ตอนนี้หญิงชราตีแมวเสร็จแล้ว ในมือถือปลาครึ่งตัวที่แย่งจากปากแมวกลับมาด้วยพลางก่นด่า นางไม่รู้ว่าที่ประตูหน้ามีคนผ่านมา แต่กลับเห็นเงินอยู่บนม้านั่ง ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง มองดูซ้ายขวาไม่มีคน จึงรีบเก็บเงินเข้าไปในอกอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเข้าลานบ้านปิดประตูดังปัง
นางยังรู้ว่าเงินมีประโยชน์ต่อนาง
แต่นางกลับมองไม่เห็นลูกชายในชาติก่อนหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังดอกอิ๋งชุน
ในถนนตกอยู่ในความเงียบ หากฟังดีๆ จะมีเพียงเสียงของกิ่งดอกไม้ด้านหน้าพัดไหวไปตามลม
ในความเงียบงันนี้ หลินเจี้ยนหรูพลันหันหลังกลับมา ยิ้มให้กับนางท่ามกลางแสงสว่างจากด้านหลัง “ทำให้เจ้าเห็นเรื่องตลกแล้ว”
มู่จิ่วรีบพูด “พูดอะไรอย่างนั้น”
หลินเจี้ยนหรูพูดอีก “ตั้งแต่กินดอกบัวกลีบม่วงไป ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าจุดตันเถียนเต็มไปด้วยพละกำลัง ราวกับมีก้อนพลังกำลังก่อตัวขึ้น ส่วนหนังสือฝึกพลังที่เจ้าให้ข้ามา ข้าดูอย่างละเอียดและได้ลองฝึกตามแล้ว มีประโยชน์อย่างมากเลย ทั้งยังมีเคล็ดลับกระบวนท่าขั้นสูงอยู่หลายกระบวนท่า ดูเหมือนยังมีวิธีใช้ที่ยิ่งขั้นสูงไปอีก แต่พื้นฐานข้าไม่ดีเลยยากที่จะผ่านไปได้ ไม่รู้ว่าเจ้าสะดวกช่วยข้ามั้ย”
“ไม่มีปัญหา!” ได้ยินเรื่องที่เขาประสบมา นางยิ่งดีใจที่สามารถช่วยเขาได้ “กลับไปข้าจะช่วยเจ้าดู”
หลินเจี้ยนหรูยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “งั้นพวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ!”
ในตรอกยังคงเงียบงัน
ด้านนอกตรอกกลับเป็นภาพฤดูใบไม้ผลิอันสว่างไสวและเสียงหัวเราะมีความสุข
เด็กขายดอกไม้ที่ถนนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ดูแล้วคงขายได้ไม่เลวนัก ทางนี้ขายยังไม่ทันหมด เหล่าน้องชายน้องสาวทางนั้นก็แบกมาอีกหลายตะกร้า ทิวทัศน์อันตระการตาพัดพาเอาความหนักอึ้งที่ปกคลุมใจของทั้งสองเมื่อครู่สลายไป พวกเขาเดินตามถนนสายยาว คนธรรมดาทั้งหลายที่เดินอยู่ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เรือประดับตกแต่งสวยงามที่ริมแม่น้ำมีมากมายกว่าปกติ
เดินไปได้ครึ่งทางก็กินอาหารกินเล่นอีก ทั้งสองคนซื้อว่าวบนสะพาน มาถึงพื้นสนามหญ้าริมตลิ่งก็ปล่อยว่าวขึ้นไปแข่งกับผู้อื่น
ไม่รู้เป็นเพราะได้รับความคึกคักจากคนรอบข้างหรือไม่ อารมณ์ของหลินเจี้ยนหรูค่อยๆ ดีขึ้น ดึงสายว่าวทั้งยิ้มทั้งวิ่งไม่ต่างอะไรกับเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่อยู่รอบๆ เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปถึงตอนเที่ยงวัน พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางตะวันตก ถึงเวลาที่จะกลับบ้านแล้ว
มู่จิ่วเห็นหญิงสาวที่แต่งกายเป็นลั่วเสินอยู่บนเรือประดับตกแต่ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำเรื่องที่หลิวจวิ้นฝากไว้ “ใช่แล้ว ที่ไหนมีศาลเจ้าลั่วเสินบ้าง? ข้าอยากจะไปจุดธูปไหว้เสียหน่อย”
ลู่ยาเข้าใจไปจริงๆ ว่ามู่จิ่วเพียงแค่เดินเล่นอยู่ในสวรรค์เท่านั้น
ดังนั้นหลังจากที่นางออกไปได้สักหนึ่งหรือสองชั่วยามเขาจึงยังรู้สึกสบายใจอยู่ แต่เมื่อเที่ยงวันค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่เห็นนางกลับมา และกลิ่นอายของกระดิ่งที่เขาไม่ได้เจอมานานก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเรื่องไม่ค่อยดีเสียแล้ว!
เมื่อลองนับนิ้วทำนายดู ทั้งสวรรค์กลับไม่มีร่องรอยของนาง!
ที่แท้ไม่เพียงแต่นางจะแต่งตัวเป็นต้นหอม ยังอาศัยตอนที่เขาไม่รู้ตัวออกไปเดินเล่นไกลๆ อีก!
แต่นางไปนัดพบกันไม่น่าจะรีบร้อนอะไร เขาจะทำอย่างไรดี?
ห่างจากพลังของนาง ความโชคร้ายสามารถเจอเขาได้ทุกเมื่อ หากตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นล่ะก็คงเป็นเรื่องใหญ่!
ลู่ยาโกรธเล็กน้อย
ดังนั้นจึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงมากนัก รีบกลับเข้าเขตพลังเพื่อสืบหาสถานที่ที่มู่จิ่วไป
มู่เสี่ยวซิงเห็นเขาทำตัวประหลาดนัก เล่นหอบเอาพัด ต่างหู มุกประดับ และของต่างๆ ที่มู่จิ่วใช้อยู่บ่อยๆ เข้าห้องไป ดูแล้วท่าทางราวกับจะทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง จึงคิดจะแอบดูเสียหน่อย แต่ก็รู้ฐานะตนเองดีเลยไม่เข้าไปรบกวน ได้แต่เฝ้าเขาอยู่เงียบๆ ทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก
นางอาศัยตอนที่อาฝูไม่อยู่เอารังของเขาไปซักล้างตากแดด และนำเอาลูกยางสองลูกที่เขาเล่นบ่อยๆ ไปล้างน้ำลายออก เห็นท้องฟ้าดูแล้วใกล้เที่ยง นางคิดจะออกไปจ่ายตลาดกลับมาทำอาหาร จะได้ถือโอกาสดูว่ามู่จิ่วกลับมาแล้วหรือยัง จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าก้าวข้ามธรณีประตู แต่กลับเหยียบโดนอะไรบางอย่างเข้า มีเสียง ‘แกวก’ ดังมาจากนกใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งสยายปีกบินขึ้นไปกลางอากาศ
“ย่ามันเถอะ ใครกันตาถั่วนัก?! กล้าเหยียบเท้าข้า?!”
มู่เสี่ยวซิงตกใจ รีบชักเท้ากลับเข้าไปด้านใน
เมื่อดูดีๆ ที่แท้ก็เป็นนกต้าเผิงที่เบิกตากว้างอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่ประตูลานบ้านของพวกนางได้
แต่ไม่เพียงเสือที่กินกระต่าย นกต้าเผิงก็กินกระต่ายเหมือนกัน!
มู่เสี่ยวซิงได้สติกลับคืนมาก็รีบปิดประตูหนีอย่างลนลาน แม้แต่ตะกร้าก็ไม่เอา
ซ่างกวนสุ่นมองประตูลานบ้านที่เกือบจะชนเข้ากับจะงอยปากเขาอย่างมึนงง ขนศีรษะตั้งขึ้นพลางสยายปีกเข้าไปในลานบ้าน กงเล็บจับเอาแขนของมู่เสี่ยวซิงไว้ “ข้าหน้าตาหน้าเกลียดหรือ? ทำไมเห็นข้าแล้วต้องหนี?!”
มู่เสี่ยวซิงร้องไห้พลางพูด “ใครบอกว่าเจ้าน่าเกลียด? ชัดเจนว่าหน้าตาของเจ้างามล่มบ้านล่มเมือง!”
แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย!
ซ่างกวนสุ่นปล่อยนางลงพื้น ตัวเองก็หยุดอยู่ข้างนาง ลูบๆ ขนพลางจ้องนางแล้วถาม “กัวมู่จิ่วล่ะ? แล้วก็ยังมีเทพเซียนกระจอกใจทรามคนนั้นอีก? เรียกพวกเขาออกมา! ข้ามาหาเพื่อคิดบัญชี!”
มู่เสี่ยวซิงแม้จะไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่พญาอินทรีที่มีเรื่องกับมู่จิ่วและลู่ยาในเวลาเดียวกัน ก็เห็นจะมีแต่ไอ้ตัวขโมยกินจนถูกจับขังคุกตัวนั้น ตอนนี้ถ้าไม่ใช่นกแซ่ซ่างกวนนั่นจะเป็นใครไปได้อีก?
แต่ไหนแต่ไรมานางยังไม่เคยเจอนกที่ไร้ยางอายแบบนี้มาก่อน พ่ายแพ้มาชัดๆ ยังกล้าเรียกเขาออกมาคิดบัญชี ดังนั้นจึงพูดไปว่า “มู่จิ่วไม่อยู่ ส่วนเทพเซียนที่เจ้าพูดข้าไม่รู้จัก” ถึงแม้นางจะหวังให้ลู่ยาออกไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้จะให้เจ้านกหัวขโมยตรงหน้าเปิดเผยที่ซ่อนเขาได้อย่างไร?
แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน?
ค่ายทหารสวรรค์เป็นถนนสาธารณะหรือ เขาคิดจะเข้ามาก็เข้ามาเลย?
“ไม่รู้จักอะไร? ข้าตามกลิ่นอายของเขามา!” ซ่างกวนชี้ไปที่ประตูห้องเบื้องหลังนางพลางร้องเรียก “รีบไปเรียกเขาออกมา! วันนี้ข้าต้องล้างอายให้ได้!”
“เทพเซียนอะไร? เจ้ากำลังโวยวายอะไร?”
ตอนนี้เอง ที่ประตูลานบ้านก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา หยางอวิ้นที่สวมชุดเครื่องแบบเพิ่งเลิกงานกลับมาตอนนี้พอดี กำลังเบิกตากว้างมองประเมินนกต้าเผิงขึ้นๆ ลงๆ “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาหาพวกข้าที่นี่!”
มู่เสี่ยวซิงเห็นนางกลับมา ตอนนี้สมองก็แทบจะระเบิด!
…วันนี้เป็นวันอะไรกันเนี่ย! ทำไมถึงต้องเป็นนางที่ได้ยินเข้า?
“ข้าซ่างกวนสุ่น องค์ชายเจ็ดตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม เจ้าล่ะเป็นใคร?” ซ่างกวนสุ่นทำท่าหยิ่งยโสเหลือบมองนาง แม้แต่ฝุ่นอันบางเบาใต้ปีกก็ยังแสดงถึงความหยิ่งผยอง
“มู่เสี่ยวซิง นี่คือคนบ้านเจ้าอีกแล้วหรือ?” หยางอวิ้นชี้เสี่ยวซิง คิ้วเฉียงตาขวางพูด “ทำไมบ้านเจ้าถึงมีแต่คนแปลกๆ!?”
มู่เสี่ยวซิงไหนเลยจะกล้าต่อปากต่อคำกับนาง? รีบโบกมือพูด “เขาไม่ใช่คนบ้านข้า! ข้าไม่รู้จักเขา!”
“คนแปลกประหลาดอะไร? เจ้าว่าใครประหลาด?” ซ่างกวนสุ่นโกรธท่าทีของหยางอวิ้นอย่างมาก กระพือปีกเข้าไปใกล้นาง “นังหญิงโง่ ไม่เคยได้ยินเผ่าพันธุ์สูงศักดิ์หรือ? ไม่เคยได้ยินตระกูลซ่างกวนที่มีชื่อเสียงหรือไง?! มาว่าข้าประหลาด ข้ายังไม่บ่นว่าเจ้าหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเลย!”
หลายอวิ้นถูกกดดันจนถอยหลังไปไม่หยุด ใบหน้าโกรธแค้นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนตับหมู