บทที่ 36-1 ติดมากระทั่งโรคจุ้นไปทั่ว
Xiaobei
ซื้อยามาห้าอย่างทั้งยาฝรั่งแก้หวัดตามอาการไอ มีน้ำมูก ครั่นเนื้อตัว ยาจีนและซังฮวาทัง[1] แล้วก็ไปแวะร้านโจ๊ก ซื้อโจ๊กเป๋าฮื้อตัวแทนอาหารทะเลกับโจ๊กเนื้อตัวแทนประเภทเนื้อสัตว์ ซื้อชาส้มกับชาขิงที่ดีต่อคนเป็นหวัดมาด้วย
แต่ดูเหมือนจะยังขาดอะไร คิดแล้วก็เข้าไปซื้อเค้กในคาเฟ่ชั้นหนึ่งของคอนโดที่อึนคังชอบมาอีกห้าชิ้น เวลาไม่สบาย กินของที่อยากกินและพักผ่อนให้เต็มที่นี่แหละดีที่สุดแล้ว
วนเวียนไปโน่นนี่ราวกับลาดตระเวนตลาดแถวคอนโด แถมยังซื้อของมาเพียบ แต่เอาเข้าจริงกลับมายืนนิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่หน้าห้องของอึนคัง จีฮวันได้แต่ส่ายหัวไปมา
“นี่เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย”
เมื่อกี้หลังจากวางสาย จีฮวันก็กระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงจนออกมาหาแบบนี้ อึนคังไม่ได้ขอให้เขาซื้อโจ๊กหรือยามาให้
“อยู่เฉยๆ เถอะ นี่มันจุ้นเรื่องคนอื่นไม่ใช่หรือไง”
การยุ่งวุ่นวายเรื่องคนอื่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่จีฮวันเกลียดที่สุด ทั้งที่ตัวเองพบเจอเอง และทำกับคนอื่น
จีฮวันถอนหายใจ เดินลงบันไดไปได้ห้าขั้นก็หยุดเดิน
“ไม่สิ นี่ไม่ได้เป็นการจุ้น เธอไม่สบายนี่นา คนป่วยจะตายอยู่แล้ว จะทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องมนุษยธรรม!”
จีฮวันกลับมายืนหน้าห้อง 1503 อีกครั้ง แต่ยังไม่กดออดทันที และขณะที่สูดหายใจกำลังจะกดออดนั้นเอง
“ใครน่ะ…”
เสียงผู้ชายดังขึ้น จีฮวันตกใจหันขวับ ชายวัยกลางคนยืนอยู่ข้างหลัง
“ที่นี่บ้านลูกสาวผม มีอะไรหรือเปล่าครับ”
จีฮวันโค้งทักทายอย่างสุภาพ
“อ้า สวัสดีครับ ผมรยูจีฮวัน ที่ปรึกษาด้านการเงินที่ช่วยเป็นที่ปรึกษานิยายให้คุณนักเขียนครับ ผมอาศัยอยู่ที่เหมือนกัน แต่อยู่ชั้นล่าง ติดต่อกันเรื่องงาน และดูเหมือนคุณนักเขียนจะไม่สบายมาก ก็เลยมาเยี่ยม…”
“อ๊ะ! อย่างนั้นเหรอครับ”
สีหน้าระแวดระวังของชายตรงหน้าสดใสขึ้นทันที รอยยิ้มที่คนอื่นเห็นแล้วชอบ รอยยิ้มของอึนคังสืบทอดมาจากพ่อนี่เอง
“ขอบคุณนะครับ ผมเป็นพ่อของอึนคัง ชื่อโกชางซอก”
ชางซอกยื่นมือ จีฮวันรีบวางถุงพลาสติกลงกับพื้นและจับมือกับชางซอก
“อ๊ะ ครับ คุณพ่อ”
“ขอบคุณนะครับที่เอาใจใส่อึนคังขนาดนี้ โทรคุยกันเสียงดูแย่มาก แต่ทำเป็นบอกว่าหนูไม่เป็นอะไร แต่แค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นหรือไม่เป็น นี่ก็รีบมา กะว่าถ้าอาการหนักจะรีบพาไปโรงพยาบาล เข้ามาสิครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ คุณพ่อมาแล้ว ผมฝากนี่ให้ก็แล้วกันครับ”
“เอ๋ ตั้งใจมาทั้งที จะกลับไปเฉยๆ ได้ยังไง เข้าไปเถอะ…”
ชางซอกเอียงมองจ้องจีฮวัน
“อยู่ก่อนเถอะ แต่เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า รู้สึกคุ้นๆ หน้ายังไงชอบกล…”
ชางซอกถามด้วยความไม่แน่ใจ และแน่นอนว่าจีฮวันเป็นฝ่ายจำได้ก่อน
“เราเจอกันที่สวนอนุสรณ์สถานเมื่อสามอาทิตย์ก่อนครับ แมวผมไปข่วนหน้าคอร์กี้ของคุณลุง เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ด้วยกัน”
“เออใช่! ใช่แล้ว ที่อนุสรณ์สถาน!”
ชางซอกยิ้มสดใสอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ยิ่งดูก็ยิ่งอารมณ์ดี
“นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ อายุเยอะแล้ว ความจำก็เริ่มเลอะเลือน เจ้าแมวแสนสวยนั่นชื่ออะไรนะ จียองใช่ไหม”
“จีองครับ”
“เออใช่ จีอง เจ้าจากูท่าจะหลงเสน่ห์จีองมากจนสติหลุด อ้า อย่ามัวคุยกันอยู่แบบนี้เลย รีบเข้าไปเถอะครับ แก่แล้วก็พูดมากแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่…”
ชางซอกคว้ามือของจีฮวันหมับ หยิบมือถืออกมาโทร จีฮวันเหลือบมองมือสากแต่อบอุ่นของชางซอกที่จับมือตัวเองแน่น การจับมือคนอื่นอย่างไม่ลังเลแบบนี้ก็คงเป็นกรรมพันธุ์สินะ
“อืม พ่ออยู่หน้าประตู จะเข้าไปแล้วนะ”
หลังจากวางสาย ชางซอกก็กดรหัสเปิดประตูและดันจีฮวันให้เดินเข้าไปก่อน
“เข้าไปสิครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับก่อนดีกว่า…”
จีฮวันเผลอถอยหลังเข้าไปข้างใน
“คุณพีบี?”
จีฮวันหยุดหันไปตามเสียงของอึนคัง
ตึง! เสียงหัวใจของจีฮวันหล่นฮวบเมื่อเห็นสภาพของอึนคัง เข้าใจคำพูดเปรียบเปรยที่ว่า ‘หน้าเหลือแค่ครึ่งนึง’ เลย เห็นอึนคังแล้วก็เป็นแบบนั้น
หน้าที่เคยกลมซูบลง รอบดวงตาดำเหมือนแพนด้า ริมฝีปากแห้งแตก หน้าตาป่วยหนักจนดูไม่ได้
ดูไม่เหมือนโกอึนคังที่ลักพาตัวคนที่บอกว่าไม่อยากไปร้านตัดสูท ให้ไปตัดเสื้อ ควงแขนหัวเราะคิกคักชวนไปกินซุปซี่โครงวัวในงานแต่งงานของตัวเอง พากันไปกินเหล้าหนัก และบ่นไม่หยุดคนนั้นเลย
“มีธุระอะไรเหรอคะ”
ไม่ทันได้อ้าปาก ชางซอกก็ชิงตอบอย่างรวดเร็ว
“จะมีธุระอะไร ก็ลูกไม่สบาย เขาก็เลยมาเยี่ยม”
“อ้า ขอบคุณนะคะ”
อึนคังผงกศีรษะขอบคุณ เธอในสภาพกางเกงนอนเข่าโผล่ น่าจะใส่มานานแล้วกับถุงเท้าขนฟู ผมมัดลวกๆ ยุ่งเหยิง กับคาดิแกนมีขนเหมือนคุณยาย
ทั้งหมดรวมกันยิ่งทำให้ดูน่าสงสารแล้วน่าสงสารอีก น่าสงสารจนหงุดหงิด
“เป็นยังไงบ้างครับ”
จีฮวันระงับความหงุดหงิดอย่างยากเย็นถามออกไป คนที่ไม่สบายคือโกอึนคัง แต่ทำไมเขาต้องหงุดหงิดอย่างนี้ด้วย
“ไม่เป็น แค่ก แค่ก”
อึนคังไอหนักมากจนตัวงอ จีฮวันยื่นมือพุ่งไปหาเธอโดยไม่รู้ตัว แต่พอนึกได้ว่าชางซอกก็อยู่ ก็ชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
ชางซอกรีบวางของเข้าไปแตะหน้าผากและกุมหน้าของอึนคัง
“โอ๊ยตาย ดูสิ ลูกเป็นไข้ขนาดนี้เชียว รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ เอาเสื้อนอกมาใส่ก็พอ”
“มือพ่อเย็นต่างหาก แค่ก หนูไม่ค่อยมีไข้สักหน่อย”
“ไม่ค่อยมี? ไม่ใช่แล้ว นี่น่าจะเกินสามสิบเก้าองศาแล้วนะลูก!”
“โอ๊ย ฮ่าๆ พ่อ ปวดท้อง อย่าทำให้หนูขำสิ สามสิบเก้าองศา ไข้มันไม่ได้ขึ้นง่ายๆ แบบนั้นนะคะ”
“ไม่เหรอ? ตัวร้อนขนาดนี้ น่าจะสี่สิบองศาด้วยละมั้งเนี่ย!”
คุณพ่อ ถ้าเกินสี่สิบ อวัยวะภายในคงเดือดปุดๆ ยืนอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่
“คุณพีบี ขอมือหน่อยสิ แค่กๆ คะ”
อึนคังดึงมือจีฮวันมาแปะที่หน้าผากตัวเองอย่างไม่ลังเล จีฮวันตกใจรีบหันไปมองชางซอก แต่ชางซอกจ้องแต่หน้าผากของอึนคังด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เป็นไงครับ ไข้สูงมากเลยใช่ไหม น่าจะสามสิบเก้าได้ใช่ไหมครับ”
“พ่อมั่วแล้ว เป็นไงคะคุณพีบี สูงกว่าปกตินิดหน่อยเองใช่ไหมคะ น่าจะประมาณสามสิบเจ็ดองศาล่ะมั้ง”
“อ้า ไม่ใช่แล้ว ลูกเป็นปรอทวัดไข้หรือไง”
“แล้วพ่อล่ะเป็นปรอทเหรอ”
“พ่อต้องรู้ดีกว่าลูกอยู่แล้ว เลี้ยงลูกมาสามสิบปีนะ จับหน้าผากมาครั้งสองครั้งหรือไง”
“พ่อแก่แล้ว มือก็เพี้ยนไปมากเถอะ”
เอ่อ ขอโทษนะครับ ทั้งคู่ช่วยหยุดก่อน… ท่ามกลางการเถียงกันของพ่อลูก จีฮวันไม่รู้จะทำอย่างไรดี มือก็ยังแตะอยู่ที่หน้าผากของอึนคัง
“คุณพีบีตัดสินมาเลยค่ะ คุณพีบีเป๊ะมากนี่นา รู้เรื่องตัวเลขดี เงินก็นับเร็วมากไม่ใช่เหรอคะ”
เดี๋ยวนะ เงินกับอุณหภูมิมันเหมือนกันหรือไง สายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของพ่อลูกจับจ้องมาที่จีฮวัน สายตาของชางซอกที่เหมือนกับจะถามว่า ‘สูงกว่าสามสิบเก้าใช่ไหม อย่างนั้นใช่หรือเปล่า’ กับสายตาของอึนคังที่ถามว่า ‘ไม่มีอะไร แค่สามสิบแปดใช่ไหม’
“ยังไงก็ เหมือนจะต้องมีปรอทวัดไข้นะครับ”
จีฮวันไม่เข้าข้างฝ่ายไหน
“ที่ห้องไม่มีปรอทวัดไข้หรอกนะ”
“เดี๋ยวพ่อไปซื้อมาเอง”
จีฮวันห้ามชางซอกที่กำลังจะเปิดประตูออกไป
“เอ่อ คุณพ่อครับ ไม่ต้องไป นี่ครับ…”
จีฮวันหยิบบางอย่างออกมาจากถุงพลาสติก แต่น แต๊น เหมือนเล่นมายากล สิ่งที่ปรากฏคือปรอทวัดไข้ จีฮวันซื้อมาพร้อมกับยาแก้หวัดมากมาย
“ให้ตายเถอะ คิดยังไงถึงได้ซื้อปรอทมาด้วย”
สีหน้าของชางซอกประทับใจมาก
“ก็ซื้อติดๆ มาครับ”
ลูกสาวคุณซุ่มซ่ามไม่มีสติมาแต่ไหนแต่ไร เลยซื้อมาด้วยเพราะไม่แน่ใจน่ะครับ
“เอ้าๆ อย่ามัวยืนอยู่ที่ประตู เข้ามาสิครับ กินข้าวเย็นแล้วค่อยกลับ ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ”
“เอ๋ อุตส่าห์มาเยี่ยม จะกลับไปเฉยๆ ได้ยังไง”
จีฮวันนั่งลงที่โซฟา สติสตังไปอยู่กับชางซอกจนหมดแล้ว
“โอ๊ย บ้านรกอะไรอย่างนี้ ลูกไม่สบายเลยคงไม่ได้เก็บน่ะครับ”
ชางซอกก้มเก็บของที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
“คุณพ่อ ลองวัดไข้คุณนักเขียนดูก่อนดีไหมครับ…”
“เออใช่ๆ วัดไข้! อึนคังมานี่มา รีบมาวัดไข้เร็ว”
ดูเหมือนว่าพ่อจะถ่ายทอดรอยยิ้มสดใสกับความอยู่ไม่สุขมาให้ลูกสาวจนหมดเลยสินะ
ชางซอกให้อึนคังนั่งข้างๆ จีฮวัน จีฮวัน อึนคัง และชางซอกนั่งเรียงกันอยู่ที่โซฟา
“อยู่เฉยๆ นะ ว่าแต่ไอ้นี่มันใช้ยังไง”
“พ่อก็ เอามานี่ เอ๊ะ? นี่มันทำยังไง”
เฮ้อ…
“ผมทำให้ครับ”
สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของจีฮวัน ทั้งซื้อปรอท ทั้งวัดไข้ของอึนคัง
“ฉันเหมือนพ่อ ไม่เก่งเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือน่ะ”
“ไอ้เด็กนี่ ยังไงพ่อก็ยังอ่านคู่มือ แต่เราน่ะไม่อ่านแถมยังดันทุรังทำจนมันพังเป็นประจำไม่ใช่หรือไง”
“คู่มือคร่าวๆ จะมีไปทำไมก็ไม่รู้”
“คุณนักเขียน อ้า สิครับ”
[1] ซังฮวาทัง ยาสมุนไพรต้มกินแก้หวัด