บทที่ 46-1 คุณค่าของฉันไม่ได้อยู่ที่หน้าสวยๆ แต่เป็นความทะเยอทะยาน
Xiaobei
ฉ่าฉ่า ปุดปุด ฉับฉับ…เสียงย่าง ทอด ต้ม ดังไปทั่วครัวกว้าง
ตั้งแต่คนทำอาหารไปยันแม่บ้านกำลังชุลมุนวุ่นวาย
ทุกสุดสัปดาห์จะมีการนัดรับประทานอาหารกันระหว่างคู่สามีภรรยาประธานปาร์คกับคู่ของซองบอม
ที่เรียกให้เข้ามาหาบ่อยๆ ก็ไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไร แค่กิจกรรมที่ริเริ่มตามการยืนกรานของคุณนายจางว่า ‘ตระกูลเก่าแก่ต้องมีประเพณีการพบปะประจำครอบครัว’
ลูกสาวคนแรกก็แต่งงานไปอยู่ข้างนอกแล้ว คนที่สองแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้เรื่อง ลูกชายคนเล็กก็ไปเรียนต่ออยู่ที่อเมริกา(ตามความเห็นของประธานปาร์ค ไม่รู้ไปเรียนต่อหรือไปผลาญเงิน) ศูนย์กลางในการประชุมก็เหลือแต่ซองบอมที่เป็นทายาทลำดับที่สาม
อาหารถูกจัดเตรียมที่ระเบียงเรือนเพาะชำชั้นหนึ่ง ประธานปาร์คนั้นทั้งเกลียดและมักจะอารมณ์เสียกับโต๊ะอาหารหินอ่อนขนาดแปดที่นั่ง อาหารมื้อเย็นที่ต้องนั่งกินกับดอกไม้ แล้วก็ยังรสนิยมของคุณนายจาง
คุณนายจางนิยมชมชอบเฟอร์นิเจอร์แอนทีคที่ใหญ่โต หรูหรา และแพงที่สุด โดยไม่สนใจสไตล์อะไรทั้งสิ้น ว่าจะโมเดิร์น ซิมเปิล มินิมอล หรือสแกนดิเนเวียน จานชามก็ต้องเป็นลายดอกไม้ล้อมรอบด้วยกรอบสีทอง ไม่ใช่กระเบื้องสีขาวไร้ลวดลาย
ราวกับล้างแค้นสมัยสาวๆ ที่ไม่เคยมี ราฮีตกตะลึงทุกครั้งที่เห็นความหรูหราอย่างกับพระราชวังแวร์ซายส์ย่อส่วนนี้
“กินเถอะ”
ทันทีที่ประธานปาร์คหยิบช้อน คุณนายจางและคู่ซองบอมก็เริ่มลงมือกินอาหาร อาหารรสเลิศจากทั่วประเทศ ทั้งซี่โครงเนื้อฮันอูสุดหรูที่ตัวนึงหลายหมื่นวอน ปลาคุลบี เห็ดจากภูเขาในธรรมชาติ ปูดองซีอิ๊วจากเกาะยอนพยอง ถูกเตรียมเอาไว้อย่างเพียบพร้อม ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่อาหารที่หาได้ง่ายๆ
ซองบอมเวียนกินอยู่แต่กับเนื้อ ส่วนราฮีก็กินแต่ยำผักกับผักสดเป็นหลัก ก่อนหน้าจะเป็นผู้ประกาศข่าว ตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัย เธอก็กินแบบนี้เป็นปกติเพื่อควบคุมน้ำหนัก
“กินให้มันเยอะๆ หน่อย นี่ก็เอวบางร่างน้อยจะแย่ เนื้อน่ะกินเข้าไปบ้าง!”
“ค่ะ จะกินให้เยอะๆ เลยค่ะ”
ราฮีกำลังจะตักเนื้อซี่โครง แต่คุณนางจางแย่งตัดหน้ามาใส่ชามข้าวของซองบอม
คงเสียดายเนื้อที่จะเข้าปากลูกสะใภ้ ความรู้สึกต่ำต้อยและอิจฉาจนแทบรู้สึกเป็นศัตรูของคุณนายจาง ทำให้เมล็ดข้าวที่กลืนลงไปในคอเหมือนหนามคอยทิ่มแทง
หลังกินอาหารเสร็จ ก็ย้ายกันมาดื่มชาที่ห้องรับแขก ประธานปาร์คเป็นฝ่ายประกาศราวกับสายฟ้าฟาด
“ซี ซีอะไรนะ”
“ซีเอสอาร์ ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร!”
“ซีเอสอาร์ เอสเอ อะไรนั่นแหละ ต่อไปเราจะตั้งมูลนิธิการกุศล ชื่อมูลนิธิบูกยองปันรัก และให้เธอ ราฮีเป็นคนดูแล ร่างแผนมาภายในหนึ่งเดือน เตรียมเอกสาร แล้วก็เลือกคนมาด้วย เราต้องเริ่มเร็วหน่อย เข้าใจไหม”
ราฮีงงกับคำสั่งที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน
“พะ พูดอะไรคะ…”
“ฉันบอกให้เธอทำมูลนิธิการกุศลของบูกยอง และรับหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิ!”
ราฮีทีกำลังงงมองซองบอม ซองบอมเหลือบมองบนด้วยสีหน้าสมใจ นี่เป็นข่าวดีในวันเสาร์ที่ได้ยิน
“พะ พูดอะไร ปีนี้ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลทำเด็กหลอดแก้วอีกรอบ วันๆ ยุ่งจนทำมูลนิธิไม่ได้หรอก”
“หนวกหู!”
ประธานปาร์คตัดบทคุณนายจางเสียงลั่น ซองบอมรีบพูดต่อ
“ยังไงได้ตารางจากโรงพยาบาลมาแล้วค่อยเลี่ยงวันนั้นไปทำก็ได้ แล้วแม่เป็นคนคลอดหรือไง พวกเรารู้หรอกน่า แม่อยู่เฉยๆ เถอะ เลิกทำให้เครียดสักที! แม่ใจร้อนไป เด็กมันก็ยังไม่ได้เกิดหรอก”
ลักษณะท่าทางที่พูดหาความสุภาพไม่มีเลยสักนิด แต่คุณนายจางก็ไม่สามารถสวนกลับได้ เพราะซองบอมเป็นทายาทอันดับสองต่อจากประธานปาร์ค
“ไม่ดีหรือไง เธออยากทำงานบริษัทไม่ใช่เหรอ นี่ก็ให้เอาไปดูแลสามหมื่นล้าน หวังว่าจะทำให้ดีล่ะ”
ราฮีรีบก้มศีรษะพลางสังเกตสีหน้าของคุณนายจาง ถึงจะพยายามทำเฉยๆ แต่ปากสั่น และท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน
“หนูไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานมูลนิธิหรอกค่ะ ตำแหน่งนั้น”
ราฮีมองตรงมาที่คุณนายจาง พยายามใส่ความเสียใจและความเคารพอย่างที่สุด
“คิดว่าต้องเป็นคุณแม่ค่ะ”
คุณนายจางตกใจหันขวับ
“คุณแม่รู้แนวคิดในการก่อตั้งบูกยองเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์มากมาย หนูจะคอยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยคุณแม่เองค่ะ”
“แม่แกเนี่ยนะ ประธานมูลนิธิอะไร มีประวัติขายกางเกงในในตลาด!”
“เพราะอย่างนั้นถึงยิ่งต้องเป็นคุณแม่ไงคะ”
ราฮีค่อยๆ อธิบาย เลือกใช้คำโน้มน้าว
“ตลาดเป็นสถานที่ที่ใกล้ชิดกับชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปที่สุด ประสบการณ์ค้าขายในตลาดสมัยสาวๆ ทำให้คุณแม่เข้าใจความทุกข์และความเจ็บปวดของคนธรรมดายิ่งกว่าใคร คุณแม่รู้คุณค่าของหยาดเหงื่อและน้ำตาของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างเพียรพยายาม หนูคิดว่าชีวิตของคุณแม่ที่อุทิศชีวิตให้ครอบครัว และเลี้ยงลูกมาอย่างดีมีคุณค่าน่ายกย่องมากค่ะ”
ขอบตาของราฮีเปียกชื้นขึ้นมาจากใจจริง ดวงตาของคุณนายจางเองก็คลอไปด้วยน้ำตาเช่นกัน
ใช่ ใครจะเข้าใจภายในใจนั้น กัดฟันมุ่งมั่นขายกางเกงในตั้งใจหาเงิน ถูกเรียกว่า ‘จางกางเกงในแห่งตลาดชากัลชี’ ปากกัดตีนถีบพร้อมที่จะสวมกางเกงในให้ผู้หญิงพูซาน
แต่ไอ้คนที่เรียกว่าผัวกับลูกกลับลืมความพยายามของตัวเองหมดสิ้น ละเลยไม่สนใจมองแค่เป็นป้าผลาญเงิน แต่สะใภ้ที่เคยเกลียดอย่างกับอะไรดี กลับเข้าใจ…
“ฉะ ฉันอายุขนาดนี้ จะไปทำกิจกรรมข้างนอกได้ยังไง…”
“หนูจะช่วยเองค่ะคุณแม่ หนูอายุยังน้อย ประสบการณ์ก็ยังไม่มาก วิธีที่จะพบปะกับผู้คนก็ยังไม่ค่อยถนัดนัก ถ้ามีคุณแม่คอยช่วยหนุนหลัง หนูจะได้อุ่นใจและทำงานให้รุดหน้าไปได้ อีกอย่างมีผลการวิจัยว่า ยิ่งอายุมากก็ต้องยิ่งต้องขยับร่างกายเยอะๆ และออกไปพบเจอผู้คน จะทำให้แข็งแรงขึ้นนะคะ คุณพ่อคะ ต้องเป็นคุณแม่นี่แหละค่ะ”
ราฮีจ้องประธานปาร์คเน้นย้ำ
“พูดอะไรไร้สาระ! แม่เป็นป้าอยู่แต่บ้านมายี่สิบปี! นึกว่ามูลนิธิการกุศลเป็นการประชุมแม่บ้านหรือประชุมหมู่บ้านหรือไง ใช่ว่าหมาหรือวัวก็ทำได้นะ”
คำพูดของซองบอมกระตุกหนวดของคุณนายจางที่กำลังหลับใหล
“หมาหรือวัว? แกจะมากเกินไปแล้วนะ ว่าแม่เป็นหมาเป็นวัวงั้นเหรอ งั้นแกก็เป็นลูกหมาสินะ หา!”
“โอ๊ย ไม่ใช่ ใครจะไปมองแม่แบบนั้น ผมก็แค่คิดถึงแม่”
“เฮอะ คิดถึงแม่ จะจับฉันมัดมือมัดเท้ายัดใส่โกดังล่ะไม่ว่า!”
“แม่จะเจ็ดสิบอยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้แล้ว อายุขนาดนี้ควรใช้ชีวิตที่เหลือสบายๆ อยู่ดูความน่ารักของลูกหลาน”
“อะไรนะ ใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ดูความน่ารักของลูกหลาน? ไอ้นี่นี่! ฉันต้องมีหลานก่อนสิถึงจะอยู่ดูความน่ารักได้! แล้วไอ้ลูกชายก็มีหลานให้ไม่ได้สักที จะให้ไปดูอะไร! คนไร้น้ำยาอย่างแก วันๆ เอาแต่กินเหล้า สวาปามแต่เนื้อจนอ้วนขนาดนี้ ดูสารรูปที่อ้วนแทบกลิ้งนี่สิ พุงนี่มันหุ่นของคนอายุสามสิบงั้นเหรอ! เพราะแบบนี้ไงอสุจิมันถึงได้ไม่พอ รักษาสุขภาพคิดทำให้มันเพิ่มขึ้นบ้าง!”
“โอ๊ย พูดเรื่องนี้อีกทำไม! วกกลับมาหาผมทำไมอีก!”
คุณนางจางไม่สนใจซองบอมที่เต้นเร่าๆ หันมาพูดกับราฮี
“ถ้าเธอต้องการฉัน ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งในบูกยอง ต้องช่วยอยู่แล้ว ฉันอยากทำ แต่”
คุณนายจางเหลือบมองประธานปาร์คครั้งหนึ่ง ก่อนพูดราวกับเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย
“พ่อเธอคงไม่อยาก สำหรับพ่อเธอ เมียคือต้องเฝ้าอยู่แต่บ้าน ฉันจะไปทำอะไรได้ยังไง ไอ้คนที่เป็นสามีมองเมียเป็นผ้าเช็ดจาน ไอ้ลูกชายก็อีก…”
“โอ๊ย แม่! ใครบอกว่าแม่เป็นผ้าเช็ดจานกันเล่า!”
คุณนายจางยกถ้วยชาขึ้นไม่ตอบโต้คำพูดของลูกชาย ประธานปาร์คมองคุณนายจางพร้อมกับส่ายหน้า
“คุณพ่อ อนุญาตเถอะนะคะ หนูคนเดียวมันหนักเกินไป หนูจะช่วยคุณแม่สร้างมูลนิธิให้ดี จะทำอย่างเต็มที่ให้ชื่อเสียงของบูกยองขจรขจายมากขึ้น”
ประธานปาร์คมองราฮีสลับกับคุณนายจางแล้วยักไหล่
“จะทำอะไรก็ทำ จางอ๊คจา เธอจะทำให้ดีใช่ไหม”
คำพูดของประธานปาร์คทำให้ตาของคุณนายจางเบิกโพลง
“พ่อ! กระทั่งพ่อก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ บ้าไปแล้วหรือไง แม่ทำไม่ได้หรอกนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ! ขอบคุณนะคะ คุณแม่ ไม่สิ ท่านประธานมูลนิธิบูกยองปันรักจางอ๊คจา ขอความกรุณาด้วยนะคะ”
‘ท่านประธานมูลนิธิบูกยองปันรักจางอ๊คจา’ คำพูดของราฮีแค่คำเดียวทำให้คุณนายจางรู้สึกลิงโลด ความอิจฉาและผูกใจเจ็บต่อลูกสะใภ้ที่ตลอดมาไม่ว่าจะทำอะไรก็เกลียดหายไปราวกับหิมะละลาย
“อะ อืม มาพยายามด้วยกันนะ”
คุณนายจางลงท้ายต่ออีกคำ
“ลูกสะใภ้”
คำที่ไม่เคยไม่ยินเลยสักครั้งจากแม่สามีหลังจากแต่งงานมาก้องกังวานอยู่ในหู
“หนูเชื่อในตัวคุณแม่ค่ะ จะเริ่มลงมือเลยนะคะ”
“แหม เธอนี่ก็ ฉันมีอะไรถึงได้เชื่อในตัวฉันนัก โฮะๆ”
“คุณพ่อคะ มีเรื่องที่คงต้องให้คุณพ่อเห็นชอบก่อน”
“อะไร”
“ขอให้เรื่องปฏิบัติงานแล้วก็สิทธิในการแต่งตั้งบุคคลเป็นหน้าที่ของหนู หนูจะตรวจสอบและคัดเลือกคนที่คร่ำหวอดที่จะมาช่วยทำให้รากฐานการตั้งมูลนิธิแข็งแรงด้วยมือของหนูเอง เพราะไม่ว่าอะไร สุดท้ายแล้วคนก็สำคัญที่สุด”
“การเลือกคนไม่ง่ายเลยนะ”
“ทราบค่ะ เพราะฉะนั้นถึงต้องเลือกคนที่มีมาตรฐานเฉียบขาดที่สุด หนูตอนทำงานข่าว ได้ชื่อว่าเป็นคนพิถีพิถันในกรมประชาสัมพันธ์ ช่วยชี้แนะกระทั่งคำที่ใช้รายงานข่าวของพวกนักข่าว เลือกคนแล้วจะเตรียมแผนงานมูลนิธิโดยเร็วที่สุดนะคะ”
“เข้าใจแล้ว ทำตามที่เธอว่าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
สายตาของซองบอมจ้องมาที่ราฮีอย่างเผ็ดร้อน
หลังจากลงลิฟต์มายังที่จอดรถชั้นใต้ดิน ซองบอมยิ้มเยาะขณะเดินมายังรถ
“หัวดีนี่ ให้คุณนายจางออกหน้าเป็นประธาน แล้วก็ฉวยเอาแต่ส่วนสำคัญ คงจะเป็นตามที่เธอคิดสินะ”
“ดูเหมือนคุณจะหัวดีขึ้นนะคะ”
“หมายความว่ายังไง ดูถูกว่าฉันโง่หรือไง”
“มูลนิธิสาธารณประโยชน์ มันแทนภาษีเรียกเก็บจากการรับมอบครอบครองทรัพย์สินไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ คงไม่ใช่แผนที่เตรียมสืบทอดต่อจากคุณพ่อแต่เนิ่นๆ สร้างมูลนิธิโดยใช้ชื่อเสียงของฉัน แล้วเอาทรัพย์สินนั้นมาเป็นชื่อเสียงร่วมกันของคู่สามีภรรยาหรอกนะคะ”
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของซองบอมทันที
“คะ ใคร พะ พูดอะไรไร้สาระ”
“ไม่ใช่งั้นเหรอคะ สมัยเป็นนักข่าว ฉันได้ยินข่าวประเภทที่ว่าพวกคนรวยทำมูลนิธิการกุศลขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมาเยอะ เลยคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี”
“แล้วไง จะบอกว่าจะไม่ทำมูลนิธิเพราะกลัวว่าเป็นการหนีภาษีงั้นเหรอ คนทะเยอทะยานอย่างเธอ จะยอมทิ้งโอกาสที่จะได้มีชื่อได้เสนอหน้า?”
“ไม่หรอกค่ะ ก็อย่างที่คุณบอก ฉันมันคนทะเยอทะยาน และเพราะความทะเยอทะยานนี่ ถึงได้โดนหลอกจนแต่งงาน ตามคำโกหกของคุณ ว่าถ้าแต่งแล้วจะให้เข้าร่วมบริหารยังไงล่ะคะ”
“ยังพูดเรื่องนั้นอยู่อีก? ทำไม จะฟ้องว่าโดนหลอกแต่งงานหรืไง”
ราฮีไม่ตอบโต้อีก และขึ้นรถไป
ซองบอมพูดถูก ราฮีเป็นคนทะเยอทะยาน เธอต้องการสิ่งที่มากขึ้นและมากขึ้นกว่าตอนนี้
ไปดูดวง ว่าถ้าเกิดมาเป็นผู้ชาย จะเป็นวันเดือนปีเกิดที่สั่งโลกได้ น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่แบ่งแยกเพศไปมันจะได้ประโยชน์อะไร ตั้งแต่ยี่สิบต้นๆ ที่ราฮีตัดสินใจแล้วว่า ฉันนี่แหละจะสั่งโลกตามที่ฉันต้องการ
โชคดีที่เกิดมาหัวดีและรูปร่างหน้าตาดี แต่ราฮีคิดว่าคุณค่าจริงๆ ของตัวเอง คือความสามารถและความฉลาดมากกว่ารูปร่างหน้าตา แต่คนอื่นๆ โดยเฉพาะพวกผู้ชายไม่คิดแบบนั้น
ราฮีเป็นผู้หญิงที่ได้รับความรักเพราะสวย เป็นผู้หญิงที่ก้าวหน้าเพราะสวย ไม่มีผู้ชายที่หวังอะไรมากกว่านั้นจากเธอ ยกเว้นจีฮวัน เขาเพียงแค่คนเดียว
* * *