ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 380
ประลองฝีมือ 1/2
โดย
หุ่นไล่กา
เมื่อแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าสลายเมฆดำและตาข่ายสายฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย แสงสีขาวก็สาดแสงลงมาด้านล่าง ร่างของชายชราผมขาวถูกพลังงานบางอย่างหยุดไว้ ไม่สามารถขยับร่างกายได้
จิวโมไป๋รู้สึกได้ว่าพลังกดดันอันทรงพลังของชายชราผมขาวที่กดทับร่างของเขาอยู่หายไป เขาสลัดร่างกายและผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จิตสัมผัสมองออกไปจากบ้านพัก ก็เห็นแสงสีขาวเจิดจ้าที่กำลังสาดลงมาพอดี ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันลี้ลับทรงพลัง มือขวาโบกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณสีทองอ่อนก็ระเบิดพลังออกมา ม่านพลังสีทองสี่เหลี่ยมจัตุรัสปิดร่างของเขาจากทุกทิศทาง ม่านพลังมีอักขระอาคมนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น อักขระอาคมเรืองแสงสีทองออกมา
เมื่ออาคมเสร็จสมบูรณ์ แสงสีขาวก็ลงมาปกคลุมด้านล่างจนหมดสิ้น แสงสีขาวสามารถทะลุสิ่งกีดขวางตำหนัก อาคารบ้านเรือน ได้ราวกับไม่มีอุปสรรค
แสงสีขาวปะทะเข้ากับม่านพลังที่ล้อมรอบจิวโมไป๋ เกิดความผันผวนของพลังงานเล็กน้อย ก่อนที่มันจะหลีกออกจากข่ายอาคม
จิวโมไป๋ถอนหายใจ พลังวิญญาณสีขาว มันทรงพลัง เต็มไปด้วยความเข้าใจในพลังวิญญาณอันลึกซึ้ง ในเวลาปกติยากที่เขาจะสามารถป้องกันได้ แต่ด้วยกฎแห่งสวรรค์และโลกขัดขวาง พลังของมันลดลงจนเหลือพลังอยู่ในระดับปรมาจารย์ทองเท่านั้น
เขาจึงสามารถป้องกันมันได้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพลังสีขาวคืออะไร เขาก็ไม่เสี่ยงที่จะโดนมัน
แต่จิวโมไป๋ไม่รู้เลยว่า พลังวิญญาณสีขาวนั้นปกคลุมทั้งโลก ไม่ได้อยู่เพียงแค่ที่ๆเขาอยู่เท่านั้น!
จิวโมไป๋มองไปที่แสงสว่างสีขาวที่ค่อยๆหายไป เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นพลังวิญญาณสีขาวที่มีกลิ่นอายแบบนี้มาก่อน เขาคิดไม่นานก็นึกออก เพราะมันพึ่งผ่านไปไม่นาน อาจไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ
พลังวิญญาณสีขาว เหมือนกับพลังวิญญาณของชายซอมซ่อที่วัดดอกบัวไม่มีผิด!
ชายซอมซ่อเคยใช้พลังวิญญาณให้เขาเห็น เมื่อตอนที่ชายซอมซ่อย่อวัดดอกบัวให้มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แม้ชายซอมซ่อจะใช้พลังวิญญาณเพียงแวบเดียว เขาก็สามารถจดจำพลังวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ได้ อาจเพราะเขาไม่เคยเห็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่ทรงพลังไปกว่าชายซอมซ่อ เขาจึงจำได้ไม่ลืม
เมื่อแสงสีขาวหายไปจนหมด
จิวโมไป๋ก็สลายม่านพลังทันที จิตสัมผัสของเขามองไปยังเจ้าอาวาสหงหมิงและชายชราผมขาวที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ ทั้งสองอยู่ในลักษณะงุนงง ลืมการปะทะกันก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
ลบความทรงจำ!
นัยน์ตาของจิวโมไป๋ไหววูบ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ด้านนอก ชายชราผมขาวตั้งสติได้ เขามองไปรอบๆก็ต้องงุนงง เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองออกมาจากด่านบ่มเพราะพลังได้ยังไง จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองร่องรอยความเสียหายบนพื้น เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของตัวเองที่หลงเหลืออยู่ เขาก็เงยหน้ามองพระหัวโล้นฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายเป็นคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที
ดวงตาของชายชราผมขาวแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ พลังกดดันอันแหลมคมแผ่ขยายออกจากร่าง จนเสื้อผ้าสกปรกบนร่างโบกสะบัด
เจ้าอาวาสหงหมิงสัมผัสได้ถึงอันตราย เขาก็ตั้งสติหันกลับมาเห็นชายชราผมขาวที่มองมาอย่างมุ่งร้าย ก่อนจะเหลือบมองลงพื้นเห็นร่องรอยความเสียหายจากการต่อสู้้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังของตัวเองที่ตกค้างอยู่ เขามั่นใจว่าความเสียหายนั้นเป็นฝีมือของตัวเองอย่างแน่นอน และจากพลังที่ตกค้าง มันเป็นการโจมตีเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน แต่เขาจำอะไรไม่ได้เลย!
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองออกมาจากบ้านพักแล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!
ความทรงจำของเขาในช่วงเวลานั้นมันหายไป!
เจ้าอาวาสหงหมิงเงยหน้าขึ้น มองไปที่ชายชราผมขาวและกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อมิตาพุทธ ทำไมอาตมาอยู่ที่นี่?”
พลังสีทองขาวพลันแผ่ขยายออกจากร่างของเจ้าอาวาสหงหมิง จีวรโบกสะบัดอย่างรุนแรง
ชายชราผมขาวขมวดคิ้ว ดวงตาคกริบมองกวาดไปยังร่างของเจ้าอาวาสหงหมิง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก เขาไม่ตอบคำถามของเจ้าอาวาสหงหมิง แต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เจ้าเป็นแขกของสำนัก? เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”พลังกดดันอันแหลมคมพลันทวีความรุนแรงขึ้น
เจ้าอาวาสหงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตบฝ่ามือออกไป พลังงานสีทองบีบอัดก่อนจะขยายใหญ่ กลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีทองพุ่งออกไป
ตอนนั้นเองคมดาบก็ตัดผ่านอากาศมาก็ฟันเข้าไปที่ฝ่ามือสีทองพอดี
เปรี้ยงงงง! คลื่นพลังทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง ก่อนที่คลื่นพลังจะกระจายออกโดยรอบ พื้นดินด้านล่างที่เคยแตกร้าว ก็ขยายความเสียหายออกเป็นเท่าตัว เศษหินและดินถูกทำลายกลายเป็นฝุ่น ฟุ้งกระจายปกคลุมอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าอาวาสหงหมิงและชายชราผมขาว
ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว สายตามองสบกันโดยไม่หลบเลี่ยง แม้ฝุ่นจะฟุ้งกระจายปิดบังทัศนวิสัยจนมองไม่เห็นฝ่ายตรงข้าม แต่ด้วยความแข็งแกร่งของการบ่มเพาะพลังและประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน ทำให้พวกเขาสัมผัสการมีอยู่ของฝ่ายตรงข้ามได้
ทั้งสองปะทะกันเพียงครั้งเดียว ทำให้ไม่สามารถวัดระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ พวกเขาจึงรอโอกาส ที่จะลงมือจัดการเพียงครั้งเดียว
ผู้บ่มเพาะพลังยิ่งมีระดับความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ จะยิ่งมีความระวังตัวมากขึ้น ถ้าไม่ถึงขั้นต่อสู้เป็นตาย พวกเขาแทบจะไม่ลงมือต่อสู้เลย เพื่อไม่ให้เปิดเผยความแข็งแกร่งออกมา
—-
เหมือนฉายซ้ำ ฮ่าๆ
ยาวๆครับ