข้าง เขาก็เห็นเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังจ้องมองแบบตาไม่กระพริบ
“พอเข้าใจบ้างหรือเปล่า?
ถ้าเธอเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรได้บ้างและอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูออก ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
โดยเฉพาะยิ่งเป็นมอนสเตอร์ที่มีเลเวลพอๆ กัน พวกมันไม่มีทางแตะต้องเธอได้แน่นอน
วอร์ชาโดว์ตัวนี้เป็นมอนสเตอร์เลเวล 1 แต่เธอกลับสู้มันไม่ได้เพราะยังไม่ชินกับร่างใหม่
คอยกะจังหวะและหลบหลีกไปรอบๆ พร้อมกับพยายามหาจุดบอดของมันด้วย
พอฝึกจนเชี่ยวชาญมากกว่านี้ เธอก็จะสามารถสกัดหรือปัดการโจมตีของมันได้โดยใช้แรงแค่นิดเดียว”
วาห์นอธิบายออกมาพร้อมกับค่อยๆ ดึงดาบออกจากมือของมัน
พอดาบหายไปแล้ว วอร์ชาโดว์ก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเริ่มโจมตีอีกครั้งก่อนจะโดนเขาเตะกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
วาห์นเดินมาอยู่ข้างๆ เฟนเรียร์และลูบหัวของเธอเบาๆ
“ไปสิ เธอทำได้แน่”
สีหน้าของเฟนเรียร์ดูแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยขณะมองไปทางวอร์ชาโดว์ที่เพิ่งลุกขึ้นจากพื้น
ครั้งนี้เธอเปลี่ยนไปใช้ท่าร่างของ ‘หมี’ โดยเปลี่ยนไปยืนแบบ 2 ขาแทน
“เฟนเรียร์ฆ่า ทำให้เจ้านายเห็น เฟนเรียร์แข็งแกร่ง”
วาห์นจ้องมองท่าร่าง ‘แปลกๆ’ ของเฟนเรียร์โดยไม่พูดอะไรต่อ
หลังได้ดูการต่อสู้ของเขา เฟนเรียร์ก็ไม่กลับไปใช้ท่าร่างแบบเดิมอีกและพยายามจับข้อมือของวอร์ชาโดว์ทุกครั้งที่มันโจมตีเข้ามา
นี่อาจจะเป็นท่าร่างที่ดูสะเปะสะปะแต่พอได้ยืนสู้แบบ 2 ขา เฟนเรียร์ก็สามารถหลบหลีกการโจมตีวอร์ชาโดว์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ไม่นานเธอก็สามารถจับข้อมือของมันได้สำเร็จและเริ่มยิ้มจนแก้มแทบปริ
“เฟนเรียร์จับได้แล้ว!”
ความตื่นเต้นทำให้เฟนเรียร์วิ่งมาหาวาห์นโดยลากวอร์ชาโดว์มาด้วย
แรงจากการลากส่งผลให้กรงเล็บของเธอฝังลึกลงไปจน ‘แขน’ ของมันขาดออก
ความซวย (รอบแรก) ดันไปตกอยู่กับวอร์ชาโดว์เพราะเฟนเรียร์คิดว่ามัน ‘พยายามหลบหนี’ เธอก็เลยใช้ [คำรามเยือกแข็ง] เพื่อสต๊าฟมันไว้กับพื้น
ความซวย (รอบสอง) ของมันก็คือการถูกระดมทุบแบบไม่ยั้งเพื่อเป็นการ ‘ทำโทษ’
วาห์นจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยสายตาเบิกกว้างขณะพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่
เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันตาย แต่ดูเหมือนมอนสเตอร์ (ผู้น่าสงสาร) ตัวนี้คงทนรับความเสียหายต่อไปไม่ไหวแล้ว
ครู่ต่อมา ร่างของมันก็สลายหายไปจนเหลือแค่ก้อนคริสตัลไว้ดูต่างหน้าเท่านั้นเอง
พอ ‘กระสอบทราย’ หายไปแบบดื้อๆ เฟนเรียร์ก็หันมาหาวาห์นในสภาพ ‘หูตก’
“ขอโทษ เฟนเรียร์ฆ่า ศัตรูอ่อนแอ…”
วาห์นรู้สึกประหลาดใจมากเพราะไม่เคยเห็นเฟนเรียร์ ‘เศร้า’ มาก่อน เขาจึงรีบเดินเข้ามาหาเพื่อปลอบเธอ
“ทำดีแล้วเฟนเรียร์ เก่งมาก ถ้าฝึกต่ออีกหน่อย เธอจะล้มมันได้ง่ายกว่านี้อีกนะ”
เฟนเรียร์จับแขนของเขาด้วยสีหน้ามีความสุขปนหงุดหงิดซึ่งสอดคล้องกับค่าความภักดีที่กำลังขึ้นๆ ลงๆ ของเธอมาก
เพราะเขาให้อาหารเธอไปเยอะพอสมควร ค่าความภักดีของเฟนเรียร์จึงมาอยู่ที่ 419 ซึ่งสูงกว่าลูกน้องคนอื่นๆ
ข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจนก็คือถึงค่าของเธอจะเพิ่มขึ้นง่ายแต่มันก็ลดลงง่ายเช่นกัน
หากนับแค่ส่วนที่ลดลงแบบคร่าวๆ เฟนเรียร์นั้นสูญเสียค่าความภักดีไปแล้วกว่า 50 แต้ม นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากคฤหาสน์
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยและล่ามอนสเตอร์ต่ออีก 2-3 ตัว วาห์นก็ให้เฟนเรียร์ใส่ผ้าคลุมก่อนจะเดินทางออกจากดันเจี้ยน
เด็กหนุ่มอยากให้เธอลงทะเบียนกับทางกิลด์เพื่อตัดปัญหาในอนาคต แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องกลับไปทดสอบบางอย่างก่อน
เขาเคยปรึกษาพี่สาวเกี่ยวกับเรื่องของเฟนเรียร์ตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้แล้ว คำตอบที่ได้กลับมานั้นก็คือมีความเป็นไปได้สูงที่เฟนเรียร์สามารถรับพรจากเทพได้
สิ่งที่ทำให้มอนสเตอร์ทั่วไปไม่สามารถรับพรได้ก็เพราะพวกมันไม่มีดวงวิญญาณเป็นของตัวเองและเป็นเพียงโครงสร้างที่ถือกำเนิดจากมานา
ตอนนี้เฟนเรียร์มีดวงวิญญาณระดับ 1 ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเธอต่างจากมอนสเตอร์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
งานยากที่เหลืออยู่ก็คือการอธิบายให้เฮสเทียเข้าใจโดยเฉพาะเรื่องส่วนแขนและขาของเธอ
หากทำสำเร็จ เขาก็จะสามารถตรวจสอบค่าสถานะของเธอได้
แม้จะตรวจสอบเลเวลและข้อมูลบางส่วนผ่านระบบได้ แต่เรื่องค่าสถานะนั้นกลับอยู่นอกเหนือความสามารถของเขา
พี่สาวบอกว่ามีระบบอีกหลายอย่างที่ถูกล็อกเอาไว้ ซึ่งเธอเองก็ยังไม่มีข้อมูลว่าจะปลดล็อกพวกมันยังไง
ในระหว่างการเดินทางกลับคฤหาสน์ วาห์นสังเกตเห็นว่าเฟนเรียร์นั้นไม่ชอบคนแปลกหน้าเอามากๆ เลย
มันอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณจากตอนยังเป็นมอนสเตอร์ หรืออาจเกิดจากการถูกเอวา ‘ทอดทิ้ง’ มานานถึง 12 ปี แต่เฟนเรียร์นั้นดู ‘หวาดกลัวมาก’ เมื่อเห็นคนเดินผ่าน
ตลอดเวลาที่เขาเดินนำ เด็กสาวก็จะเดินตามหลังแบบแนบชิดและจ้องเขม็งมาทางใครก็ตามที่เข้าใกล้เกินไป
ต่อให้เฟนเรียร์ขึ้นมาขี่คอ วาห์นก็คงไม่ว่าอะไรเพราะสิ่งที่ทำให้เขาหนักใจจริงๆ ก็คือความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเจาะด้านหลังเสื้อจนพรุนไปหมด… นอกเหนือจากนั้นแล้วเขายังรู้สึกว่ามันชื้นๆ ด้วยเพราะเธอจะเข้ามาจิ้ม (หลบ) หลังเขาทุกครั้งที่มีคนเดินสวนผ่านไป