บทที่ 67-2 เตรียมสารภาพด้วยใจที่เต้นรัว
อึนคังดูรูปในห้องของเพนชั่น พลางมองบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นลอย
“ผูกไว้ตามราวบันไดที่ขึ้นไปชั้นลอยได้ไหมคะ ผูกไล่ขึ้นไปเป็นขั้นๆ ค่ะ ค่ะ ขอบคุณนะคะ! ถ้างั้นรบกวนเตรียมแชมเปญ กุหลาบแล้วก็ลูกโป่งให้ด้วยนะคะ! พบกันพรุ่งนี้ค่ะ”
อึนคังดึงหมอนมากอด หลังจากวางสายและพับโน้ตบุ๊กด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“อ๊าก! ทะ ทำไงดี บ้าไปแล้ว! โอ๊ยยย! ทำลงไปแล้ว! กุหลาบกับลูกโป่ง! โกอึนคังยัยบ้านี่ อ๊ากกก!”
อึนคังซุกหน้าลงกับหมอนกรีดร้อง แล้วลุกพรวดกำหมัดด้วยสีหน้าที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฮึ่ย! ไม่รู้ล่ะ! ในชีวิตของโกอึนคังแม้จะเสียใจก็ไม่มีวันถอย! รยูจีฮวันเข้าห้องไปเห็นดอกกุหลาบจะต้องร้อง ‘เฮ้ย’ แล้วเราก็ทำเป็นตกใจไม่รู้เรื่องมาก่อน อุ๊ยตาย เพนชั่นเตรียมแบบนี้ไว้ให้ด้วยเหรอเนี่ย สุดยอดเพอร์เฟกต์! บรรยากาศโรแมนติก! จากนั้นเห็นบรรยกาศแล้ว อาจจะโชคดีขึ้นมาบ้างก็ได้”
สีหน้าของอึนคังดูจริงจังขึ้น
“คุณพีบี ถ้าผู้หญิงที่เคยเป็นเพื่อนนอน มาสารภาพว่าชอบคุณ คุณจะว่ายังไงคะ”
อึนคังหยุดคิดย่นคิ้วพลางส่ายหัว
“ไม่สิ เขาเป็นคนที่รับรู้ไว จะให้ข้อมูลเยอะแบบนั้นไม่ได้ หยิบเรื่องเพื่อนนอนขึ้นมาก็จบเกม ต้องแสดงออกให้เป็นธรรมชาติอีกนิด”
อึนคังลงจากเตียงเริ่มเดินวนไปมาในห้อง
“ถ้าผู้หญิงที่ไม่ใช่สเปกตัวเองมาสารภาพว่าชอบจะว่ายังไงคะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่สเปกของคุณพีบี แต่ดวงสมพงษ์กัน ทุกครั้งเวลานอนด้วยกันก็จะอารมณ์ดีและอยากนอนด้วยกันอีก อยู่มาวันนึง ผู้หญิงคนนี้ก็มาสารภาพว่าชอบ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็คือฉันเอง!”
อึนคังส่ายหัวอย่างแรง
“อ้า ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยแล้ว ช่างมัน! บอกไปเลยตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันดูเหมือนจะชอบคุณ ไม่สิ ฉันชอบคุณ! ถ้าคุณก็มีใจให้ฉันแม้เพียงน้อยนิด ก็มาคบกับฉันเถอะรยูจีฮวัน!”
อึนคังหน้าแดงหายใจราวกับจีฮวันอยู่ตรงหน้า
* * *
ในที่สุดวันเปิดสวนสนุกสุดหรรษาก็มาถึง
อึนคังไปดูนิทรรศการที่โซลแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น
เป็นนิทรรศการศิลปะที่เคยอยากดูมากแท้ๆ แต่ผลงานกลับไม่เข้าตาเลย เธอมัวแต่ตื่นเต้นอยู่กับความคิดที่จะสารภาพรักกับจีฮวัน
ทันทีที่รู้ตัวว่าชอบจีฮวัน ก็คิดจะลุยสารภาพรัก เตรียมพร้อมทั้งลูกโป่งและโปรยกุหลาบบนเตียง แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริง ก็เกิดกลัวขึ้นมา
ถ้าจีฮวันทำหน้าเคร่งปฏิเสธจะทำอย่างไร ผิดสัญญาเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาปน และถ้าเกิดเขาทำลายสัญญาทิ้งเลยล่ะ
“ถ้าเขาบอกว่าไม่ชอบก็ช่วยไม่ได้ ก็แค่นั้น แค่นั้น? แค่นั้นอะไร”
ความหวังและสิ้นหวังสลับกันไปมา อึนคังมาถึงสถานียงซาน เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีรถไฟก็จะมาแล้ว
จีฮวันน่าจะมาถึงแล้ว อึนคังหันซ้ายหันขวามองหา แล้วสายจากจีฮวันก็โทรเข้ามา
“สวัสดีค่ะ”
“อยู่ไหนครับ”
เสียงของจีฮวันฟังดูร้อนรน
“สถานียงซานไงคะ อยู่ไหนคะ”
“เอ่อ คือ ทำยังไงดีครับ อีกประมาณห้านาทีผมก็จะถึงแล้ว แต่ว่า…”
“ทำไมคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
“เมื่อกี้ตัวแทนจัดหางานติดต่อมา ว่าเย็นนี้ให้ไปเจอหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย…”
“หา! งั้นก็ต้องไปสิคะ เขาจะแนะนำงานดีๆ ให้ใช่ไหมคะ ไปเจอเลยค่ะ!”
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”
“แน่สิคะ! เรื่องแบบนี้มันเป็นจังหวะ จะปล่อยโอกาสดีๆ ไปได้ยังไง”
“แต่เราต้องนั่งรถไฟไปสวนสนุกด้วยกัน”
“ตอนนี้สวนสนุกเอาไว้ก่อน! เดี๋ยวจะมาอ้างว่า หางานทำไม่ได้เพราะฉัน”
“ขอโทษนะครับ คุณนักเขียนล่วงหน้าไปเที่ยวสวนพฤกษชาติไปก่อน พักผ่อนให้สบาย เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะขับรถตามไป อาจจะดึก แต่ก็น่าจะไปถึงก่อนสี่ ไม่ก็ห้าทุ่ม”
“มาช้าต้องโดนลงโทษนะคะ”
“ได้เลยครับ จะยอมทำตามที่สั่งทุกอย่างเลย”
“อืม จะลงโทษยังไงดีนะ”
อึนคังมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลงพลางเอ่ยกระซิบ
“ให้นอนมองโกอึนคังที่ไม่ใส่เสื้อผ้าทั้งคืน ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ปลายเท้าก็ห้ามแตะ”
“ฆ่าผมซะดีกว่าครับ”
น้ำเสียงสิ้นหวังของจีฮวันดังลอดมาเหมือนโอดครวญ อึนคังถึงกับหัวเราะคิก
“แล้วเจอกันนะคะ ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน ใส่สูทที่ฉันตัดให้ไปนะคะ คุณพีบีใส่แล้วหล่อที่สุด ไม่ว่าตัวแทนจัดหางานหรือใคร เห็นแล้วต้องละลายแน่นอน!”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะใส่ไป ขอโทษจริงๆ นะครับ”
หลังจากวางสาย อึนคังก็คิดว่าโชคดีแล้วที่เธอล่วงหน้าไปก่อน จะได้ไปจัดการกับดอกกุหลาบแล้วก็ลูกโป่ง
อึนคังขึ้นรถไฟ รู้สึกโหวงเหวงนิดหน่อยที่ต้องนั่งรถไฟที่จองไว้สองคนไปคนเดียว แต่ได้ครองสองที่นั่งก็สบายดีเหมือนกัน
อึนคังวางกระเป๋าที่ที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลงตรงที่นั่งติดทางเดิน
“คุณนักเขียนโกอึนคัง?”
อึนคังตกใจหันขวับ เมื่อได้ยินเสียงเรียกตัวเองบนรถไฟ
บทที่ 68-1 มันอบแห้งเรียกน้ำตา
“อ้าว”
อึนคังเหลือบมองชายที่ยืนอยู่หน้าที่นั่ง
แว่นหนากรอบดำกับผมยาวยุ่งเล็กน้อยปรกหน้าผาก สะพายเป้ ในเสื้อแจ็คเก็ตสำหรับปีนเขา ใบหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน
“ใครกัน…”
ชายหนุ่มหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย บอกเสียงเบา
“ผม จียองอูที่โรงพยาบาล…”
“คุณหมอ!”
อึนคังตกใจลุกพรวดจากเก้าอี้ ยองอูยิ้มเขิน ตอนนี้ในสายตาของอึนคัง เห็นเป็นใบหน้าของยองอูที่คุ้นเคยแล้ว
“ขอโทษนะคะ! ฉันนี่ไม่มีตาเอาซะเลย เพิ่งเคยเห็นคุณหมอในชุดแบบนี้ครั้งแรก ก็เลยจำไม่ได้ โอ๊ย บ้าจริง!”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
“ว้าว น่าแปลกใจจริงๆ นะคะ มาเจอกันที่นี่ได้ยังไง คุณหมอจะไปไหนคะ”
ผู้คนต่างแทรกเขาเดินผ่านไป ยองอูทำหน้าละล้าละลัง
“เอ่อ คุณนักเขียนครับ ผมเกะกะขวางทางอยู่ ที่นั่งผมอยู่ด้านหลังนู่น อีกสักครู่ค่อย…”
“คุณหมอ! นั่งนี่สิคะ ฉันจองไว้สองที่ค่ะ”
“แล้วคนที่มาด้วย…”
“ไม่มีค่ะ! คนที่มาด้วยกันมีธุระด่วนกะทันหัน เลยนั่งรถไฟไปพร้อมกันไม่ได้แล้ว ตรงนี้ว่างค่ะ!”
“อ๋อ…”
อึนคังรีบย้ายไปนั่งริมหน้าต่าง
“นั่งเร็วๆ สิคะ”
ยองอูลังเล อึนคังจึงดึงมือเขา
“เร็วเข้าสิคะ! คนอื่นคอยอยู่”
“อ้า ครับๆ งะ งั้น รบกวนด้วยนะครับ”
ยองอูรีบปลดเป้วางบนชั้นแล้วนั่งลง
อึนคังจ้องยองอูให้ชัดๆ ยองอูสบตาเธอด้วยสีหน้าเขินอาย
“ว้าว มหัศจรรย์จริงๆ มาเจอกันที่นี่ได้ยังไง ตอนเห็นคุณหมอก็ว่า คนนี้เคยเห็นที่ไหน ใครกันนะ ผมกับแว่นเห็นบ่อยแล้ว แต่การแต่งตัวไม่คุ้น เลยทำให้นึกไม่ออกซะงั้น”
ยองอูยิ้ม
“ผมเข้าใจครับ เพราะเคยเห็นแต่เวลาผมใส่เสื้อกาวน์ผ่าตัดที่โรงพยาบาล เจ้าของสัตว์เลี้ยงคนอื่นๆ เวลาเจอกันข้างนอก ทุกคนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”
“แต่ยังไงได้มาเจอกันบนรถไฟแบบนี้น่ายินดีมากๆ เลยนะคะ! คุณหมอล่ะคะ ไม่ดีใจเหรอคะ น่ายินดีออกนะคะ!”
อึนคังคาดคั้นด้วยท่าทางเหมือนจะบีบคอถ้าบอกว่าไม่ดีใจ ยองอูตกใจถึงกับรีบพยักหน้า
“ครับๆ ดะ ดีใจครับ”
“แล้วนี่คุณหมอจะไปไหนคะ ฉันจะไปสถานีชองพยอง จะไปสวนพฤกษศาสตร์”
“ผมก็จะไปสถานีชองพยองครับ แต่ปลายทางคนละที่”
“อ้า วันนี้เป็นวันหยุดโรงพยาบาล เลยไปเที่ยวสินะคะ ไปภูเขาเหรอคะ เดินเขา? ปีนเขา? ไต่เขาเป็นงานอดิเรกเหรอคะ”
“ไปหาลูกๆ มากกว่าไปเที่ยวครับ”
“ลูกๆ เหรอคะ เฮือก! นี่คุณหมอแต่งงานแล้วเหรอคะ”
อึนคังตาโต ยองอูโบกมือปฏิเสธ
“เอ่อ ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่ได้แต่งงาน ลูกๆ ที่ว่าไม่ใช่คนครับ แต่เป็นหมา แมว แถวสวนพฤกษศาสตร์ที่ชองพยอง มีบ้านพักพิงสัตว์ถูกทิ้ง มีคุณยายอายุหกสิบดูแลพวกหมาแมวที่ถูกทิ้งอยู่คนเดียว แกจัดการดูแลเอง เงินช่วยเหลือก็ไม่มี สภาพแย่มากครับ ที่นั่นขาดแคลนทั้งเงินและแรงงานอยู่ตลอด พอมีเวลา ผมก็จะเข้าไปช่วยดูพวกเด็กๆ ที่ไม่สบายให้ รักษาแล้วถ้ามีเวลาเหลือ ก็จะช่วยทำความสะอาดให้นิดหน่อย”
“ว้าว คุณหมอสุดยอดไปเลย! เท่มากๆ เลยค่ะ!”
อึนคังยกนิ้วโป้งให้ ยองอูยิ้มเขินหน้าแดง
“เอ่อ ไม่หรอกครับ ไม่ขนาดนั้น”
“เอ๋ ไม่ขนาดนั้นอะไรกันล่ะคะ มันใช่เลยต่างหาก”
“ผมไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอกครับแค่ไปเยี่ยม เพิ่งมาได้ทำเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง ไม่ได้ไปบ่อยๆ นานทีจะได้ไปสักครั้ง เทียบกับอาสาสมัครที่เข้าไปช่วยงานทุกอาทิตย์แล้ว ผมก็แค่…”
“โอ๊ย! ดีแล้วยังถ่อมตัวอีกนะคะ!”
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ”